การจะดูว่าชายใดจริงใจหรือหลอกลวงนั้น ไม่ใช่ดูว่าเขาพูดดีแค่ไหน แต่อยู่ที่การกระทำต่างหาก
มู่จ้งจิ่นพาพวกเขาเข้าไปยังห้องนอนของเขา ซึ่งห้องของเขาและฮูหยินไม่ได้แยกกัน มู่จ้งจิ่นไม่มีฮูหยินรองหรือสาวอุ่นเตียงแม้แต่คนเดียว
หลังจากที่ฮูหยินของเขาทุกข์ทรมาน เขาก็อยู่เคียงข้างนางทั้งวันทั้งคืน
เมื่อถึงหน้าห้อง เขาก็ตรงเดินตรงเข้าไป ไม่ได้หยุดอยู่หน้าประตูเหมือนรองเสนาบดีกรมพิธีการ ผู้ที่แม้แต่การจะเข้าไปดูฮูหยินของตนก็ยังไม่คิดจะทำ
มู่จ้งจิ่นยืนอยู่ข้างเตียง ทอดมองฮูหยินด้วยสีหน้ารักใคร่ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกและมองชิงอี “สภาพของฮูหยิน ท่านคงเคยเห็นแล้ว จากที่ท่านดูยังพอจะรักษาได้หรือไม่?”
“ยังพอไหวอยู่” ชิงอีพูดเสียงราบเรียบ ก้าวไปข้างหน้า และเอื้อมมือไปดึงแขนเสื้อของนางขึ้นมาดู
เซียวเจวี๋ยและชิวอวี่หลบอยู่หลังม่าน อย่างไรก็ตาม คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้ชิงอีจะลงมือทำด้วยตัวเองแทนการสั่งให้คนอื่นทำ แสดงให้เห็นว่านางให้ความเคารพตระกูลนี้
หรือพูดอีกอย่างคือเคารพมู่จ้งจิ่น
รูปลักษณ์ของฮูหยินโหว เรียกว่าคล้ายสัตว์ประหลาดน้อยที่สุดแล้ว เมื่อเทียบกับบรรดาสี่ทั้งคน บนใบหน้ายังมีเค้าโครงของคนอย่างชัดเจน ขนบนตัวก็ไม่ได้งอกขึ้นมาเยอะเท่าไรนัก
มู่จ้งจิ่นอารมณ์เสีย เมื่อเห็นว่าทันทีที่มาถึง นางก็ถอดเสื้อผ้าของฮูหยินออก ทว่า เมื่อนึกได้ว่านางมารักษาโรค เขาก็ทำได้เพียงอดทนเท่านั้น
“ช่วยข้าพลิกตัวนางหน่อย”
มู่จ้งจิ่นขมวดคิ้ว “ท่าน้าจะดูอะไรกันแน่?”
ชิงอีเหลือบมองเขา “ถ้าอยากจะช่วยชีวิตนาง ก็หยุดถามอะไรเื่ไร้สาระได้แล้ว”
เมื่อมู่จ้งจิ่นได้ยินเสียงอันแน่วแน่ราวกับตัดสินแล้วของนาง เขาจึงไม่ได้รอช้าช่วยพลิกตัวฮูหยินทันที
ชิงอีมองดูอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะสั่งให้มู่จ้งจิ่นนำฮูหยินนอนราบลงและสวมเสื้อผ้ากลับไปอีกครั้ง
“โรคประหลาดของนางจะหายหรือไม่?”
หลังจากที่ห่มผ้าห่มให้ฮูหยินเรียบร้อย มู่จ้งจิ่งก็รีบวิ่งออกมาถาม
ชิงอีนั่งไขว่ห้างบนเก้าอี้ แล้วรินชาดื่ม ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนหมอเทวดาเลยจริงๆ
ไฟแห่งความหวังที่เคยมีของมู่จ้งจิ่นก็มอดลงอีกครั้ง
นางเป็คนบ้าหรือไม่?
“ปกติแล้ว ฮูหยินของท่านกับสามคนนั่นมีความสัมพันธ์อย่างไร?”
สามคนนั่น? มู่จ้งจิ่นนึกถึงคนที่นางพูดถึง เพียงแต่เื่ของอิสตรี บุรุษอย่างเขาจะไปเข้าใจได้อย่างไร?
ทว่า กลับเป็หงเชี่ยว สาวใช้คนสนิทของฮูหยินโหวตอบกลับมาว่า “นายหญิงไม่ได้สนิทสนมกับฮูหยินทั้งสาม เพียงแต่ไม่กี่วันก่อนฮูหยินของท่านรองเ้ากรมพิธีการมาเชิญนายหญิงไปเที่ยวที่ชานเมืองฝั่งตะวันตก นายหญิงปฏิเสธคนไม่เป็อยู่แล้ว จึงไปกับนาง ใช่แล้ว วันนั้นฮูหยินของรองเสนาบดีกรมคลังและฮูหยินของนักปราชญ์สำนักไท่ก็อยู่ที่นั่นด้วย” หงเชี่ยวพูดพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้าง
“ใช่แล้ว ไม่นานนัก นายหญิงก็ล้มป่วยเ้าค่ะ”
“ในบรรดาสี่คน นายหญิงของเ้าป่วยเป็คนสุดท้ายใช่ไหม?”
หงเชี่ยวพยักหน้าอย่างรวดเร็ว
มู้จ้งจิ่งฟังแล้วได้แต่สงสัย อยากจะถามอยู่หลายครั้งหลายครา แต่ชิงอีไม่เปิดโอกาสให้เขาเลย
“เ้าจำรายละเอียดได้หรือไม่ ว่าวันนั้นมีเื่อะไรแปลกๆ เกิดขึ้นบ้าง?”
เื่แปลกๆ?
หงเชี่ยวขมวดคิ้ว “หรือจะเป็เื่นั้น...”
“เื่อะไร เ้ารีบบอกมา!” มู่จ้งจิ่นเริ่มหมดความอดทน
หงเชี่ยวรีบพูด “เดิมทีเื่นี้ไม่เกี่ยวอะไรกับนายหญิง เพียงแต่...” นางเหลือบมองมู่จ้งจิ่นด้วยท่าทางที่ค่อนข้างลำบากใจ แล้วกัดฟันเล่าต่อว่า “อันที่จริง ฮูหยินของรองเสนาบดีเชิญนายหญิงด้วยเจตนาไม่ดีอยู่บ่อยครั้ง นางทำให้นายหญิงอับอายต่อหน้าบรรดาสตรีผู้สูงศักดิ์ตลอด นางชอบบอกว่านายหญิงกับคุณชายโหวแต่งงานกันมาตั้งหลายปี แต่สกุลโหวกลับไม่มีทายาทเสียที”
“พวกปากมากนั่น!” มู่จ้งจิ่นลุกพรวดอย่างโกรธเคือง “เหตุใดอวี่โหรวถึงไม่เคยเล่าเื่นี้ให้ข้าฟังเลยล่ะ?”
“นายหญิงไม่้าให้ท่านทุกข์ใจเ้าค่ะ” หงเชี่ยวเล่าถึงความน้อยเนื้อต่ำใจของนายหญิงทั้งหมด พร้อมกับพึมพำว่า “เื่แบบนี้ ไม่ได้เกิดเพียงครั้งหรือสองครั้ง ดังนั้น นายหญิงจึงไม่อยากไปไหนเท่าไร ฝีปากของสตรีพวกนั้น ช่างแหลมคมราวกับมีดเลยเ้าค่ะ”
มู่จ้งจิ่นปวดใจ พอพิการ เขาค่อนข้างจิตตกและไม่อยากออกไปคบค้าสมาคมกับบรรดาขุนนาง อวี่โหรวเองก็มักจะอยู่กับเขาในจวนอยู่ตลอด เขาไม่เคยคิดเลยว่า...
ความจริงจะเป็เช่นนี้
เขาเป็สามีที่ไม่ได้เื่จริงๆ ไม่รู้เลยว่าฮูหยินจะถูกคนข้างนอกรังแก!
“อะไรที่ไม่สำคัญค่อยว่ากัน ตอนนี้เข้าประเด็นก่อน!” ชิงอีโบกมืออย่างหงุดหงิด
อยากจะเทอาหารสุนัข[1]ให้นางหรือไร? ชิ! นางจะเตะชามข้าวสุนัขก่อนพูดมากกว่าน่ะสิ
“ใช่ๆ เ้ารีบเล่าต่อสิ หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น?”
หงเชี่ยวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วเล่าต่อว่า “นายหญิงทนความอับอายไม่ไหว จึงเข้าป่าไปเพียงลำพัง แล้วพบว่ามีคนกำลังด่าทอและทุบตีแมวป่าตัวหนึ่ง เพราะมันมาขโมยอาหาร ฮูหยินเลยเข้าไปห้าม เพียงแต่เ้าแมวป่าตัวนั้นไม่รู้จักรับผิดชอบชั่วดี มันข่วนนายหญิงจนาเ็ ฮูหยินของรองเสนาบดีมาเห็นพอดี จึงสั่งให้คนจับแมวป่าตัวนั้น”
“แล้วต่อจากนั้นล่ะ?” ชิงอีถาม
หงเชี่ยวส่ายหน้า “ไม่มีแล้วเ้าค่ะ หลังจากนายหญิงาเ็ พวกเราก็กลับจวนกัน”
ชิงอีตบโต๊ะ “ข้าถามถึงแมวป่า”
“น่าจะตายไปแล้วเ้าค่ะ”
ตอนที่กำลังจะออกมา หงเชี่ยวจำได้รางๆ ว่าได้ยินเสียงหัวเราะของฮูหยินของรองเสนาบดี ทั้งยังเอ่ยว่านางต้อง ‘ให้รางวัล’ สัตว์ร้ายตัวนั้นซะแล้ว
ตอนนั้นนายหญิงของนางยังถอนหายใจ ทั้งยังเสียดายที่นางไม่อาจช่วยชีวิตแมวตัวนั้น
เื่ราวจบลงเช่นนี้ ทุกคนในจวนต่างเงียบ
หงเชี่ยวอดไม่ได้ที่จะถามว่า “หรือว่าเ้าแมวป่าตัวนั้นจะกลับมาล้างแค้นนายหญิงหรือเ้าคะ? แต่ไม่น่าจะใช่นะเ้าคะ นายหญิงไม่ได้ทำร้ายมันสักหน่อย นางอยากจะช่วยมัน แต่กลับถูกข่วนต่างหาก”
“ไร้สาระ โลกนี้จะไปมีเื่แบบนั้นที่ไหน...” มู่จ้งจิ่นพูดต่อไปไม่ได้ เพราะกระทั่งฮ่องเต้ยังถูกคนชั่วปองร้ายด้วยวิธีสกปรก ดังนั้น แมวป่าตายไปแล้วกลับมาแก้แค้น ก็ใช่ว่าจะเป็ไปไม่ได้
“ถ้าแมวป่าตัวนั้นถูกฆ่าตายจริงๆ แล้วกลับมาแก้แค้นละก็ ไม่ใช่ว่าฮูหยินเป็ผู้บริสุทธิ์ที่ถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องหรอกหรือ?” ใบหน้าของมู่จ้งจิ่นดูไม่แย่ลงไปอีก
“เื่ทุกอย่างย่อมมีผลของการกระทำ ไม่ว่าจะมีเจตนาที่ดีหรือไม่ก็ตาม” ชิงอีกล่าวเรียบๆ
แต่มู่จ้งจิ่นไม่สบายใจ “ท่านหมายความว่าเช่นไร ฮูหยินไม่ได้ทำร้ายแมวป่าตัวนั้นเลยนี่?”
“หากแต่กงเกวียนกำเกวียนนี้ เกิดจากการกระทำของนาง” น้ำเสียงของชิงอียังราบเรียบ “หากนางไม่เข้าไปช่วยแมวป่าตัวนั้น บางที หลังจากดุด่าและทุบตีมันแล้ว เขาอาจจะปล่อยมันไป พอนางยื่นมือเข้าไปช่วยจนได้รับาเ็ จึงทำให้ฮูหยินของรองเสนาบดีหันมาสนใจ เพราะแบบนั้น มันเลยไม่มีชีวิตรอด”
มู่จ้งจิ่นยิ่งโกรธเมื่อได้ยินเช่นนั้น “ไร้เหตุผลที่สุด! หากเป็อย่างที่ท่านว่า กลายเป็ว่าฮูหยินหาเื่ใส่ตัว เช่นนั้นเหล่าสตรีใจอำมหิตทั้งสามก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยสิ?”
ชิงอีเหลือบมองเขาด้วยท่าทางสงบนิ่ง “หากท่านจะคิดเช่นนั้น ก็ย่อมได้”
“ท่าน ท่านมันเลวทราม!” สีหน้าของมู่จ้งจิ่นดูน่าเกลียดอย่างหาที่เปรียบมิได้ หากเซียวเจวี๋ยไม่ได้อยู่ด้วย เขาคงลงไม้ลงมือไปแล้ว
“ท่านอ๋อง ตอนนี้ก็มืดค่ำแล้ว จวนโหวของกระหม่อมขออนุญาตไม่ส่งแขก!”
เซียวเจวี๋ยถึงกับถอนหายใจ เมื่อรู้ว่าคำพูดของเ้าตัวปัญหาทำให้คนขุ่นเคืองอีกครั้ง เขาจึงกล่าวคำอำลาและลากชิงอีออกมา
เมื่อออกจากจวนโหวมาขึ้นรถม้า ชิงอีก็รีบถอดหมวกทันทีและโยนมันทิ้งข้างๆ ด้วยความรังเกียจ สีหน้าหยิ่งผยอง ราวกับไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด
“กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมคืนสนอง ทว่า คำกล่าวนี้ก็ไม่ได้ถูกต้องเสียทีเดียว” เซียวเจวี๋ยถอนหายใจ ขณะที่มองสีหน้าของนาง
ชิงอีได้ยินเช่นนี้ก็มองเขาอย่างประหลาดใจ “แล้วเ้าคิดว่าข้าพูดถูกหรือไม่?”
“หากมองตามหลักของศาสนาในเื่เวรกรรมแล้ว สิ่งที่เ้ากล่าวนั้นก็ถูกต้องแล้ว”
ชิงอีแอบแปลกใจ นางคิดว่าเซียวเจวี๋ยจะดุนางเหมือนมู่จ้งจิ่นว่าพูดเื่ไร้สาระ
“ข้าไม่รู้เลยนะเนี่ย พ่อหนุ่ม เ้าเองก็ดูจะมีความรู้อยู่บ้างนะ”
ใบหน้าของเซียวเจวี๋ยถึงกับกระตุก เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ คิดแล้วเชียว เขาไม่เคยชินกับนางเลยจริงๆ
แล้วเขาก็พูดเสียดสีว่า “อย่างไรก็ตาม คนที่มีสมอง เขาไม่พูดแบบเ้าหรอก”
*********************
[1] เทอาหารสุนัข (塞狗粮) แปลว่า อาการอิจฉาที่เห็นคนอื่นมีแฟนหรือเห็นคนรักกัน
