สองปีมานี้ เฟิงอวี้เรียนรู้ที่จะเก็บซ่อนลมปราณของตัวเอง และลบอักษรจารึกผนึกสัญลักษณ์ 卐 ตรงหน้าอกได้โดยสำเร็จ
ในสายตาของเหล่าพระอาจารย์วัดหนานหลัว หากสัญลักษณ์卐ยังคงอยู่ หมายความว่าิญญายังอยู่ หากสัญลักษณ์卐หายไป ก็แสดงว่าปีศาจร้ายได้หายไปแล้ว และหย่งอวี้ได้รับอนุญาตให้ออกจากเจดีย์เจิ้นเยาแล้ว
แค่ยังต้องรอตรวจสอบกระบวนการ
คนที่มีทำการยืนยันแล้วว่าเฟิงอวี้นั้นไม่อยู่แล้วจริงๆ
อวี๋มู่ลงมาจากชั้นสิบแปดก่อนหน้าที่เหล่านักบวชจะมา เวลาผ่านไปหนึ่งปีครึ่ง เขาก็พบเข้ากับเหล่าิญญาที่เคยขู่เขาในตอนนั้น
ิญญาหนุ่มั์ตนนั้นเห็นเขา ถึงกับจ้องตาถมึงทึง อีกฝ่ายกำหมัดเดินไปทางเขา แล้วปล่อยหมัดเข้าที่หน้าของอวี๋มู่อย่างเหี้ยมโหด
ทว่าอวี๋มู่ยกมือต้านไว้ได้ทันที
ซึ่งเป็เื่ราวน่าแปลกที่เกิดขึ้น
เขาใช้มือที่ไม่นับว่าใหญ่มากไปรับหมัดใหญ่ของิญญาชายร่างั์ แต่อีกฝ่ายกลับไม่อาจเข้าใกล้เขาได้แม้แต่เซนเดียว!
“เ้า! เป็ไปได้อย่างไร?! ” ิญญาหนุ่มั์เกิดคำถามมากมายอยู่เต็มหัว เมื่อเขามองไปอีกที พลันรอบกายของอวี๋มู่ก็แผ่รังสีมืดมนออกมา และเข้มข้นกว่าของเขามากนัก!
ส่วนที่อวี๋มู่รู้สึกตอนนี้มีเพียงคำเดียว : สนุกแน่
ต่อหน้าเฟิงอวี้ เขามักจะถูกอีกฝ่ายต่อว่าจนต้องร้องขอชีวิต แม้จะรู้ว่าตัวเองไม่ได้อ่อนแอแล้ว แต่ก็แสร้งทำเป็ภักดี
แต่ต่อหน้าิญญาพวกนี้นั้นแตกต่าง
เขายิ้มอย่างเป็มิตร “โอ๊ย ขอโทษที พี่ชาย บีบจนเจ็บเลยใช่ไหม? มาให้ข้านวดให้เ้าดีกว่า? ”
เมื่อสิ้นเสียง เขาก็ดึงข้อมืออีกฝ่ายลงต่ำ แล้วกระทุ้งเข่าเข้าไปอย่างจังตรงเข้าส่วนท้องของิญญาหนุ่มั์ ส่วนอีกมือหนึ่งก็กางออก แล้วคว้าหมับเข้าที่คอของอีกฝ่าย จนเล็บทิ่มเข้าร่างิญญาของฝ่ายนั้น จากนั้นก็ชูตัวิญญาหนุ่มั์ขึ้นกลางอากาศ
พลางเอ่ย “อย่าเห็นว่าตัวเองร้ายกาจแล้วจะรังแกคนอ่อนแอได้ ไม่อย่างนั้นกรรมจะตามทัน หัดสำรวมเสียบ้าง น้องชาย”
กล่าวจบ เขาก็สะบัดแขนออกทันที จนิญญาหนุ่มั์ลอยถลาไปไกลหลายเมตร จากนั้นเขาก็เดินลงไปชั้นล่างอย่างสบายใจ
ปล่อยเหล่าิญญาผู้ชมตรงชั้นสิบหกไว้ที่เดิม ซึ่งกำลังยืนอึ้งอ้าปากค้างไปตามกัน
ในบรรดาพวกเขาแล้ว ิญญาหนุ่มั์นั้นแข็งแกร่งที่สุด แต่ตอนนี้กลับโดนจัดการไปแล้ว ก็เลยไม่มีใครกล้าออกหน้า
ไม่นานนัก ิญญาสาวที่ชื่อเยียนเอ๋อร์ก็ซุบซิบกับิญญาผูกคอตายที่ยืนข้างๆ
“ข้าว่าแล้วอย่างไร เ้าอสูรฟ้านั่นให้เขากินปราณิญญา ตอนนี้ไม่รู้ว่าเขาแข็งแกร่งขนาดไหน หลบอยู่ข้างบนตั้งนาน พอลงมาก็จัดการพี่ใหญ่จนหมอบ สุดยอดไปเลยจริงๆ ! ”
ิญญาผูกคอตายตกตะลึง พลางส่ายลิ้นตัวเอง แล้วพยักหน้า “ิญญาพิศวาสนี่พลังแข็งแกร่งขึ้นนัก สุดยอดจริงๆ ด้วย”
ิญญาสาวผลักอีกฝ่าย แล้วตะคอกขึ้น “โอ๊ย! ข้าไม่ได้หมายถึงเขาสุดยอด! ข้าหมายถึงอสูรฟ้าต่างหากที่สุดยอด! อายุน้อยๆ แต่พลังปราณกลับแข็งแกร่ง แล้วยังมีรูปโฉมงดงามถึงเพียงนั้น! เฮ้อ ข้าชักจะคันไม้คันมือแล้วสิ! ”
“…” ิญญาผูกคอตายร่างสูงโย่งมองนางด้วยสายตาล้ำลึก แล้วเอ่ย “เ้านี่ระริกระรี้จริง ตายแล้วยังจะร่านอีก ข้ารู้สึกเห็นใจอย่างสุดซึ้งกับสามีเก่าก่อนตายของเ้าเสียจริง”
“น่าชัง! ”
*
อวี๋มู่เดินกลับลงมาชั้นสาม ภูตผีน้อยสามตัวไม่ได้เจอเขานาน เมื่อเห็นเขากลับมา ก็รีบมารายล้อม แล้วซักถามเขามากมาย
อวี๋มู่ตอบพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นเวลาพอสมควรแล้ว ก็ลุกขึ้นจะกลับไป แต่กลับถูกภูตผีน้อยที่ชื่อซานซานดึงชายเสื้อไว้
“พี่ชายิญญาพิศวาส เ้า… เ้าช่วยพาข้าออกไปจากที่นี่ด้วย ได้หรือไม่? ”
อวี๋มู่บอกกับพวกเขาว่าตัวเองกับอสูรฟ้าจะออกจากเจดีย์เจิ้นเยาพร้อมกัน จึงมาร่ำลา
เขาคิดไม่ถึงว่าจะถูกซานซานยื้อไว้ นาทีนั้นไม่รู้จะตอบอย่างไร
ภูตผีน้อยอีกหนึ่งตัวก็เดินมา แล้วเอ่ย “พี่ชายิญญาพิศวาส ตอนนั้นซานซานนั้นพลัดหลงกับพ่อแม่พี่น้อง พเนจรอยู่นานจนสุดท้ายก็หิวตายอยู่ข้างทาง เพราะห่วงนั้นลึกซึ้งเกินไป จึงกลายเป็ิญญา ต่อมาก็จับพลัดจับผลูถูกจับเข้ามาขังในเจดีย์เจิ้นเยาด้วย ตอนนี้ถูกขังมาสิบกว่าปี เขาอยากออกไปพบกับพ่อแม่ ท่านรับปากเขาเถอะ”
ภูตผีน้อยซื่อบื้ออีกตัวก็เดินเข้ามา แล้วเอ่ย “พี่ชาย ตอบตกลงเขาเถอะ”
อวี๋มู่หวั่นไหว เขาจึงพยักหน้า แล้วให้ซานซานหดตัวเล็กลงแล้วซ่อนอยู่ในผมของเขา ถึงขึ้นไปชั้นสิบแปดได้
*
เมื่อพระอาจารย์แน่ใจว่าตัวหย่งอวี้นั้นไม่มีปีศาจร้ายแล้ว จึงปลดโซ่ล่ามชีวิตเขาออก พรุ่งนี้ยามบ่ายจะปล่อยเขาออกจากเจดีย์เจิ้นเยา
ตอนที่อวี๋มู่เดินขึ้นไป หย่งอวี้นั้นเดินออกจากแท่นหินแล้ว เขาสวมรองเท้านักบวชคู่ใหม่ เผยให้ข้อเท้าที่เปลือยออกมา มีรอยเขียวช้ำนานแรมปีที่คงเหลือไว้บนนั้น
เขายืนอยู่ริมหน้าต่าง แล้วมองออกไป แสงตะวันสีทองอ่อนๆ สาดบนตัวเขาแผ่เป็รัศมี
เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหว หย่งอวี้จึงเลื่อนสายตาไปหยุดที่ตัวอวี๋มู่ แล้วยกยิ้มเบาๆ
เขาโบกมือให้อวี๋มู่ “โยมอวี๋ มาดูนี่สิ”
เมื่ออวี๋มู่เดินขึ้นไป หย่งอวี้ก็ชี้นิ้วไปที่กระถางจุดธูปในวัด แล้วเอ่ย “ข้างนอกคึกคักมาก ผู้คนมากมาย อาตมานึกถึงว่าพรุ่งนี้ก็จะได้ออกไปพร้อมกับโยมอวี๋ ยิ่งรู้สึกดีใจ”
เขาพูดเช่นนี้ ซึ่งอวี๋มู่ก็ดีใจ
ในเื่บอกว่าพอเฟิงอวี้ออกจากเจดีย์เจิ้นเยาก็เผยตัวตน แล้วแผดเผาทำลายวัดหนานหลัว แต่จากที่ดูตอนนี้ ่เวลาสองปีที่มีเขาอยู่เคียงข้าง หย่งอวี้กับเฟิงอวี้ก็ค่อยๆ หลอมรวมกัน เหมือนว่าจะไม่ได้แยกกันสุดขั้วเหมือนกับตอนนั้นแล้ว
ซึ่งถือเป็เื่ดี
เพียงอวี๋มู่มีความคิดนี้ในหัว ก็ได้ยินหย่งอวี้เอ่ยขึ้นมา
“โยมอวี๋ เ้าว่า พวกเราควรทำให้มันคึกคักกว่านี้ดีหรือไม่? อย่างเช่น…”
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาชี้ไปที่ป่าเขาอันอุดมสมบูรณ์ ั์ตามีแสงสีแดงฉายวาบขึ้นมา ก่อนจะกล่าวเสียงนิ่ง “จุดไฟ เผามันให้หมด”
อวี๋มู่ตกตะลึง เย็นวาบไปทั้งใจ มองดูหย่งอวี้ด้วยความหวาดหวั่นเล็กน้อย
หย่งอวี้กับเขาสบตากันเพียงชั่วครู่ ฉับพลันอีกฝ่ายก็ยิ้มออกมา จนเห็นลักยิ้มสองข้าง
“โยมอวี๋ไม่ต้องกลัว อาตมาเพียงแค่ล้อเ้าเล่น” เขาเอ่ย “พระอาจารย์วัดหนานหลัวมีบุญคุณต่อข้า แล้วข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร”
“…”
อวี๋มู่จ้องเขาเขม็ง เหมือนดูอะไรบางอย่างออก แต่กลับเห็นอีกฝ่ายปิดบังมันไว้อย่างดี หรืออีกอย่างคืออารมณ์เหมือนพุทธสาวกที่สงบนิ่งจากภายใน
อย่าทำให้คนตกอกใได้ไหมเล่า?
แกล้งฉันเล่นหรืออย่างไร?
นายกำลังบอกฉันว่าน้ำเสียงจริงจังเมื่อครู่แค่ล้อเล่นอย่างนั้นหรือ?
อย่างไรฉันก็ไม่เชื่อ!
แต่อีกฝ่ายไม่ยอมรับตรงๆ ซึ่งเขาเองก็ไม่มีโอกาสกระทั่งจะโน้มน้าว จึงได้แต่อัดอั้นอยู่ในใจ
“โยมอวี๋ อาตมาจำได้แล้ว” หย่งอวี้ไม่ได้ใส่ใจกับความนิ่งเงียบของเขา มือค่อยๆ หมุนลูกประคำ แล้วเอ่ย “การมีตัวตนอยู่ของเฟิงอวี้ แล้วยัง… คำพูดเ่าั้ที่เ้าพูดกับเฟิงอวี้ และเื่ที่เ้าทำ”
!!!
อวี๋มู่ตกตะลึง ทันใดนั้นใบหน้าก็เริ่มรู้สึกร้อนจนแทบไหม้
เขานึกว่าแม้จะหลอมรวมกัน แต่หย่งอวี้ก็คงไม่มีความทรงจำพวกนั้น แต่ตอนนี้เหมือนเขากำลังถูกความเป็จริงตบหน้าเข้าให้!
แม่เ้า! ตอนนี้เขาควรทำอย่างไรดี?
“...เ้ารู้แล้วหรือ” เขาตอบแห้งๆ “ก่อนหน้านี้ที่ทำอะไรล่วงเกิน ขออาจารย์อย่าได้ถือสา”
ให้ตาย! น่าอึดอัดชะมัด!
อวี๋มู่รู้สึกว่าตนเองมีชีวิตอยู่มาก็หลายปี แต่ไม่เคยรู้สึกอึดอัดใจขนาดนี้มาก่อน
อย่างไรก็ตาม แม้หย่งอวี้จะมีแนวโน้มหลอมรวมกัน แต่อย่างน้อยสองปีมานี้ระหว่างทั้งสองคนก็มีการสื่อสารที่บริสุทธิ์ เหมือนสหายทั่วไป
ในสายตาเขา หย่งอวี้ยังเป็พุทธสาวกที่สะอาดบริสุทธิ์ แตกต่างจากเฟิงอวี้
แต่ตอนนี้ หย่งอวี้กลับเปิดเผยออกมาตรงๆ ไม่ต่างจากการเปิดเผยความจริง แล้วลงทัณฑ์เขาต่อหน้าสาธารณชน!
“ล่วงเกิน? ” หย่งอวี้เม้มปาก แล้วเอ่ย “หรือในสายตาของโยมอวี๋ สำหรับข้าแล้วคือการล่วงเกิน แต่สำหรับเฟิงอวี้คือเื่ธรรมชาติ”
เขายิ้มออกมา แต่แววตากลับดำดิ่งและมืดมน “โยมรู้หรือไม่ว่าหลายวันนี้ข้าคิดอะไรอยู่บ้าง? ”
หย่งอวี้เดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว บดบังแสงตะวันทั้งหมด ทำให้อวี๋มู่ที่หลังติดกำแพงต้องรีบตีตัวออกห่างจากเขาเล็กน้อย
หย่งอวี้ในตอนนี้ดูอันตรายมาก
อวี๋มู่รู้สึกได้อย่างชัดเจน!
หรือนี่จะเป็ธรรมชาติของเขา??
หากรู้ว่าจะเป็เช่นนี้ ไม่ให้พวกเขาหลอมรวมกันจะดีกว่า!
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
