วันหนึ่ง จู่ๆ สำนักศึกษาก็มีคำสั่งให้เซียวหยางมี่มาเป็สหายร่วมเรียนขององค์ชายใหญ่หวังเฟิ่ง แม้ว่าทั้งเซียวหยางมี่และเซียวเมิ่งจะอยากปฏิเสธเพียงใด ก็ไม่อาจฝ่าฝืนคำสั่งของเบื้องสูงได้
วันแรกที่เซียวหยางมี่ได้พบกับองค์ชาย นางยังเป็เพียงเด็กหญิงวัยสิบสี่หนาว ขณะที่เขาคือบุรุษที่ก้าวสู่่วัยหนุ่มเต็มตัว อายุสิบแปดหนาว รูปร่างสูงสง่า ลักษณะองอาจผิดแผกจากผู้คนทั่วไป
สิ่งแรกที่สะดุดตานางคือดวงตาสีทองอันเป็เอกลักษณ์ของเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์ มันล้ำลึกเกินกว่าที่นางจะอ่านออก
ชั่วขณะที่สบตากับองค์ชายใหญ่ นางก็รู้สึกได้ทันทีว่าเขาอยู่ในโลกที่สูงส่งเกินไป นางไม่อาจเอื้อมถึง แม้กระนั้นนางก็ยังเลือกจะยิ้มออกมา
"คารวะองค์ชายใหญ่"
นางโค้งกายตามมารยาท เสียงหวานใสกล่าวออกไปอย่างไม่ลังเล
"นามของข้าคือเซียวหยางมี่ อาจจะพูดมากไปบ้าง แต่เรามาเป็สหายกันเถอะเพคะ"
องค์ชายหวังเฟิ่งเลิกพระขนงขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเอียงพระพักตร์มองนาง ดวงตาสีทองฉายแววเย็นเยียบ
"สหาย... อย่างนั้นหรือ?"
สุรเสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง
"ถ้าเราไม่อยากเป็ล่ะ?"
เซียวหยางมี่ชะงักไปวูบหนึ่ง ก่อนจะฝืนยิ้ม นางไม่ได้ตอบกลับ แต่ภายในใจกลับคล้ายมีอะไรบางอย่างจุกอยู่ในอก
ข้าคงต่ำต้อยเกินกว่าจะเป็สหายของท่านสินะ...
นางคิดเพียงลำพังโดยไม่ได้ทันสังเกตเลยว่า สายตาขององค์ชายใหญ่ที่ทอดมองนางในตอนนั้น แฝงความหมายลึกซึ้งเพียงใด
เซียวเมิ่งมองหลานสาวด้วยความเป็ห่วง ั้แ่กลับจากการพบปะองค์ชายใหญ่ ท่าทีของเซียวหยางมี่ดูเงียบขรึมไปไม่น้อย มิได้ร่าเริงเช่นทุกวัน
"เขาทำร้ายเ้าอย่างนั้นหรือ?"
"ไม่นะ ท่านอา"
เซียวหยางมี่ส่ายหน้า พลางถอนหายใจ
"เพียงแต่เขาเ็าเสียจนข้าเริ่มกลัว ข้าไม่แน่ใจว่าตัวเองทำสิ่งใดให้เขาไม่พอใจหรือเปล่า..."
เซียวเมิ่งมองนางด้วยแววตาครุ่นคิด
"ทำไมเ้าถึงคิดว่าเขาไม่พอใจเ้า?"
เซียวหยางมี่นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงแ่
"ข้าสังเกตว่า เวลามีบุรุษคนอื่นพูดคุยกับข้า องค์ชายจะดูโกรธมากเป็พิเศษ"
เซียวเมิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม ั์ตาคมฉายแววเคร่งเครียด
"งั้นหรือ...? เ้าเองก็จงระวังตัว อย่าปล่อยกายปล่อยใจไปกับเขา"
แม้ท่านอาของนางจะเตือนเช่นนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับตรงกันข้าม องค์ชายหวังเฟิ่งกลับพยายามยัดเยียดตัวเองมาเข้าใกล้นางแทบจะทุก่เวลา และไม่ว่าจะพยายามถอยห่างเท่าใด เขาก็ไม่เคยปล่อยให้นางหลุดพ้นไปได้เลย
จนถึงวันสุดท้ายของการศึกษาที่สำนัก...
เซียวหยางมี่ก้าวเดินอย่างมั่นคงไปยังประตูทางออกของสำนักศึกษา หลังจากวันนี้ไปนางจะได้กลับจวนตระกูลเซียว ไม่ต้องข้องเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์อีก ไม่ต้องเผชิญกับบรรยากาศกดดันที่แสนอึดอัด
และที่สำคัญนางจะไม่ต้องพบเจอกับองค์ชายใหญ่หวังเฟิ่งอีก หรืออย่างน้อย... นางก็คิดเช่นนั้น
แต่ก่อนที่เท้าของนางจะก้าวพ้นประตูใหญ่ เสียงทุ้มต่ำที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
"ข้าให้เ้า"
เสียงนั้นทำให้ฝีเท้าของนางชะงัก เซียวหยางมี่กัดริมฝีปากแน่น ก่อนจะหันกลับไปอย่างเชื่องช้า
และสิ่งที่เห็นเป็ภาพแรก... คือใบหน้าของเขา
องค์ชายใหญ่หวังเฟิ่งยืนอยู่ตรงนั้นในอาภรณ์สีดำลวดลายกิเลน ดวงตาสีทองคู่นั้นจ้องมองนางด้วยแววตาเรียบนิ่ง ทว่าในความเงียบงันนั้นกลับแฝงไว้ด้วยอารมณ์บางอย่างที่มิอาจเอื้อนเอ่ยออกมา
เขายื่นบางสิ่งมาตรงหน้านาง เซียวหยางมี่มองสิ่งนั้นอย่างลังเล มันคือ หยกแกะสลักรูปเมฆมงคล ขนาดไม่ใหญ่นักแต่กลับดูประณีตงดงาม
“องค์ชาย...”
นางเอ่ยเรียกเขาเสียงแ่ ราวกับไม่แน่ใจว่าตนควรรับมันไว้หรือไม่
หวังเฟิ่งยังคงยืนอยู่อย่างสงบ แต่แววตาของเขากลับสะท้อนความรู้สึกบางอย่าง
“ถือว่าเป็ของแทนใจจากข้า”
เสียงของเขาฟังดูมั่นคง แต่หากตั้งใจฟังดีๆ กลับมีบางสิ่งที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงนั้น บางสิ่งที่คล้ายความอาลัย...
เซียวหยางมี่มองหยกในมือของเขา นางรู้ดีว่าการรับของจากเชื้อพระวงศ์มิใช่เื่เล็กน้อย
แต่นางไม่รู้เลยว่า...สิ่งนี้ จะกลายเป็สายใยที่ผูกมัดนางไว้กับเขาไปชั่วชีวิต
เซียวหยางมี่จ้องมองสิ่งที่อยู่ในมือของเขาด้วยดวงตาสั่นไหว นางไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไรดี แค่เพียงรับของมา ใบหน้าก็พลันร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ
"เฮือก!"
มู่หรงเซียวสะดุ้งตื่นขึ้นมาพร้อมเหงื่อเย็นเต็มแผ่นหลัง
หอบหายใจแรง... นางฝันอะไรกัน!? เหตุใดในฝันนั้น นางจึงเป็หญิงที่มีชื่อว่า เซียวหยางมี่ และเหตุใดฮ่องเต้หวังเฟิ่ง จึงปรากฏอยู่ในฝันของนาง?
วันนั้นมู่หรงเซียวไม่อาจข่มใจให้สงบได้เลย ความฝันเมื่อคืนยังติดค้างอยู่ในหัว ทั้งที่มันควรเป็เพียงความฝัน แต่มันกลับชัดเจนราวกับเป็เื่จริง ความรู้สึกที่ได้รับ ทุกัั ทุกอารมณ์ ทุกการสนทนา นางััได้ทั้งหมด ราวกับว่านางเคยผ่านมันมาด้วยตัวเอง
นางพยายามคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็เพียงความบังเอิญ แต่เมื่อความคิดนั้นไม่อาจคลี่คลาย นางจึงเลือกทำในสิ่งที่ช่วยให้นางสงบลงได้เช่นการแอบหนีออกนอกวัง
องค์หญิงน้อยเปลี่ยนชุดเป็อาภรณ์บุรุษ สวมหมวกปีกกว้างเพื่ออำพรางใบหน้า ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาปีนข้ามกำแพงวังออกไปทางทิศตะวันตก
วันนี้ตลาดยังคงคึกคักเช่นเคย กลิ่นขนมอบใหม่ลอยมาตามลม พ่อค้าแม่ขายส่งเสียงเรียกลูกค้า แขกแปลกหน้าจากต่างแคว้นเดินสวนกันไปมา บางคนเป็นักเดินทาง บางคนเป็ขุนนางจากแคว้นอื่นที่เดินทางมาค้าขาย
มู่หรงเซียวตั้งใจจะเดินเที่ยวให้สบายใจ แต่ยังไม่ทันจะเดินพ้นไปจากหน้าร้านขายพัด เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
"องค์หญิงมู่หรงเซียว?"
นางหยุดฝีเท้า คิ้วงามขมวดเข้าหากันทันทีที่จำเสียงนั้นได้ ก่อนจะค่อยๆ หันกลับไปอย่างเสียไม่ได้
"องค์ชายหนานเฉิง?"
บุรุษตรงหน้ายิ้มกว้างเหมือนเด็กน้อยที่ได้พบของเล่นถูกใจ “องค์ชายหนานเฉิง” ซึ่งเป็โอรสของฮ่องเต้แคว้นจ้าว บุรุษผู้มีใบหน้างดงามราวหยก แต่รอยยิ้มของเขานั้นชวนให้หงุดหงิดเสียมากกว่า
ั้แ่วันปักปิ่น องค์ชายผู้นี้ก็ติดตามนางมาไม่ห่าง พยายามเอาอกเอาใจ พยายามเข้าหานางอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมา
แม้ว่าในสายตาหญิงสาวทั่วไป องค์ชายหนานเฉิงจะเป็บุรุษที่น่าหลงใหล แต่สำหรับมู่หรงเซียวแล้ว
นางรำคาญเขาเหลือเกิน...
"องค์หญิงเสด็จมาชมตลาดแต่เพียงลำพังหรือ?" หรือว่ากำลังรอใครอยู่?"
"ข้าเพียงออกมาเดินเล่น"
มู่หรงเซียวตอบสั้น แล้วทำท่าจะเดินจากไปแต่องค์ชายแห่งแคว้นจ้าวกลับขยับกายมาขวางทางของนาง
"ข้ารู้ว่าองค์หญิงคงระแวงข้าอยู่ แต่ข้าไม่มีเจตนาร้าย ข้าเพียงอยากทำความรู้จักกับท่านให้มากกว่านี้เท่านั้น"
"องค์ชาย"
มู่หรงเซียวเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีดำสนิทสบเข้ากับดวงตาของเขาโดยตรง
"ข้าเข้าใจในเจตนาของท่าน แต่ข้ามิได้้าทำความรู้จักกับท่านมากไปกว่านี้"
รอยยิ้มของหนานเฉิงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนเขาจะหัวเราะออกมาเบาๆ
"ใจร้ายกับข้าจริง ๆ องค์หญิง"
ข้ายังไม่ใจร้ายพอ ข้ายังใจดีเกินไปที่มิได้สลัดท่านออกไปั้แ่วันแรกที่พบกัน นางคิดในใจ แต่เลือกจะเงียบไว้
นางหันตัวจะเดินจากไปอีกครั้ง แต่หนานเฉิงกลับคว้าข้อมือนางไว้เบาๆ
"ข้ามีเื่อยากบอกองค์หญิง"
มู่หรงเซียวชักมือออกจากการเกาะกุมของเขาอย่างรวดเร็ว นางไม่ชอบให้ใครแตะต้องตนเองโดยไม่จำเป็
"ว่ามา"
"่นี้เกิดข่าวลือแปลกๆ เกิดขึ้นในแคว้นเจียงหนาน และมันเกี่ยวกับองค์หญิง"
น้ำเสียงของหนานเฉิงฟังดูจริงจังขึ้น ดวงตาทอแววบางอย่างที่แตกต่างจากเดิม
"ข่าวลือที่ว่า"
"ถ้าเป็่ขาวลือนั้น ข้ารู้แล้ว"
มู่หรงเซียวเอ่ยแทรกเพราะนางรู้ว่าข่าวลือนั้นคือ องค์หญิงแห่งเจียงหนานกำลังจะเป็หงส์แห่งแคว้นต้าชิงในไม่ช้า ข่าวลือที่นางไม่รู้ว่ามันเป็เพียงการคาดเดา หรือมีใครจงใจปล่อยออกมาเพื่อหวังผลบางอย่างกันแน่
"ดูเหมือนองค์หญิงจะไม่ใส่พระทัยเลยนะ"
หนานเฉิงเลิกคิ้ว พยายามสังเกตท่าทีของคนตรงหน้า
"เพราะมันไร้สาระ ข้าจึงมิคิดใส่ใจ"
"ไร้สาระจริงหรือ องค์หญิงคิดหรือว่า ข่าวลือเหล่านี้จะเกิดขึ้นเองโดยไม่มีใครอยู่เื้ั?"
"ช่างเถอะ ถึงมันจะเป็ข่าวลือที่มีใครปล่อยออกมา แต่ข้าก็ไม่เห็นเหตุผลว่าข้าควรจะใส่ใจมันแต่อย่างใด"
มู่หรงเซียวมองสบสายตาคู่นั้น ดวงตาที่ดูสงบนิ่งและอ่อนโยนเสมอมา แต่ในยามนี้มันกลับเต็มไปด้วยบางสิ่งที่ลึกซึ้งเกินจะกล่าวออกมาเป็ถ้อยคำ
“ถ้าเป็เช่นนั้นก็ดี”
หนานเฉิงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เรียบและนิ่งสงบ ทว่า มือของเขากำแน่นข้างกายราวกับกำลังสะกดกลั้นบางอย่าง
“แต่ข้าหวังว่าองค์หญิงจะรู้ไว้...”
เขาก้าวเข้าไปใกล้อีกก้าว เงาของเขาซ้อนทับกับเงาของนาง ดวงตาของเขาฉายประกายเจิดจ้าขึ้น ยามเอื้อนเอ่ยถ้อยคำต่อไป
"ว่าไม่ว่าพระองค์จะอยู่ที่ใด... ข้าจะอยู่เคียงข้างพระองค์เสมอ"
มู่หรงเซียวชะงัก นางรับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่ถูกส่งผ่านจากแววตาคู่นั้น อารมณ์บางอย่างแล่นวาบขึ้นมาในใจโดยไม่ทันตั้งตัว
“องค์ชาย...”
"เพราะข้าจะไม่ยอมให้ใครมาพรากท่านไปจากแคว้นเจียงหนานแน่"
คำพูดนั้นฟังดูเหมือนคำสัญญา... แต่ในขณะเดียวกัน มันก็คล้ายเป็คำเตือนบางอย่างที่ซ่อนนัยไว้ และมู่หรงเซียวเอง ก็ไม่แน่ใจว่า นางควรรู้สึกอย่างไรกับมันดี
ภายในตำหนักัของแคว้นต้าชิง บรรยากาศเงียบสงัดช่างดูน่าหวั่นเกรง ราวกับว่าพายุร้ายนั้นสามารถก่อตัวได้ทุกเมื่อ
หวังเฟิ่งที่กำลังนั่งทรงงาน พระหัตถ์ข้างหนึ่งกุมถ้วยน้ำชาเอาไว้ ทว่ากลับมิได้ยกขึ้นดื่ม ดวงเนตรสีทองจ้องมองกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกวางอยู่ตรงหน้า
กระดาษถูกลงอย่างแช่มช้า พระหัตถ์แกร่งเคาะลงบนโต๊ะเบาๆ ดวงเนตรสีทองล้ำลึกฉายแววเ็า
"เจิ้งซวน"
สุรเสียงทุ้มต่ำเรียกหามือขวาคนสนิท ชายผู้รับใช้ฝ่าามาเนิ่นนาน ก้าวออกมาจากเงามืดทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก
"พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าา"
"ข้ามีคำสั่งให้เ้าไปจัดการบางอย่าง"
"พระองค์โปรดรับสั่ง"
หวังเฟิ่งค่อยๆ ทอดสายตาออกไปนอกตำหนัก ดวงเนตรสีทองจับจ้องไปยังจันทร์กระจ่างฟ้าที่กำลังลอยเด่นกลางรัตติกาล
"แคว้นจ้าว… ่นี้ดูจะสงบสุขเกินไป"
เพียงเท่านั้น เจิ้งซวนก็เข้าใจทันทีโดยไม่ต้องให้ฝ่าาของตนได้เอื้อนเอ่ยต่อ
"กระหม่อมจะจัดการให้โดยเร็วพ่ะย่ะค่ะ"
ชายหนุ่มก้มศีรษะลงน้อมรับคำสั่ง ก่อนจะลอบยิ้มบาง ๆ
หากแคว้นจ้าวคิดว่าสามารถแตะต้องสิ่งที่เป็ของฝ่าาได้ เช่นนั้นก็ต้องให้พวกเขารู้ว่า พวกเขาอยู่ในสถานะใดกัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้