เย่เฟิงเพียงยิ้มแต่ไม่พูดอะไร จากนั้นเขาเหยียดนิ้วพร้อมมีลำแสงสีเงินพุ่งออกจากปลายนิ้ว พลันกลายเป็รังสีหอกก่อนจะพุ่งไปจู่โจมเครื่องลายครามที่วางอยู่ริมห้อง
“วูบ!” พลันเสียงดังมาจากเครื่องลายคราม รังสีหอกนั่นทะลุเครื่องลายคราม พร้อมปรากฏรูขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ แต่ส่วนอื่น ๆ ของเครื่องลายครามยังคงอยู่ในสภาพดี
“ร้ายกาจมาก!” ฉินเจิ้นถิงเห็นฉากที่น่าเหลือเชื่อนี้ก็รูม่านตาหดแคบลงพร้อมใจเต้นระรัว เครื่องลายครามนั้นของเขาเปราะบางมาก แต่ตัวเครื่องลายครามกลับไม่มีความเสียหาย มีเพียงรูนั้นที่ปรากฏขึ้นมาใหม่
การโจมตีและการควบคุมพลังเช่นนี้ถือว่าสมบูรณ์แบบมาก เห็นชัดว่าพลังแห่งอำนาจของเย่เฟิงบรรลุขั้นกายาอย่างไม่ต้องสงสัย
“ข้าก็แค่บังเอิญ” เย่เฟิงกล่าว ซึ่งเขาไม่ได้บอกเื่ที่เขาเจาะจงยกระดับอำนาจหอกในการปิดด่านครั้งนี้
“บังเอิญงั้นหรือ?” ฉินเจิ้นถิงยังใไม่หาย พร้อมกับกล่าวต่อว่า “เ้ารู้หรือไม่ ว่ามีคนมากน้อยเท่าใดที่้าได้รับโอกาสเช่นเ้าแต่ก็คว้ามาไม่ได้”
เย่เฟิงเพียงยิ้มแล้วเงียบไป ครู่ต่อมาเขาก็ถามขึ้นว่า “มิทราบว่าผู้าุโฉินเรียกพบข้ามีเื่อันใดหรือ?”
ฉินเจิ้นถิงถอนหายใจยาวคล้ายระงับความตื่นใไว้ แล้วกล่าวว่า “พรุ่งนี้คือวันงานพิธีหมั้นขององค์หญิงจ้าวซินอี๋กับเว่ยฉีเทียน เ้าคงรู้เื่นี้แล้ว เ้าคิดเห็นอย่างไร?”
เย่เฟิงชะงักไปเล็กน้อย ไม่คิดว่าฉินเจิ้นถิงจะถามคำถามนี้กับเขา “เว่ยฉีเทียนเป็ลูกผู้ลากมากดี มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วอาณาจักรเว่ย ทว่าหัวสมองกลับไร้ความคิด ไม่ร่ำเรียนสิ่งใด หากองค์หญิงซินอี๋แต่งกับเขาไปก็มีแต่จะทุกข์ใจ”
ฉินเจิ้นถิงกะพริบตาปริบ ๆ เขานิ่งเงียบไปไม่รู้คิดอะไรอยู่ แต่ครู่ต่อมาเขาพูดขึ้นว่า “พูดเช่นนี้ เ้าคิดจะหยุดงานหมั้นนี้หรือ?”
เย่เฟิงมองฉินเจิ้นถิงด้วยสายตาล้ำลึก “ข้ามีความคิดเช่นนี้อยู่จริง!”
ฉินเจิ้นถิงได้ยินเช่นนั้นก็ถอนใจเล็กน้อย “อันที่จริงที่ข้าเรียกเ้ามาในวันนี้ก็เพราะเื่นี้แหละ พรุ่งนี้ข้าจะส่งผู้ฝึกยุทธ์จำนวนหนึ่งไปกับเ้า เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของเ้า เมื่อถึงเวลาจำเป็ คนเหล่านี้ก็จะเป็กำลังสนับสนุนของเ้า”
เย่เฟิงรู้สึกเกินคาดเล็กน้อย “เช่นนั้นข้าขอขอบคุณผู้าุโฉินมาก”
“ไปเถอะ เตรียมตัวให้พร้อม วันพรุ่งนี้อาจจะเป็วันพิเศษที่ไม่ธรรมดา” ฉินเจิ้นถิงกล่าวพร้อมโบกไม้โบกมือ เดิมทีเขาไม่อยากให้เย่เฟิงอยู่ใกล้จ้าวซินอี๋ แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เขาก็ทำได้เพียงช่วยเหลือเท่านั้น
“ข้าขอตัวลา!” เย่เฟิงคำนับฉินเจิ้นถิง จากนั้นเดินออกจากห้องนี้ไป
“ต่อไปไม่ว่าเ้าจะมีสาวน้อยมากแค่ไหน หากเ้ากล้าทำให้เยียนหรานผิดหวัง ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้เ้าเด็ดขาด!” ขณะที่เย่เฟิงเดินออกจากห้อง จู่ ๆ เสียงของฉินเจิ้นถิงก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งแฝงด้วยความหมายตักเตือน
“แน่นอนว่าไม่มีทางเกิดขึ้น” เย่เฟิงกล่าวโดยไม่หันหลังไปมอง ก่อนจะออกจากห้องไป พร้อมกับความรู้สึกแปลก ๆ
คำพูดของฉินเจิ้นถิงแฝงไว้หลายความหมาย แต่จุดประสงค์หลักทั้งหมดของเขาคือบุตรสาวของตัวเอง ซึ่งเขาดูออกนานแล้วว่าเย่เฟิงไม่ใช่คนธรรมดา คนผู้นี้มีอนาคตไร้ขีดจำกัด สาวน้อยใหญ่ย่อมไม่ได้มีแค่ฉินเยียนหรานคนเดียว
ฉินเจิ้นถิงไม่ร้องขออะไรจากเย่เฟิงมากนัก เพียงหวังว่าเมื่อเย่เฟิงโตเป็ผู้ใหญ่อย่างแท้จริงก็อย่าลืมฉินเยียนหราน ในฐานะผู้เป็บิดา นี่คือสิ่งที่เขาจะทำให้ฉินเยียนหรานได้
แน่นอนว่าเย่เฟิงเข้าใจความหมายของฉินเจิ้นถิง เขาไม่ใช่คนไร้ความรับผิดชอบ แม้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฉินเยียนหรานจะคลุมเครือมาตลอด ทั้งสองฝ่ายยังไม่ได้ยืนยันความสัมพันธ์ แต่เย่เฟิงก็ยินดีรับผิดชอบฉินเยียนหราน
เช้าวันรุ่งขึ้น ผู้ฝึกยุทธ์กลุ่มหนึ่งเดินออกจากสำนักยุทธ์เทียนเสวียน มุ่งหน้าสู่วังหลวงแห่งอาณาจักรจ้าว ผู้ฝึกยุทธ์กลุ่มนี้มีผู้าุโขั้นยุทธ์แท้ระดับสูงหลายสิบคน ซึ่งมีหลายคนอยู่ขั้นยุทธ์แท้สูงสุด กระบวนทัพเช่นนี้ไม่ด้อยไปกว่ากองกำลังชั้นยอดของเมืองหลวงแม้แต่นิด และคนกลุ่มนี้ยังคุ้มครองเย่เฟิงและกงซุนหลิงเอ๋อร์
“เ้าบ้า ครั้งนี้เ้ามาร่วมงานนี้ก็เพื่อคนรักของเ้างั้นหรือ?” กงซุนหลิงเอ๋อร์เอ่ยถามเช่นนั้นกับเย่เฟิง
“คงใช่กระมัง!” เย่เฟิงได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวตอบ เขาไม่สามารถทำอะไรกับนิสัยตรงไปตรงมาของนางได้เลยจริง ๆ
“ข้าคาดหวังนะว่าเ้าจะแสดงท่าทีอย่างไรในงานนี้” กงซุนหลิงเอ๋อร์กล่าวพลางยิ้ม
“เอ่อ...” เย่เฟิงถึงกับพูดไม่ออก
“จริงสิ เ้าเหมือนจะติดค้างข้านะ เมื่อไรเ้าจะชดใช้คืนล่ะ?” กงซุนหลิงเอ๋อร์ตาลุกวาวคล้ายฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ นางจึงกล่าวออกไปเช่นนั้น
“เ้าคิดได้เมื่อไรก็ตอนนั้นแหละ” เย่เฟิงกล่าวพลางยักไหล่
“ข้ายังคิดไม่ได้” กงซุนหลิงเอ๋อร์กล่าว
ผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วยาม กระบวนทัพของสำนักยุทธ์เทียนเสวียนก็เข้าสู่วังหลวง ระหว่างทางยังดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้มากมาย
“ดูสิ นั่นคือคนของสำนักยุทธ์เทียนเสวียน”
ผู้คนเดินเพ่นพ่านไปทั่ววังหลวง บ้างเป็นางกำนัลที่กำลังยุ่งกับพิธีหมั้น บ้างก็เป็ผู้ฝึกยุทธ์จากกองกำลังอื่น ๆ ที่เดินทางมาเข้าร่วมพิธีหมั้น ซึ่งสามารถดูได้จากเครื่องแต่งกายที่แตกต่างกัน
เมื่อผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายสำนักยุทธ์เทียนเสวียนเดินมา จู่ ๆ มีผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งตาทอประกาย ก่อนจะกล่าวถ้อยคำบางอย่างออกไป
“ใช่ ครั้งนี้สำนักยุทธ์เทียนเสวียนมาอย่างเอิกเกริก ชายผู้นั้นที่อยู่ตรงกลางน่าจะเป็เย่เฟิงอันดับหนึ่งแห่งงานชุมนุมหวงปั่ง ช่างสง่าผ่าเผยยิ่งนัก” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาเลื่อมใสศรัทธา
“เย่เฟิงผู้นี้ร้ายกาจตามคาด อยู่แค่ขั้นรวมชี่ก็คว้าอันดับหนึ่งของงานชุมนุมหวงปั่งมาครองได้ บัดนี้เกือบเดือนผ่านไป ไม่รู้ว่าตบะของเขาไปถึงไหนแล้ว?” ผู้ฝึกยุทธ์หญิงคนหนึ่งกล่าวชื่นชมเย่เฟิง ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งไปที่ใดก็มักจะได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากพวกเขาเสมอ
“ข้าได้ยินมาว่าเย่เฟิงผู้นี้สนิทกับองค์หญิงมาก กระทั่งความสัมพันธ์ถึงขั้นคู่รัก แต่บัดนี้ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์แล้ว องค์หญิงซินอี๋ใกล้จะหมั้นกับเว่ยฉีเทียนและอีกไม่นานอาจไปอยู่ที่อาณาจักรเว่ย พวกเขาสองคนไม่ได้ถูกกำหนดมาให้เป็คู่กัน” คนผู้หนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ กล่าว เหมือนถอนใจแทนเย่เฟิงกับจ้าวซินอี๋ สตรีที่เกิดในตระกูลกษัตริย์มักจะไม่มีสิทธิ์เลือก แม้แต่องค์หญิงจ้าวซินอี๋ผู้ที่องค์าาอาณาจักรจ้าวรักมากที่สุดก็ยังหนีชะตากรรมนี้ไม่ได้
เย่เฟิงไม่สนใจคำวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คน สิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นจะตัดสินอะไรไม่ได้ทั้งนั้น ดังนั้นเขายังมีโอกาส
“เย่เฟิง เย่เฟิงคือใคร? เขามีสิทธิ์อะไรเข้าใกล้องค์หญิงซินอี๋? องค์หญิงซินอี๋คือพระชายาขององค์ชายพวกเรานะ ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามเข้าใกล้เด็ดขาด มดแมลงเช่นเย่เฟิงนั่นก็ยิ่งไม่ได้!”
ขณะที่ผู้คนกำลังกระซิบกระซาบ จู่ ๆ มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา ซึ่งเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม จากนั้นผู้คนหันไปมองตามเสียง ก่อนจะเห็นผู้ฝึกยุทธ์กลุ่มหนึ่งเดินมาทางนี้ ดูจากการเครื่องแต่งกายก็รู้แล้วว่าคนเหล่านี้ไม่ใช่ชาวอาณาจักรจ้าว
“ผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรเว่ยมาถึงแล้ว สามคนนั้นก็คือสามในสี่มหาพลผู้เลื่องชื่อแห่งอาณาจักรเว่ย ตบะของทุกคนล้วนอยู่ขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 ขึ้นไป ทั้งยังอายุไม่เกิน 22 ปี เป็อัจฉริยะที่มีพร์และศักยภาพแกร่งกล้า” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าว เขาจำคนเหล่านี้ได้ทันที จึงเผยสีหน้าเคารพนับถือ
อาณาจักรเว่ยนั้นแข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเจ็ดอาณาจักรแห่งแดนชิงอวิ๋น ถูกเรียกว่าเป็อาณาจักรศูนย์กลางของแดนชิงอวิ๋น ถือว่ามีความเจริญรุ่งเรืองเป็อย่างมาก ดังนั้นอัจฉริยะที่มาจากอาณาจักรเว่ยจึงสูงส่งและเหนือกว่าผู้ใด
เช่นเดียวกับสี่มหาพลแห่งอาณาจักรเว่ยที่ปรากฏตัวในตอนนี้ ทุกคนหยิ่งผยอง และไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตา แน่นอนว่าทั้งสามคนนี้ต่างก็ยโสโอหังกันทั้งสิ้น
“สี่มหาพล แต่เหตุใดตอนนี้เหลือแค่สามคน แล้วอีกคนไปไหนเล่า?” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งเอ่ยถามด้วยความสงสัยขณะมองสามมหาพลเดินมาทางนี้
“เ้าไม่รู้หรือ? พลเหล็กกล้าหนึ่งในสี่มหาพลถูกเย่เฟิงฆ่าตายตอนงานชุมนุมหวงปั่งที่ผ่านมา เขาจึงไม่มาปรากฏตัวที่นี่ไงเล่า” ผู้ฝึกยุทธ์ที่รู้เื่นี้กล่าว เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนี้ต่างก็ประหลาดใจปนใ
สามมหาพลที่เหลืออยู่มองมาที่เย่เฟิงด้วยสายตาแฝงความชั่วร้าย “ไอ้หนู เ้าไม่เพียงแต่กล้าเข้าใกล้ว่าที่พระชายาแห่งอาณาจักรเว่ยข้า แต่ยังฆ่าสมาชิกหนึ่งในสี่มหาพล ถือว่าใจกล้าไม่เบา วันนี้ข้าจะต้องฆ่าเ้าให้ได้เพื่อแก้แค้นให้กับพลเหล็กกล้า!” พลทองแดงร่างสูงใหญ่จ้องเย่เฟิงตาเขม็ง จนอยากกระโจนเข้าใส่เย่เฟิงเพื่อสังหารเสียเดี๋ยวนั้น
“ที่พลเหล็กกล้าถูกข้าฆ่าตาย ก็คงต้องโทษที่เขาไร้ความสามารถ หรือเ้าอยากลิ้มรสการถูกข้าฆ่าบ้างล่ะ?” เย่เฟิงกล่าวเสียงเย็นขณะมองพลทองแดง
“ลำพังเ้าเนี่ยนะ? ฝันไปเถอะ?” พลทองแดงได้ยินเช่นนั้นก็เหมือนได้ฟังเื่ตลกที่สุดในใต้หล้า จึงะเิหัวเราะและกล่าวเช่นนั้น
“จะฆ่าได้หรือไม่ ก็ต้องต่อสู้กันจึงจะรู้ผล” เย่เฟิงกล่าวด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
“อย่ามั่นใจไปหน่อยเลย เดี๋ยวจะตายโดยไม่รู้ตัว เมื่อพิธีหมั้นจบลง พวกเราจะเก็บชีวิตเ้าก็ยังไม่สาย!” ชายร่างผอมบางในชุดสีเงินกล่าวเสียงนิ่งเรียบ พิธีหมั้นขององค์ชายพวกเขากับองค์หญิงซินอี๋จะเริ่มขึ้นเร็ว ๆ นี้ พวกเขาจะมัวเสียเวลาอยู่ที่นี่ไม่ได้
“ได้ยินหรือไม่ หากเ้ากล้าอวดดีต่อหน้าข้า เมื่อพิธีหมั้นจบลงข้าจะมาเก็บชีวิตของเ้า!” พลทองแดงกล่าวพลางแสยะยิ้ม จากนั้นพวกเขาและผู้ฝึกยุทธ์ฝ่ายอาณาจักรเว่ยเดินไปข้างหน้าต่อเพื่อมุ่งสู่ตำหนักซวนยื่อ
ตำหนักซวนยื่อเป็ตำหนักใหญ่ที่จัดพิธีหมั้นของเว่ยฉีเทียนกับจ้าวซินอี๋ ผู้ฝึกยุทธ์จากทุกกองกำลังที่มาเข้าร่วมงานนี้ต่างก็เดินทางไปยังตำหนักซวนยื่อ
“พวกเราก็ไปกันเถอะ!” เย่เฟิงตาเผยประกายเย็นเยือกขณะมองแผ่นหลังกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์จากอาณาจักรเว่ย ก่อนจะกล่าวกับคนของสำนักยุทธ์เทียนเสวียน จากนั้นพวกเขาก็มุ่งหน้าสู่ตำหนักซวนยื่อเช่นกัน
“เ้าบ้ารอข้าด้วย!” เสียงของกงซุนหลิงเอ๋อร์ดังขึ้นที่ด้านหลัง
“ไม่คิดเลยว่า เย่เฟิงผู้นี้จะมีความขัดแย้งกับผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรเว่ยที่มิอาจแก้ไขได้ สี่มหาพลมีพลังแกร่งกล้า แต่เย่เฟิงไปล่วงเกินพวกเขา เกรงว่าคงมีจุดจบที่น่าอนาถ!”
หลังจากพวกเย่เฟิงออกไป จู่ ๆ ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งก็พูดขึ้นมาเช่นนั้น คล้ายเป็กังวลแทนเย่เฟิง
แม้เย่เฟิงเคยสังหารพลเหล็กกล้า แต่ทุกคนทราบดีว่าพลเหล็กกล้าคือคนที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาสี่มหาพล ต่อให้เย่เฟิงฆ่าพลเหล็กกล้าได้ แต่ก็ไม่ได้มีความหมายเป็พิเศษ
“ใช่ กองกำลังอาณาจักรเว่ยแข็งแกร่งไร้เทียมทาน หาก้าจัดการเขาเย่เฟิง ก็ย่อมมีวิธีมากมาย ทำได้เพียงโทษเย่เฟิงที่ไปล่วงเกินคนที่ไม่ควรล่วงเกินด้วย”
ทุกคนต่างคิดเช่นเดียวกันว่าเย่เฟิงตั้งตัวเป็ศัตรูกับอาณาจักรเว่ยด้วยลำพังตัวคนเดียว ช่างเป็ฝันลม ๆ แล้ง ๆ ที่ไม่มีทางเกิดขึ้นจริงได้!
