เฉิงอี้เฟยก็ติดประกาศเช่นกัน?
่เวลานี้เขาล้อเล่นอะไรกัน?
กูเฟยเยี่ยนรีบถาม “เฉิงอี้เฟยติดประกาศว่าอะไร? ”
ขันทีรีบพูดถึงเนื้อความในประกาศออกมา กูเฟยเยี่ยนฟังแล้วรู้สึกประหลาดใจมากจนพูดอะไรไม่ออกไปชั่วคราว
ประกาศของเฉิงอี้เฟยเขียนไว้ยาวมาก จำนวนคำมากกว่าประกาศของตระกูลฉีถึงสามเท่า
เนื้อความส่วนใหญ่มีสามความหมาย ความหมายแรกคืออธิบายเื่ราวระหว่างเขากับกูเฟยเยี่ยนที่เกิดขึ้นในหอฝูหม่านตอนนั้นว่า เดิมทีตนเอง้าเชิญกูเฟยเยี่ยนไปรับประทานอาหารเพื่อขอบคุณที่นางมาส่งยารักษาและเพื่อตอบแทนที่นางได้ช่วยชีวิตเอาไว้ ต่อมาดื่มเกินไปจึงเสียมารยาทแบกนางออกมา เพราะการเสียมารยาทของเขาทำให้กูเฟยเยี่ยนได้รับปัญหาความยุ่งยากที่ไม่จำเป็ เขาจึงทำการขอโทษท่ามกลางผู้คน
อีกความหมายหนึ่งคือกูเฟยเยี่ยนไม่เพียงแค่ช่วยชีวิตเขา แต่ยังช่วยชีวิตพี่น้องในค่ายทหารเขาอีกด้วย เขาจึงขอใช้โอกาสนี้ในการแสดงความขอบคุณ สำหรับความหมายที่สามน่าสนใจเป็อย่างมาก
เขาบอกว่ากูเฟยเยี่ยนเป็สตรีที่ยอดเยี่ยม คู่ควรกับบุรุษที่ดี ดังนั้นเขาจึงตั้งใจประกาศ…แสดงความยินดีกับกูเฟยเยี่ยนที่ได้ยกเลิกสัญญาหมั้นหมายกับฉีอวี้! ในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าตนเองก็เป็บุรุษที่ดีจึงอยากให้กูเฟยเยี่ยนรับไว้พิจารณา
กูเฟยเยี่ยนทั้งเขินอายทั้งโกรธเคียง ทว่าก็อยากจะหัวเราะ อารมณ์ในตอนนี้เรียกได้ว่าแปรปรวนมาก! แม้ว่าจะแปรปรวนแต่นางก็อดไม่ได้ที่จะยกย่องเฉิงอี้เฟยในใจ ชายหนุ่มผู้นั้น…มีความสามารถจริงๆ!
ทางด้านของเซี่ยเสี่ยวหม่านนั้นหัวเราะออกมาดังลั่น เขาตั้งใจเดินไปด้านหน้าของกูเฟยเยี่ยนพลางลูบไล้ปลายคางของตนเอง อารมณ์ของเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยความสนุกสนานในการพินิจพิเคราะห์นาง เดิมที่กูเฟยเยี่ยนยังไม่เขินอายมากนัก แต่เมื่อถูกพินิจพิเคราะห์ ใบหน้าของนางก็เลยแดงก่ำขึ้นมา
หมอนั่นเพียงแค่ประกาศคำชี้แจงกับคำอวยพรไม่ดีหรือ? เหตุใดจึงต้องพูดถึงประโยคสุดท้าย? กลัวว่าโลกนี้จะไม่วุ่นวายหรือ?
“เฮ้อ”
เซี่ยเสี่ยวหม่านทอดถอนหายใจออกมา “ดูท่าว่าแม่ทัพเฉิงจะชอบเ้าจริงเสียด้วย! เป็อย่างไรบ้าง พิจารณาดูไหม? ”
กูเฟยเยี่ยนหลบหลีกสายตาของเขา เซี่ยเสี่ยวหม่านไล่ตามไป ทันใดนั้นก็เอ่ยออกมาด้วยความยิ้มแย้ม “นังหนู ท่านแม่ทัพเฉิงเป็ลูกผู้ชายตัวจริง เ้าไปอยู่กับเขาสิ! รับรองว่าอยู่ดีกินดี ดีกว่าอยู่เป็คนรับใช้ที่นี่เสียอีก! ”
กูเฟยเยี่ยนทราบดีว่าเซี่ยเสี่ยวหม่าน้าให้นางไป นางกลอกตามองบนพลางหันหนี
นางไม่้าไป!
นางสามารถเป็เพื่อนและคู่หูกับเฉิงอี้เฟยได้ เื่อย่างอื่นนั้นช่างมันเถอะ!
สำหรับเซี่ยเสี่ยวหม่านที่้าให้นางออกไปจากจิ้งหวางฝู่ ไม่มีทาง! ต้องทราบไว้ว่านางยังคงคาดหวังว่าหลังจากที่ผ่านพ้นสามเดือนไปแล้ว จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยจะพอใจนางและให้นางอยู่ต่อ
การที่มีเื่กับองค์หญิงหวายหนิงและตระกูลฉีมันจะเท่ากับว่านางเป็ศัตรูกับครึ่งราชสำนักแล้ว นางจำเป็ต้องพึ่งพาร่มไม้ใหญ่ของจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยถึงจะปลอดภัย เมื่อปลอดภัยแล้วถึงจะมีสมาธิไปสืบความลับของปิงไห่!
อารมณ์ของกูเฟยเยี่ยนดีขึ้นแล้ว นางกำลังคอยให้จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยเสด็จกลับมาที่จวน นางอยากจะรออีกสองวัน หากจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยยังไม่เสด็จกลับมานางก็จะไปที่ศาลต้าหลี่ด้วยตนเอง
จิ้งจอกเฒ่าที่อันตรายเช่นนี้ ไม่อาจปล่อยไว้ได้!
ระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งวัน ประกาศของเฉิงอี้เฟยก็แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วเฉกเช่นกับประกาศของตระกูลฉี บัดนี้เื่ราวแพร่กระจายไปทั่วสารทิศแล้ว ซึ่งรวมไปถึงภายในพระราชวังเช่นกัน
ไม่กล่าวไม่ได้ว่าจากประกาศคำขอโทษของตระกูลฉีแล้วตามด้วยคำชี้แจงของตระกูลเฉิง ชื่อเสียงของกูเฟยเยี่ยนย้อนกลับมาไม่น้อยเลย
เพียงแต่ว่าในขณะเดียวกันเื่นี้ก็ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ทุกคนคาดไม่ถึง นั่นก็คือ…ในขณะที่ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ใบประกาศของสองแม่ทัพใหญ่ ทุกคนก็กำลังรอคอยประกาศจากจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยเช่นกัน
นอกจากเฉิงอี้เฟยแล้ว จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยก็มีความคลุมเครือกับกูเฟยเยี่ยน! อีกทั้งยังมีข่าวลือมากมายที่รุนแรงกว่าเฉิงอี้เฟยเสียอีก ไม่ว่าความจริงจะเป็เช่นไร จิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยก็คงจะใช้โอกาสนี้ในการชี้แจงใช่หรือไม่?
ทุกคนรอแล้วรอเล่า รอจนท้องฟ้ามืดมิดก็ไม่เห็นใบประกาศของจิ้งหวางฝู่
วันรุ่งขึ้นข้อวิพากษ์วิจารณ์มีการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง บัดนี้ไม่มีผู้คนในความสนใจตระกูลฉีกับตระกูลเฉิงแล้ว สิ่งที่ทุกคนให้ความสนใจคือปฏิกิริยาตอบสนองของจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ย
ตัวอย่างเช่น ตกลงแล้วจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยจะออกประกาศหรือไม่? จะออกเมื่อใด? จะเขียนอะไรบนประกาศบ้าง?
เดิมทีกูเฟยเยี่ยนไม่ได้คิดถึงเื่นี้ หลังจากที่ได้รับแจ้งจากเซี่ยเสี่ยวหม่านนางก็เกิดความประหลาดใจมาก นางคิดว่าจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ยคงจะยังไม่ทราบเื่ราวนี้ใช่หรือไม่? หากเขาทราบแล้วคงจะฉวยโอกาสชี้แจงแล้ว
เนื่องจากเมื่อชี้แจงแล้วมันจะส่งผลดีต่อนางกับจิ้งหวางเตี้ยนเซี่ย
อันที่จริงจวินจิ่วเฉินทราบเื่ใบประกาศมาตั้งนานแล้ว อีกทั้งยังทราบด้วยว่าตนเองจะกลายมาเป็จุดสนใจในข้อวิพากษ์วิจารณ์ สองวันมานี้เขาอาศัยอยู่ที่วัดต้าฉือที่อยู่นอกตัวเมือง โดยที่ไม่สนใจว่าผู้คนบนโลกจะพูดคุยอะไรกัน
เขาไม่เชื่อในพระพุทธศาสนาและไม่เชื่อในเทพเ้า แต่กลับชื่นชอบความเงียบสงบภายในวัด ชื่นชอบเสียงบทสวดมนต์ และชื่นชอบกลิ่นธูปหอม
ในเวลานี้ กลางดึกที่เงียบสงัด ดวงจันทร์สว่างไสวขึ้นมาทางทิศตะวันออก เคียงคู่ไปกับดวงดาวระยิบระยับ
ภายในพระอุโบสถของวัดต้าฉือมีดอกไม้เพลิงเจิดจรัส เ้าอาวาสหุ้ยกวงกำลังนำกลุ่มพระสงฆ์สวดคัมภีร์ด้วยน้ำเสียงครบครันมีพลังราวกับว่ามีเวทมนตร์ของตัวเอง เสียงนี้ทำให้จิตใจที่ร้อนรนสามารถสงบสติลงได้
จวินจิ่วเฉินสวมใส่อาภรณ์สีขาวอันบริสุทธิ์ นั่งอยู่ที่หน้าบันไดหน้าอุโบสถ ในมือของเขาถือลูกประคำกลิ่นหอมจากไม้กฤษณาเส้นนั้นพลางหลับตาลง ฟังเสียงด้วยความเงียบสงบ ตัวเขาเงียบสงบราวกับหลอมรวมไปกับเสียงสวดมนต์ แสงจากดวงจันทร์ ท้องฟ้าในยามราตรี และดวงดาวอันโดดเดี่ยว
เมื่อเหล่าพระสงฆ์สวดมนต์เรียบร้อยแล้ว จวินจิ่วเฉินก็ยังคงหลับตาอยู่ ทว่าเขากลับคลึงสร้อยลูกประคำเส้นนั้นในมือ ชายหนุ่มคลึงทีละเม็ด ค่อยๆ นับทีละเม็ด
วัดต้าฉือเป็วัดของราชวงศ์ จวินจิ่วเฉินมักจะเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ เ้าอาวาสทราบอุปนิสัยของเขาดีจึงไม่เคยมารบกวน ยามนี้ผู้คนและพระสงฆ์ได้ทยอยออกไปแล้ว ทว่ามีสามเณรน้อยรูปหนึ่งวิ่งมานั่งลงที่ด้านข้างของจวินจิ่วเฉิน
สามเณรน้อยมีนามว่าเฉิน อายุประมาณเก้าปี รูปลักษณ์ราวกับถูกแกะสลักมาจากหยกที่มีทั้งความสง่างามและความอบอุ่นดั่งหยกขาวที่ไร้ที่ติ เด็กน้อยสวมใส่เสื้อคลุมสีเทาดำ บนลำคอคล้องสร้อยลูกประคำยาวๆ เอาไว้ แม้ว่าจะอายุยังน้อย รูปร่างหน้าตาเยาว์วัย แต่ก็มีลักษณะเหมือนกับพระภิกษุแล้ว
ทั่วทั้งวัดต้าฉือมีเพียงเด็กน้อยคนนี้ที่กล้าวิ่งมาอยู่ข้างกายจวินจิ่วเฉิน จวินจิ่วเฉินไม่สนใจเ้าอาวาสแต่ชื่นชอบพูดคุยเล็กๆ น้อยๆกับสามเณรคนนี้
สามเณรน้อยเอียงศีรษะมองไปที่จวินจิ่วเฉินพลางหยิบลูกประคำบนมือของจวินจิ่วเฉินมาดม ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เตี้ยนเซี่ย กลิ่นหอมจากไม้กฤษณาหายไปแล้ว? ”
่เวลาที่พิษไอเย็นกำเริบเมื่อคราวก่อน จวินจิ่วเฉินได้แช่น้ำสมุนไพร สร้อยลูกประคำเส้นนี้ถูกแช่อยู่ในบ่อน้ำพุร้อนมาเป็เวลาหนึ่งคืน วันต่อมากลิ่นหอมก็จางหายไปจนเหลือเพียงแค่กลิ่นของยาสมุนไพร ทว่าบัดนี้ไม่หลงเหลือแม้กระทั่งกลิ่นของยาสมุนไพร
จวินจิ่วเฉินลืมตาขึ้นมาตอบเพียงแค่ “อืม” โดยที่น้ำเสียงไม่ได้เ็าเหมือน่เวลาปกติ น้ำเสียงติดออกจะอ่อนโยนเล็กน้อยด้วยซ้ำ
สามเณรน้อยมองแล้วมองอีกด้วยสีหน้าเสียดาย แต่ก็อมยิ้มออกมาอย่างรวดเร็ว “จะต้องเป็เพราะโชคชะตาแน่ๆ เตี้ยนเซี่ยไม่จำเป็ต้องทุกข์ใจ”
ไม่อาจทราบได้ว่าสามเณรน้อยปลอบใจตนเองหรือปลอบใจจวินจิ่วเฉินกันแน่
เด็กน้อยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ดวงตาหรี่ลงดั่งดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยว สามเณรน้อยผู้นี้ให้ความรู้สึกไร้เดียงสาและบริสุทธิ์ อบอุ่นและน่ารัก เห็นได้ชัดว่าเขาเป็เพียงเด็กน้อยที่มีอายุเพียงแค่เก้าปี แต่เมื่อยิ้มออกมาแล้วประหนึ่งกับมีพลังงานบางอย่างที่ทำให้รู้สึกเหมือนฤดูใบไม้ผลิปรากฏออกมาในเดือนสี่ อีกทั้งยังให้ความรู้สึกอบอุ่นและสบายใจอีกด้วย
ทุกครั้งที่จวินจิ่วเฉินเห็นรอยยิ้มของสามเณรน้อย เขามักจะมีความรู้สึกพูดไม่ออก ไม่ว่าจะเป็ความหนักหน่วง ความโกรธ หรือว่าความไม่สบายใจ ล้วนหายไปในชั่วพริบตา
การที่เขาเดินทางมาที่วัดต้าฉือก็เพราะ้ามาฟังบทสวดมนต์และมาดูเด็กน้อยคนนี้
จวินจิ่วเฉินลูบศีรษะมันเงาของสามเณรน้อย เขาให้ลูกอมหนึ่งเม็ดก่อนจะลุกขึ้นจากไป
ในค่ำคืนนั้นเขาก็ได้กลับมาในตัวเมืองแล้ว…