“ใช่แล้ว เป็เงินที่ขายสูตรลูกชิ้น” หยิบเงินเปลือยที่วาววิบวับสองเม็ดขึ้น รอยยิ้มของหวังซื่อปรากฏออกมาอย่างปลื้มใจ
“คาดไม่ถึงว่าจะขายได้เยอะเช่นนี้? หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า นี่เป็เงินห้าสิบเหลียงหรือ?” หูเฉวียนฝูทำงานมาค่อนชีวิตยังไม่เคยเห็นเงินที่เยอะเช่นนี้มาก่อน เขาย้ายลงมาจากหัวเตียง หยิบเงินหนึ่งเม็ดใส่ปากกัดหนึ่งที “ไอ๊หยา ของจริง! เป็เงินของจริง!”
“เ้าตาเฒ่าน่าตายนี่ จะกัดได้เช่นไรเล่า นี่แน่นอนว่าเป็ของจริงสิ” หวังซื่อแย่งเอาเงินบนมือของหูเฉวียนฝูมา มองรอยข้างบนเล็กๆ น้อยๆ
หูเฉวียนฝูหน้าเหยเกนิดหน่อย หัวเราะแล้วกล่าวพึมพำ “มิใช่ ข้ากลัวว่าจะโดนหลอกหรือ”
หวังซื่อมองเขาแวบหนึ่ง หยิบเงินที่ถืออยู่มาเช็ด ยิ้มแล้วกล่าว “เ้าของร้านจางโรงเตี๊ยมสือหลี่เซียงให้เงินมาด้วยตนเอง จะเป็ของปลอมได้หรือ? โรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดของเมืองไท่ผิง เฉพาะลูกจ้างพ่อครัวในร้านก็มีสิบกว่าคนแล้ว ห้องครัวพวกเขาใหญ่กว่าลานบ้านเรามากนัก จะโกงเงินเล็กน้อยนี่ได้อย่างไร”
“นี่เป็โรงเตี๊ยมที่พี่ใหญ่แนะนำให้ไปขายกระต่ายใช่หรือไม่?” หูเฉวียนฝูรีบถาม
“ใช่แล้ว ท่านพ่อ เ้าของร้านจางที่ท่านลุงแนะนำ เขาให้พวกเราวางตัวสบายๆ ตรงไปตรงมามากนัก สูตรลูกชิ้นปลาขายไปหกสิบเหลียง ซื้อวัวกับไม้กระดานเกวียนจ่ายไปหกเหลียงครึ่ง ซื้อหนังสือกับเครื่องเขียนที่ร้านหนังสือจ่ายไปเกือบหนึ่งเหลียง นี่ยังมีเงินเล็กอีกสองเหลียงกว่า” หูฉางหลินควักถุงเงินใบเล็กออกมา แล้วเทเงินที่เหลือลงบนโต๊ะ
“ไม่นึกเลยว่าจะขายไปหกสิบเหลียง สูตรนั่นมีค่าเพียงนี้? เป็เบื้องบนให้พรพวกเาาวสกุลหูจริงๆ เลย!” หูเฉวียนฝูตื่นเต้นมาก ั์ตามีน้ำตาเอ่อคลอ หลายปีนี้ทำงานใช้แรงอย่างยากลำบาก ธัญพืชที่เก็บเกี่ยวทำได้เพียงฝืนประคองใช้ชีวิต ตลอดทั้งปีได้อาศัยปลายปีขายหมูสองตัวกับไก่สิบกว่าตัวเก็บเงินได้จำนวนเล็กน้อย ยามว่างจากการเก็บเกี่ยวบุตรชายทั้งสองยังต้องออกไปทำงานหาเงินค่าใช้จ่ายข้างนอก ขณะนี้แป๊บเดียวได้เงินหกสิบเหลียง จะไม่ให้เขาที่เป็คนชราน้ำตาไหลนองหน้า [1] ได้เช่นไร
“นี่ล้วนเป็ความดีความชอบให้เจินจูของพวกเรา หากมิใช่นางรู้วิธีทำลูกชิ้นชนิดนี้ อย่าพูดถึงหกสิบเหลียงเลย เงินหกเหวินก็ยากที่จะหาได้” หวังซื่อมองหลานสาวตนเองด้วยใบหน้ารักใคร่เอ็นดู ใบหน้าเล็กขาวนวลมีเืฝาดจะมองอย่างไรก็น่ารักยิ่ง
“ท่านย่า ลูกชิ้นนั่นล้วนเป็ท่านทำ ข้าแค่ขยับปาก แน่นอนว่าความดีที่ใหญ่ที่สุดเป็ของท่าน” เจินจูไม่ได้ถือสิ่งนี้เป็ความดี สำหรับนางแล้ว ตนเองเป็คนท่าดีทีเหลวที่วางแผนรบบนกระดาษ [2] มีเพียงทฤษฎี ความสามารถในการลงมือทำกลับแย่ขั้นสุด หากว่าทุกขั้นตอนให้นางลงมือทำด้วยตัวเองแล้ว ผลที่ออกมาต้องแย่มากอย่างแน่นอน สิ่งสำคัญที่สุดคือ นางล้วนไม่มีความสนใจสักนิดกับทักษะการทำงานในครัวทุกประเภท กล่าวกันตรงๆ อะแฮ่ม... ธาตุแท้นางเป็คนเกียจคร้านนัก
“ฮ่า ฮ่า พอแล้ว ความดีของผู้ใดในใจย่ารู้ดี ทั้งหมดนี่เหลือเงินห้าสิบสองเหลียง ฉางกุ้ย เอ้า เ้าเก็บไว้สามสิบเหลียง รอให้อากาศดีหน่อยพวกเราก็ปรับปรุงบ้านหลังเก่าเสียบ้าง” บ้านของสองครอบครัวควรจะรื้อสร้างใหม่อีกครั้งนานแล้ว ขณะนี้สภาพการเงินมีกินมีใช้ อันดับแรกที่ต้องทำคือปรับปรุงบ้านหลังเก่าขึ้นใหม่สักครั้ง
“ท่านแม่ ท่านเก็บไว้เถิด” หูฉางกุ้ยโบกไม้โบกมือทันที เงินเยอะเพียงนี้เขาจะกล้ารับมาได้อย่างไร
ให้เ้ารับไว้ก็รับไว้เถิด ปีหน้าเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิผิงอันกับผิงซุ่นล้วนต้องไปโรงเรียนส่วนตัว ยังต้องใช้จ่ายเงินไม่น้อย บ้านเ้าเล็กเกินไป ผิงอันก็โตแล้ว รอเวลาที่เหมาะสมก็ปลูกอีกหนึ่งห้องเพิ่มขึ้น ร่างกายหรงเหนียงก็ไม่ดี อย่าลืมเชิญท่านหมอมาตรวจบำรุงรักษาให้นางด้วย ทุกที่ล้วนต้องใช้จ่ายเงิน รีบเก็บไว้ให้ดี” เอาเงินเปลือยสามเม็ดใส่เข้าถุงเงินแล้วส่งไป หวังซื่อกล่าวถึงเื่ที่ต้องใช้เงินออกมาไม่หยุด หลังจากนั้นจึงดันเหรียญทองแดงกองหนึ่งมา “มา เจินจู เงินปลีกย่อยเหล่านี้ให้เ้าใช้จ่ายเล็กๆ น้อยๆ”
“ว้าว ข้าก็มี? ขอบคุณท่านย่า” เจินจูหัวเราะ ฮิ ฮิ ดีอกดีใจ เหรียญทองแดงกองเล็กนี่น่าจะมีหนึ่งร้อยกว่าเหวินกระมัง อืม... ไม่เลว เงินเก็บส่วนตัวมากอีกหน่อยแล้ว
“ฉางหลิน เงินนี่แบ่งเช่นนี้ เ้าไม่ว่าอย่างไรใช่หรือไม่ ต้องขอบคุณความคิดของเจินจูที่ทำให้พวกเราหาเงินได้เช่นนี้ จึงให้ฉางกุ้ยถือเงินไว้เยอะหน่อย” หวังซื่อกลัวมากว่าปัญหาการแบ่งเงินจะก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างสองพี่น้อง
“ไม่ว่าอย่างไร ท่านแม่ นี่ข้ารู้ ท่านตัดสินใจได้เลย” หูฉางหลินรีบแสดงท่าทางออกอย่างชัดเจน ในความเป็จริง เขาเข้าใจเป็อย่างดี หากไม่ใช่ว่ามีความคิดของหลานสาวกับฝีมือของมารดา อาศัยเพียงพวกเขาเอง ผ่านไปสิบปีก็ไม่แน่ว่าจะสามารถหาเงินจำนวนเช่นนี้ได้
“อื้ม เ้ารู้ก็ดี นี่เงินสองเหลียงเ้าถือไว้ ควรใช้ก็ใช้ควรเก็บก็เก็บ แล้วอย่าบอกภรรยาเ้าเื่ขายสูตรลูกชิ้นเล่า ภรรยาเ้าชอบเอาเื่ที่บ้านไปบอกบ้านพ่อแม่ของนาง หากเื่นี้แพร่ออกไปไม่รู้ว่าจะกลายเป็เช่นไร” หวังซื่อเตือนหูฉางหลินด้วยความรอบคอบ
ปากเหลียงซื่อไม่แน่นสนิท บ้านบิดามารดาของนางอยู่ใกล้นัก เพ่นพ่านไปเฝ้าประตูอยู่บ่อยๆ และมักชอบเอาเื่เล็กใหญ่สกุลหูไปเล่าให้มารดานางฟัง เพราะปัญหานี้หวังซื่อจึงเคยว่ากล่าวนางไป ภายนอกเหลียงซื่อเชื่อฟังความและกล่าวเป็ความผิดพลาด ลับหลังไม่รู้ว่าจะเหมือนเดิมหรือไม่ ขณะนี้แม้ว่าจะตั้งครรภ์พักอยู่ในบ้านอย่างเชื่อฟัง แต่ป้องกันเหตุการณ์ไม่แน่นอนไว้ เพราะมีบางเื่ที่ยังบอกนางไม่ได้
“อื้ม ท่านแม่ ข้าทราบแล้ว อีกเดี๋ยวจะเตือนนางว่าอย่ากล่าวมั่วซั่ว” หูฉางหลินหน้าเหยเกเล็กน้อย ปัญหานี้ของเหลียงซื่อเขาทราบดี เมื่อก่อนรู้สึกว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องมากนักจึงไม่สนใจและไม่จัดการ ตอนนี้ไม่สามารถทำแบบนั้นได้แล้ว
“อื้ม เ้ารู้แล้วก็ดี เอาล่ะ สีท้องฟ้าเริ่มค่ำแล้ว ต่างก็กลับบ้านไปล้างมือล้างไม้เข้านอนเถิด พรุ่งนี้ต้องกรอกกุนเชียง ยังมีเื่ให้ทำอีกมากเลยล่ะ” คิดว่าพรุ่งนี้ต้องทำอาหารใหม่อีกครั้ง ใจของหวังซื่อก็ร้อนเป็ไฟลุกโหม แทบอยากจะให้ท้องฟ้าสว่างขึ้นมาทันที
ยามค่ำคืน ถือโอกาสที่สองพี่น้องหญิงชายไปกระท่อมกระต่ายยังไม่เข้าบ้าน หูฉางกุ้ยหยิบเงินในอ้อมอกส่งให้กับหลี่ซื่อ ภายใต้สีหน้าประหลาดใจของหลี่ซื่อ จึงกล่าวที่มาของเงินอย่างอึกๆ อักๆ หลี่ซื่อทั้งใทั้งดีใจ บุตรสาวฉลาดมีความสามารถ หาเงินเพื่อที่บ้านได้มากเพียงนี้ ในฐานะที่เป็มารดาแน่นอนว่าต้องรู้สึกภูมิใจเป็เท่าตัว แล้วจึงนำเงินใส่ไว้ในตู้ล็อกทันที
ยามค่ำคืนผ่านไปไวนัก เจินจูหลับไปค่อนข้างลึกเลยทีเดียว งานยุ่งมาทั้งวัน ร่างกายเล็กๆ ย่อมเหนื่อยเป็ธรรมดา จนกระทั่งฟ้าสางนางเปิดเปลือกตาขึ้น บนเตียงก็เหลือนางเพียงคนเดียวแล้ว
ยืดเอวบิดี้เีด้วยความเซื่องซึม กลิ้งบนเตียงอุ่นๆ อยู่พักหนึ่งแล้วจึงลงจากเตียงอย่างเชื่องช้า
หาแปรงสีฟันและผงสีฟันที่ซื้อมาเมื่อวานออกจากโต๊ะด้านข้าง เจินจูกวาดตามองหนหนึ่ง แปรงสีฟันสี่ด้ามยังไม่ได้ใช้สักอันเดียว นางหางตากระตุก ดูเหมือนว่าจะต้องจับมาแปรงทีละคนๆ แล้วกระมัง จะได้คุ้นชินจากการเริ่มปฏิบัติ
หยิบสิ่งของเดินออกจากประตูห้อง นอกบ้าน ท่านพ่อกำลังยุ่งอยู่กับการใช้โคลนห่อฟางข้าวเตรียมจะฉาบซ่อมรอยแตกของห้องด้วยความขยัน
“ท่านพ่อ ท่านมานี่ก่อน”
เมื่อหูฉางกุ้ยได้ยินเสียงเรียกหาของบุตรสาว จึงเดินเข้าไปหาทันที “เป็อะไรหรือ?”
“นี่เป็แปรงสีฟันกับผงสีฟันที่ซื้อมาใหม่ ต่อไปทุกเช้าตื่นขึ้นมาต้องแปรงฟันก่อนแล้วค่อยทำเื่อื่น ท่านทำตามข้านะ” เจินจูส่งแปรงสีฟันหนึ่งด้ามให้กับเขา หลังจากนั้นเริ่มทำให้ดูเป็ตัวอย่าง เอาแปรงสีฟันเปียกน้ำนิดหน่อยก่อนแล้วป้ายผงสีฟันตาม ต่อจากนั้นก็เริ่มแปรงฟัน ขึ้นลงซ้ายขวาด้านในและด้านนอก ผงสีฟันนี้ไม่เกิดฟอง แปรงแล้วฝืดแห้งเล็กน้อย อีกอย่างเป็กลิ่นยาสมุนไพร เจินจูย่นหัวคิ้วแปรงฟันจนเสร็จ
หูฉางกุ้ยไม่มากความ แปรงฟันตามเจินจู “ฟืด ฟืด” หนึ่งรอบ
หลังบ้วนปากเรียบร้อย เจินจูก็ยิ้มออกมา “อื้ม แบบนี้ถูกแล้ว ต่อไปอย่าลืมแปรงฟันทุกเช้าเล่า ท่านดู ฟันขาวมากเลย แปรงสีฟันด้ามนี้เป็ของท่าน อย่าใช้ปนกันเล่า” กล่าวจบ ใช้ก้อนหินขีดหนึ่งเส้นบนด้ามจับ “ด้ามหนึ่งเส้นเป็ของท่าน ด้ามสองเส้นเป็ของท่านแม่ ด้ามสามเส้นเป็ของข้า และด้ามสี่เส้นเป็ของผิงอัน จำได้หรือไม่?”
“อื้ม จำได้แล้ว” หูฉางกุ้ยพยักหน้าอย่างว่าง่าย
“เอาล่ะ เช่นนั้นท่านไปทำงานเถิด ข้าจะไปหาผิงอันมาแปรงฟัน” ทัศนคติที่มีต่อท่านพ่อสกุลหูผู้นี้ เจินจูพึงพอใจเป็อย่างมาก แม้เขาไม่ชอบพูดอุปนิสัยซื่อๆ และขาดความเชื่อมั่นในตนเอง แต่นิสัยใจคออ่อนโยนจิตใจดีและฟังคำคน อยู่ด้วยแล้วผ่อนคลายสบายใจ เจินจูยิ้ม หมุนกายวิ่งไปหาผิงอัน
หลัวจิ่งตื่นอยู่นานมากแล้ว ตนเองเคลื่อนไหวร่างกายอยู่บนเตียงด้วยความยากลำบาก นอนอยู่หลายวันเช่นนี้ แม้าแจะดีขึ้นไม่น้อย แต่อาการาเ็ส่วนที่ขาหักยังเ็ปคันและชานัก ทรมานเสียจนหลับๆ ตื่นๆ ทั้งคืน ทุกครั้งล้วนทำได้เพียงกัดฟันพยายามทนอย่างสุดกำลัง ไม่ง่ายเลยที่จะทนจนถึงฟ้าสว่าง เพียงรอทานอาหารเช้าและดื่มยาลงไปแล้วจึงสบายขึ้นเล็กน้อย
บ้านพักครอบครัวเกษตรกรทำอย่างง่ายๆ และหยาบ เป็ธรรมดาที่จะกั้นเสียงได้ไม่ดี ท้องฟ้าเพิ่งสาง เ้าบ้านหญิงของบ้านนี้ก็ตื่นนอน ย่ำฝีเท้าเบาๆ เดินไปถึงห้องครัวด้วยความระมัดระวัง หลังจากนั้นจึงเริ่มยุ่งอยู่กับงานหนึ่งวัน
เ้าของบ้านชายที่ตามมาด้วยความไม่สดใสเดินเข้าไปในลานบ้านอย่างเบามือเบาเท้า หลังล้างหน้าบ้วนปากแล้วจึงเริ่มมีเสียงตำๆ เคาะๆ ขึ้น ในระหว่างนั้น บรรยากาศนอกลานบ้านล้วนชวนอึดอัดใจตลอดเวลา
หลังจากนั้นชั่วขณะ เสียงฝีเท้าเล็กๆ ก็ดังขึ้น พอหลัวจิ่งได้ฟังจึงรู้ว่าเป็เด็กชายหูผิงอัน
“ท่านแม่” เสียงเด็กอ่อนวัยลอยเข้ามาเบาๆ ไม่มีเสียงขานรับ มีเพียงเสียงตักน้ำ “ซ่า ซ่า” ไม่นานนัก เสียงเด็กชายดังขึ้นอีกครั้ง “ท่านแม่ ข้าไปกวาดกระท่อมกระต่ายก่อนนะ”
ด้วยเหตุนี้ โลกแห่งความเงียบเชียบจึงกลับมาอีกครั้ง
หลัวจิ่งอดทนความเ็ปค่อยๆ หมุนกาย จากนั้นก็รอคอย
ผ่านไปสิบห้านาที ก็ทนความเจ็บกลับมานอนราบอีกครั้ง แล้วรอคอยต่อไป
จนกระทั่งหลัวจิ่งพลิกกายครั้งที่สามเสร็จ ในลานจึงสะท้อนเสียงลมหายใจนิ่มนวลของเด็กสาวออกมา ตลอดจนเสียงฝีเท้าที่อืดอาดอยู่บ้าง หลัวจิ่งมองอย่างเลื่อนลอยเล็กน้อย นาง... คงได้รับความเหนื่อยล้ามาเมื่อวานกระมัง
ในลานเล็กยามเช้าตรู่ เจินจูตามหาผิงอันออกมาจากกระท่อมกระต่าย สอนเขาแปรงฟันอย่างละเอียด หลี่ซื่อที่อยู่ในห้องครัวยื่นตัวออกมามองพวกเขาอย่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เจินจูยื่นแปรงสีฟันส่งไปทันที หลี่ซื่อมึนงงนิดหน่อย หลุบตาลงปรากฏสีหน้ายุ่งยากเล็กน้อยออกมา ทันทีหลังจากนั้นป้ายผงสีฟันและแปรงฟันขึ้นอย่างคุ้นเคย
เจินจูทั้งชี้แนะผิงอันไปด้วยทั้งแอบสังเกตหลี่ซื่อไปด้วย มองดูท่าทางที่คล่องแคล่วนี้ คิดๆ ไปแล้วก่อนหน้าโน้นคงใช้แปรงสีฟันไม่น้อยกระมัง ฐานะท่านแม่ของนางผู้นี้ลึกลับอยู่บ้าง เจินจูคาดคะเนอยู่ในใจ
น้ำร้อนบนเตายังเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง เจินจูนึกขึ้นได้ว่าในบ้านยังมีคนป่วย จึงตักขึ้นมาครึ่งกะละมังถือเข้าไปในห้อง
“ยู่เซิง เ้าตื่นหรือยัง? ข้าเข้าไปนะ” ใช้ร่างกายดันประตูเปิดออก กลิ่นถ่านไฟหนึ่งสายโชยเข้าจมูก เจินจูย่นหัวคิ้วขึ้น “กลิ่นถ่านแรงเช่นนี้? นี่ไม่ได้นะ ตอนค่ำซอกหน้าต่างต้องกว้างกว่านี้หน่อยแล้ว กลิ่นพิษในถ่านร้ายแรงยิ่ง”
หลัวจิ่งดิ้นรนขึ้นนั่ง เจินจูออกแรงบิดผ้าเสร็จก็ยื่นส่งไป “เ้าดีขึ้นหน่อยหรือยัง?”
สองวันมานี้เจินจูยุ่งเสียจนหัวหมุนติ้ว ไม่มีเวลามาเยี่ยมเยียนเขา
“ดีขึ้นบ้างแล้ว” น้ำเสียงแห้งแหบ เหมือนกับว่าอดกลั้นความในใจไว้ไม่ยอมเผยออกมา เจินจูมองริมฝีปากของเขาที่แตกระแหงเป็ขุยแวบหนึ่ง จึงเม้มริมฝีปาก ทุกข์ใจหน่อยๆ ทุกคนล้วนยุ่งอยู่กับเื่อื่น ทำให้ละเลยเขาไปค่อนข้างมาก
ความเ็ปบริเวณกระดูกที่หักคงจะเป็ทุกข์ทรมานมากแน่ๆ ยิ่งกว่านั้น เขายังเป็เพียงเด็กคนหนึ่ง
เชิงอรรถ
[1] น้ำตาไหลนองหน้า เป็การบรรยายว่าซาบซึ้งใจอย่างมาก
[2] วางแผนรบบนกระดาษ คือ พวกเก่งแต่ปาก