บทที่ 6 หมากตัวแรกบนกระดานการค้า
แสงตะวันยามเช้าทอแสงอ่อนๆ เหนือเมืองหลวงซื่อจิง ความคึกคักของตลาดโยวหลิงเริ่มต้นขึ้นแล้ว เสียงพ่อค้าแม่ค้าะโเรียกลูกค้าดังเซ็งแซ่ปะปนไปกับเสียงหัวเราะและเสียงต่อรองราคา ท่ามกลางบรรยากาศที่วุ่นวายนั้น มีแผงลอยเล็กๆ แผงหนึ่งที่โดดเด่นสะดุดตาผู้คนที่เดินผ่านไปมา
แผงลอยนั้นตั้งอยู่มุมหนึ่งของตลาด มันไม่ได้มีขนาดใหญ่โต แต่กลับดูสะอาดสะอ้านเป็พิเศษ ที่ด้านหน้ามีป้ายไม้แกะสลักอย่างสวยงามเขียนด้วยลายมือบรรจงว่า หอมหวานอวลรัก ซึ่งเป็ชื่อร้านที่ หลินชิงซาน ตั้งขึ้นเอง นางสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายแต่สะอาดสะอ้าน ใบหน้าแต่งแต้มรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน นางไม่ได้ยืนะโเรียกลูกค้าเหมือนพ่อค้าแม่ค้ารายอื่น แต่กลับยืนอยู่หลังแผงอย่างสงบนิ่งพร้อมรอยยิ้มที่เชิญชวน
“ท่านพี่…เราไม่ต้องะโเรียกลูกค้าหรือเ้าคะ” หลานหลานที่กำลังช่วยนางจัดเตรียมขนมถามขึ้นด้วยความสงสัย
“ไม่จำเป็” หลินชิงซานตอบด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ “ให้ขนมของเราเป็ตัวเรียกลูกค้าเอง”
นางใช้ความรู้ด้านการตลาดในโลกปัจจุบันมาปรับปรุงวิธีการนำเสนอสินค้า ขนม ลูกชุบ และ บัวลอย ถูกจัดวางอย่างสวยงามในถาดไม้ที่รองด้วยใบตอง ขนมลูกชุบถูกปั้นเป็รูปทรงผลไม้เล็กๆ ที่มีสีสันสดใสราวกับของจริง ส่วนขนมบัวลอยก็ถูกบรรจุในถ้วยกระเบื้องเล็กๆ ที่ดูน่ารักและสะอาดตา
“หน้าตาน่ารักจังเลย…อยากลองซื้อไปให้ลูก”
“ขนมอะไรกัน…ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”
เสียงความคิดของผู้คนที่เดินผ่านไปมาดังแว่วเข้ามาในหูของหลินชิงซาน นางยิ้มอย่างพอใจ นี่เป็เทคนิคการตลาดที่นางรู้จักดี นั่นคือการสร้าง ความแปลกใหม่ และ ความน่าสนใจ
ลูกค้าคนแรกที่เข้ามาคือหญิงสาวคนหนึ่งที่แต่งกายด้วยชุดที่ดูดีมีฐานะ นางยืนมองขนมด้วยความสงสัย
“ขนมนี้คืออะไรหรือแม่นาง” นางถามขึ้น
“ขนมนี้มีชื่อว่า ลูกชุบ และ บัวลอย เ้าคะ เป็ขนมที่ทำจากถั่วบดกวนแล้วนำไปชุบวุ้นใสๆ ให้เงางาม” หลินชิงซานตอบด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและน่าเชื่อถือ “รับรองว่ารสชาติอร่อยไม่เหมือนใคร”
เมื่อได้ยินดังนั้น หญิงสาวคนนั้นจึงตัดสินใจซื้อไปลองชิมทันที นางซื้อไปทั้งขนมลูกชุบและขนมบัวลอย
“น่ากินจังเลย…ต้องเอาไปให้ท่านแม่ชิมด้วย”
“แม่นางผู้นี้ช่างพูดจาน่าฟังนัก…ดูท่าทางจะมีมารยาทดี”
หลินชิงซานยิ้มอย่างพอใจเมื่อได้ยินความคิดของลูกค้า นางใช้เทคนิคการขายแบบ การให้ข้อมูล เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า นางรู้ดีว่าหากลูกค้าเชื่อถือในตัวผู้ขายแล้ว ก็จะง่ายต่อการซื้อสินค้า
แต่แล้วก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่ดึงดูดสายตาของหลินชิงซานเอาไว้
เด็กชายตัวเล็กๆ คนหนึ่งยืนเกาะชายเสื้อแม่ของเขา ดวงตาที่กลมโตจ้องมองขนมลูกชุบสีสันสดใสด้วยความอยากได้ แต่ผู้เป็แม่ส่ายหน้าเบาๆ ด้วยความเศร้า
“แม่ไม่มีเงินลูกเอ๋ย…เอาไว้คราวหน้านะ”
หลินชิงซานได้ยินเสียงความคิดของผู้เป็แม่แว่วเข้ามาในหู “สงสารลูก…อยากให้ลูกได้กินของอร่อยๆ แต่แม่จนเหลือเกิน…”
นางรู้สึกะเืใจกับภาพที่เห็น นางไม่เคยััความรู้สึกนี้มาก่อนในชีวิตที่เพียบพร้อมของ ซ่งหลิงเฟย นักธุรกิจสาวผู้ร่ำรวย แต่ในร่างของ หลินชิงซาน นี้ หัวใจของนางกลับอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ
หลินชิงซานหยิบขนมลูกชุบในถาดมาใส่ในกระทง แล้วยื่นให้เด็กชายตัวน้อย
“เอานี่ไปกินเถอะนะ…ถือว่าข้าให้เ้า” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น
ผู้เป็แม่ถึงกับน้ำตาคลอเบ้า “แม่นาง…ขอบใจเ้ามาก”
“ไม่เป็ไรเ้าค่ะ…ไม่ต้องคิดมาก” นางตอบกลับอย่างใจดี
“แม่นางช่างใจดีจังเลย ขอให้เจริญๆ ค้าขายร่ำรวยนะเ้าคะ”
หลินชิงซานยิ้มน้อยๆ แล้วเสียงก็ดังขึ้นในหัว ไม่ใช่ได้ยินเฉพาะเสียงความคิดเท่านั้น เสียงสนทนาเกี่ยวกับเื่ของนางที่อยู่ไกลๆ นางก็ได้ยิน อือ.. มันดีจริงๆ นางจับจี้หยกและลูบเบาๆ
“แม่นางคนนั้นนี่ช่างเก่งจริง ๆ” ป้าเ้าของแผงผักเอ่ยขึ้นพลางพยักหน้าด้วยความชื่นชม
“ใช่แล้ว! ขนมของนางไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนเลย” แม่ค้าไข่ไก่กล่าวเสริม “ดูสิ! คนต่อแถวกันยาวเลย”
“แต่ก่อนเจิ้งหลงเคยเป็พ่อค้าขนมที่ใหญ่ที่สุดในตลาดนี้ไม่ใช่หรือ?” พ่อค้าปลาแห้งถามขึ้นอย่างสงสัย
“ก็ใช่น่ะสิ! แต่พอแม่นางคนนั้นมา เจิ้งหลงก็ขายไม่ได้เลย” แม่ค้าข้าวสารหัวเราะเสียงดัง
“ข้าว่านางต้องมีของดีแน่ ๆ เลย” ป้าเ้าของแผงผักเอ่ยขึ้นพร้อมขยับเข้ามาใกล้ “ไม่อย่างนั้นคงไม่ขายดีขนาดนี้หรอก”
“ไม่รู้ว่าไปเรียนทำขนมมาจากไหน” แม่ค้าไข่ไก่กล่าวอย่างอิจฉา
“แต่ข้าว่านางก็ใจดีนะ” แม่ค้าผักอีกคนเอ่ยขึ้น “เมื่อเช้าข้าเห็นนางให้ขนมเด็กน้อยที่แม่ไม่มีเงินซื้อด้วย”
“ใจดีก็ส่วนใจดี แต่ความสามารถของนางนี่สิที่น่ากลัว” พ่อค้าปลาแห้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “ข้าว่าอีกไม่นานชื่อเสียงของนางคงจะดังไปทั่วเมืองหลวงแน่ ๆ”
ในขณะที่นางกำลังจะขายขนมให้ลูกค้าคนต่อไป จู่ๆ ก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมกับป้ายเล็กๆ ในมือ เขาคือ เจิ้งหลง พ่อค้าขนมในตลาดที่ขายมานานหลายปี
“แม่นาง…เ้ามาเปิดแผงขายขนมในที่ของข้าได้อย่างไร!” เจิ้งหลงถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
หลินชิงซานนิ่งเงียบ นางไม่ได้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด นางใช้ จี้หยก อ่านความคิดของเขา
“ขนมนางนี่ดูดีกว่าของข้าอีก…ขายดีขนาดนี้คงจะแย่งลูกค้าข้าหมด”
“ต้องไล่นางไปจากที่นี่…ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องเสียลูกค้าแน่ๆ”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลินชิงซานก็รู้สึกสงสารเขาเล็กน้อย แต่ก็รู้ดีว่าการค้าขายคือการแข่งขัน นางจึงเลือกที่จะไม่ตอบโต้ แต่กลับยื่นขนมบัวลอยไปให้เขาหนึ่งถ้วย
“ท่านลองชิมดูก่อนเถิด…ถ้าหากท่านไม่ชอบ ก็ค่อยมาไล่ข้า” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เจิ้งหลงมองไปที่ขนมบัวลอยด้วยความสงสัย เขาใช้ช้อนตักขึ้นมาชิมหนึ่งคำ ดวงตาของเขาถึงกับเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ รสชาติที่หอมหวานและนุ่มนิ่มของบัวลอยทำให้เขารู้สึกเหมือนขึ้น์
“นี่…นี่มันรสชาติอะไรกัน!” เขาเอ่ยขึ้นด้วยความใ
หลินชิงซานยิ้มอย่างพอใจ “เป็อย่างไรบ้าง…อร่อยหรือไม่”
เจิ้งหลงถึงกับพูดไม่ออก เขาไม่เคยชิมขนมที่อร่อยเช่นนี้มาก่อน
“ท่านคงจะเข้าใจแล้วใช่ไหม…ว่าขนมของข้าเป็สิ่งที่ใครๆ ก็้า” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนแต่แฝงไปด้วยความน่าเชื่อถือ “เราไม่ได้มาแย่งลูกค้าท่าน แต่เรามาเพิ่มความหลากหลายให้กับตลาด”
เมื่อเจิ้งหลงได้ยินดังนั้น เขาก็รู้สึกยอมรับในตัวนางมากขึ้น เขาตัดสินใจที่จะไม่หาเื่นางอีกต่อไป และกลับไปที่แผงขายของตัวเองอย่างเงียบๆในใจก็คิดว่าเราต้องปรับปรุงขนมของเราให้ดีกว่านี้ เพราะตอนนี้มีคู่แข่งแล้ว
ในวันนั้น ขนมของ หลินชิงซาน ขายดีเป็เทน้ำเทท่า ผู้คนต่างพากันมาซื้ออย่างต่อเนื่อง หลานหลานและชุนเทียนต้องช่วยกันขายขนมกันอย่างไม่หยุดพัก เสียงพูดคุยและเสียงชื่นชมขนมดังไปทั่วทั้งแผงลอย
“ขนมนี้อร่อยจริงๆ…ต้องซื้อกลับไปให้ที่บ้าน”
“ไม่เคยเจอขนมแบบนี้ที่ไหนมาก่อนเลย…ต้องกลับมาซื้ออีกแน่ๆ”
หลินชิงซานใช้ จี้หยก อ่านความคิดของลูกค้าอย่างต่อเนื่องเพื่อเก็บข้อมูล นางพบว่าลูกค้าส่วนใหญ่้าความแปลกใหม่และรสชาติที่แตกต่างออกไป นางจึงตัดสินใจที่จะพัฒนาสูตรขนมอื่นๆ เพิ่มเติม เพื่อตอบสนองความ้าของลูกค้า
เมื่อตลาดปิดแล้ว หลินชิงซานก็นับเงินที่ได้มาในวันนี้ นางพบว่าได้กำไรจากการขายขนมในวันนี้เป็จำนวนมากพอสมควร นางจะเก็บไว้เช่าที่ดีๆกว่านี้เพื่อความมั่นคง
“ท่านพี่…เราจะทำอย่างไรกับเงินพวกนี้ดีเ้าคะ” หลานหลานถามด้วยความตื่นเต้น
“เราจะใช้มันไปกับการสร้างรากฐานของชีวิตใหม่ของเรา” หลินชิงซานตอบด้วยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข “เราจะทำขนมที่หลากหลายมากขึ้น”
หลินชิงซานรู้ดีว่าความสำเร็จในวันนี้เป็เพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น นางจะต้องเดินทางต่อไปอีกไกล และจะต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายอีกมากมาย แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เพราะบัดนี้นางไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว
นางมองไปที่ จี้หยก ที่แขวนอยู่ที่คอ จี้หยกเรืองแสงขึ้นเล็กน้อย ราวกับจะบอกว่า เ้ามาถูกทางแล้ว
***///***
