เมิ่งอู่เงยหน้าแล้วชี้ไปบนฟ้า "เ้าเงยหน้ามองสิ คืนนี้ดาวเยอะมาก"
"..."
อินเหิงไม่ได้เงยหน้าขึ้น เพียงหลุบตากึ่งหนึ่งมองนาง เมิ่งอู่กล่าว "เ้ามองข้าทำไม มองดาวสิ"
อินเหิงถาม “เ้าช่วยเปลี่ยนข้ออ้างอย่างอื่นได้หรือไม่? หรือแค่ตรงมาที่…”
ทันทีที่เสียงแ่ลง เมิ่งอู่ก็ออกแรงที่มือเคาะขาของอินเหิงอย่างแม่นยำโดยไม่ทันให้เขาตั้งตัว
อินเหิงไม่ได้กัดฟันไว้ จึงหลุดเสียงร้องครางออกมา
เมิ่งอู่กล่าว “ถึงข้าจะเสียใจที่ทำให้เ้าเจ็บมาก แต่พอได้ยินเสียงของเ้า ข้ากลับรู้สึกใจเต้นไม่เป็จังหวะ ตื่นเต้นจริงๆ”
อินเหิง "..."
คราแรกอินเหิงเพียงจับไหล่ของเมิ่งอู่ไว้ โดยที่นางไม่พูดอะไรสักคำ ต่อมานางค่อยกล่าวด้วยความอดทนอดกลั้น “อาเหิง หากเ้าออกแรงมากกว่านี้อีกนิด ไหล่ของข้าคงหักแน่”
ถึงเวลานี้อินเหิงค่อยตระหนักว่าตนออกแรงมากเกินไป
เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงโอบแขนรอบร่างของเมิ่งอู่แล้วรั้งนางมากอดไว้ในวงแขน
ร่างกายของนางเกร็งตามสัญชาตญาณ อ้อมกอดที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเป็ชายนั้นแข็งแกร่งและทรงพลัง เมิ่งอู่ทำได้เพียงซบแนบอกของเขาแน่นขณะกังวลนิดๆ ว่าจะไปกดทับาแของเขาเข้า แต่อินเหิงกลับไม่กังวลแม้แต่น้อย ปรารถนาอย่างยิ่งว่าจะกอดนางแแ่กว่านี้
เมิ่งอู่ใช้มือคลำกระดูกขาของเขาแล้วจัดเรียงให้กลับสู่ตำแหน่งเดิม ขณะที่นางมีสมาธิจดจ่อ ก็ยังรู้สึกเสียใจเล็กน้อยอีกครา
เนื่องจากครั้งนี้อินเหิงกอดนางไว้ นอกจากเ็ปแสนสาหัสจนต้องฝังหน้าลงกับเสื้อผ้าบริเวณไหล่ของนาง และรู้สึกได้เพียงลมหายใจที่ไม่เป็จังหวะและหอบต่ำไม่กี่ครั้งแล้ว เขาก็ไม่ได้ส่งเสียงใดอีก
เมิ่งอู่เอ่ยถาม “อาเหิง เหตุใดเ้าถึงไม่ร้องแล้ว? เจ็บก็ร้องออกมาสิ”
อินเหิงหอบหายใจเข้าสองครั้ง ก่อนกล่าวเสียงแหบแห้งและทุ้มต่ำมาก “มิใช่เ้าบอกว่าได้ยินเสียงของข้าแล้วใจเต้นไม่เป็จังหวะหรือ”
เมิ่งอู่กล่าว “พอได้ยินเสียงของเ้า ข้ากลับรู้สึกมีเรี่ยวมีแรงเต็มเปี่ยม”
อินเหิงหายใจเข้าออก บนกายนางเจือกลิ่นหอมอ่อนๆ ของสมุนไพร คาดไม่ถึงว่าท่ามกลางจิตสำนึกที่สับสนว้าวุ่นของเขากลับรู้สึกว่ากลิ่นนี้ช่างหอมหวน…
อินเหิงมุมปากกระตุก ไม่รู้ว่ากำลังจนใจหรือขบขัน “อยากฟังถึงเพียงนั้นเชียวหรือ”
แม้อินเหิงไม่เหมือนครั้งก่อน แต่ยามที่เขาฝังหน้ากับไหล่ของเมิ่งอู่ ลมหายใจหอบต่ำและถี่กระชั้นของเขาก็เพียงพอที่จะทำให้เมิ่งอู่ใจสั่น
อินเหิงกำลังพูดกับเมิ่งอู่ ยังไม่ทันปิดปาก เมิ่งอู่ก็ออกแรงที่มืออีกเล็กน้อย เสียงครางของเขาจึงหลุดลอดออกมาจากลำคอ
ความเ็ปยิ่งกว่ายังรออยู่ข้างหลัง เมิ่งอู่ไม่ล้อเขาเล่นอีกต่อไป นางใช้มือคลำกระดูกที่แตกหักแล้วจัดให้เข้าที่ ขั้นตอนนี้ใช้เวลานานมาก ต้องลูบซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะมิอาจทิ้งกระดูกหักไว้ในเนื้อหรือใต้ิัแม้แต่ชิ้นเดียว
ทั้งสองคนล้วนหลั่งเหงื่อชุ่มกายโดยไม่รู้ตัว
อ้อมกอดของเขาร้อนจัด ลมหายใจของเขาปะทะผิวของเมิ่งอู่ ในคราแรกนางขนลุกซู่ จากนั้นนางก็รู้สึกร้อนที่ใบหู
เมิ่งอู่ไม่รู้ว่ากำลังพูดกับตนเองหรือกับเขา “ใกล้เสร็จแล้ว ใกล้เสร็จแล้ว อดทนอีกนิด”
คาดไม่ถึงว่าอินเหิงจะปลอบนาง “เป็แบบนี้แล้วยังมีสิ่งใดที่ทนไม่ได้อีกเล่า เ้าอย่าตื่นตระหนกไปเลย”
เมิ่งอู่เอื้อมมือข้างที่ว่างไปลูบหลังของเขา ตบเบาๆ ฉวยโอกาสเอาเปรียบเขาแล้วเอ่ยว่า “ข้าทนไม่ได้ที่เห็นเ้าเจ็บ เจ็บมากจนหัวใจของข้าแทบแตกสลาย”
"อาอู่" ครู่หนึ่งถัดมาอินเหิงก็เอ่ยเรียกนางเสียงต่ำ
เมิ่งอู่ตอบรับเบาๆ “หืม?”
เขาถามว่า “เ้าพูดแบบนี้กับทุกคนที่หน้าตาดีหรือ?”
เมิ่งอู่กล่าว “ไม่ ข้าพูดแบบนี้กับเ้าเพียงคนเดียว”
อินเหิงซบหน้าลงกับไหล่ของนาง คิ้วตาตกลง ทำให้มองสีหน้าของเขาไม่ชัด รู้เพียงว่าแขนที่โอบเอวของนางไว้กระชับแน่นขึ้นเรื่อยๆ
ใน่ท้าย สายลมยามค่ำพัดโชย จู่ๆ เมิ่งอู่ที่เหงื่อออกท่วมตัวก็รู้สึกหนาวนิดหน่อย
แต่นางถูกอินเหิงกกกอดไว้ในวงแขน จึงรู้สึกว่าอ้อมกอดของเขาอุ่นมาก ลมหายใจของเขายังอยู่ใกล้ใบหูของนาง ทำให้นางรู้สึกว่าคนผู้นี้เป็จริงขนาดนี้และ้านางขนาดนี้
เมิ่งอู่ลูบศีรษะเขา ปอยผมลื่นที่ััด้วยปลายนิ้วช่างนุ่มเป็พิเศษ นางเอ่ย “่เวลาเ็ปที่เลวร้ายที่สุดผ่านพ้นไปแล้ว ต่อจากนี้ก็แค่รอให้ขาของเ้าค่อยๆ ฟื้นตัว เ้าจะต้องลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งแน่”
นางใช้ผ้าพันแผลและแผ่นไม้บางๆ ยึดขาของเขาที่เพิ่งจัดเรียงกระดูกให้เข้าที่เอาไว้ จากนั้นจึงฝังเข็มเงินเพื่อบรรเทาอาการปวดให้เขา
แสงจันทร์ที่ทอนวลตาและขาวกระจ่างดุจหยก โรยตัวลงมาบนชายคาและในลานเรือนเงียบๆ
ใบหน้าของอินเหิงใต้แสงจันทร์ขาวซีดมากดั่งหิมะแรกที่บริสุทธิ์ใน่ต้นเหมันต์ ยิ่งขับเน้นดวงตาสีอ่อนคู่นั้นให้ล้ำลึก โครงร่างหล่อเหลาไร้ที่ติ
หลังอาหารเย็น เมิ่งอู่ก็ใช้ความร้อนที่เหลืออยู่ในเตาต้มน้ำหนึ่งหม้อใหญ่ เวลานี้น้ำอุ่นพอดี
เมิ่งอู่เช็ดตัวให้เขา แล้วตรวจดูาแตามร่างกาย มีบางส่วนที่ฉีกขาดเพราะออกแรงมากเกินไป วันพรุ่งต้องใส่ยาใหม่
นางตักน้ำในถังมาซักเสื้อผ้าที่อินเหิงผลัดเปลี่ยน ก่อนตากไว้ในลานเรือนหนึ่งคืน วันพรุ่งก็แห้งแล้ว
เพียงแต่วิธีนี้ค่อนข้างเปลืองน้ำ หากน้ำในถังหมด วันพรุ่งต้องไปตักน้ำในบ่อน้ำของหมู่บ้าน โดยปกติแล้วนางจะไปซักผ้าที่ริมแม่น้ำ
เมื่อทำทุกอย่างเรียบร้อย เมิ่งอู่ก็เข็นอินเหิงเข้าไปพักผ่อนในห้อง จากนั้นนางก็ไปอาบน้ำอุ่น กลับมานอนอย่างสดชื่น
แต่นึกไม่ถึงว่าอินเหิงจะนั่งลืมตาพิงผนัง ยังไม่นอน
เมิ่งอู่กะพริบตาพลางถาม “เหตุใดถึงไม่นอน เจ็บจนนอนไม่หลับใช่หรือไม่?”
อินเหิงกล่าวเสียงอบอุ่น “กำลังรอเ้ากลับมา ยามนี้นอนได้แล้ว”
เมื่อเมิ่งอู่ได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเบาๆ ไม่ต้องพูดถึงว่าในใจพึงพอใจเท่าใด
วันรุ่งขึ้นเมิ่งอู่ตื่นนอนแล้ว ก็ให้อินเหิงนอนต่อสักพัก ส่วนนางขอยืมเก้าอี้เข็นของเขามาใช้
นางวางถังน้ำสองใบไว้บนเก้าอี้เข็น ก่อนเข็นไปที่บ่อน้ำในหมู่บ้าน
ไม่จำเป็ต้องให้นางลำบากแบกน้ำให้วุ่นวาย เพียงเติมน้ำใส่ถังแล้วเข็นกลับมา ไปกลับไม่กี่เที่ยวก็เติมน้ำในถังเก็บน้ำจนเต็มแล้ว
แสงอรุณสดใส สายลมอบอุ่น
เสื้อผ้าสีขาวสะอาดที่ตากไว้ในลานเรือนกระพือเบาๆ ดูนุ่มนวลมาก เมื่อเมิ่งอู่ทำธุระเสร็จก็เก็บเสื้อผ้าเข้าเรือน แล้วนำไปเปลี่ยนให้อินเหิง
···
กล่าวถึงเมิ่งเจียนเจีย เมื่อวานนางกลับถึงเรือนก็ร้องไห้ฟูมฟาย จนเมิ่งต้าต้องปลอบโยนอยู่นาน
พอเมิ่งซวี่ซวีเห็นชุดกระโปรงที่พี่สาวรักที่สุดถูกเผาจนเป็รู อีกทั้งวงหน้างดงามยังเปรอะเปื้อนเขม่าดำ โดยรวมแล้วน่าสมเพชยิ่งนัก นางจึงยินดีปรีดาในความโชคร้ายของผู้อื่น เอ่ยว่า “ข้าว่าแล้วว่าเหตุใดเ้าถึงไม่กลับมาตลอดเช้า ที่แท้ก็แอบไปที่เรือนของนางสารเลวน้อยเมิ่งอู่ เ้าคงแอบไปดูสามีแต่งเข้าที่เรือนของนางสินะ”
เมิ่งเจียนเจียร้องไห้ “ไม่ใช่ ข้าแค่บังเอิญเดินผ่านประตูเรือนของพวกเขา ท่านอาสะใภ้รองยุ่งมากจึงขอให้ข้าช่วยนาง ข้าปฏิเสธไม่ได้จึงเข้าไปในเรือนครู่หนึ่ง”
นางเย่กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าว่าพวกเขากำลังโอ้อวด! ไยเพลิงถึงไม่เผาเรือนนั่นให้วอดวายไปเลยนะ!”
นางเหอกับเมิ่งต้าซักไซ้ถึงได้รู้ว่ากองหญ้าแห้งที่มุมกำแพงของเรือนเมิ่งอู่ถูกสะเก็ดไฟกระเด็นไปโดนเข้าจนเกือบทำให้ไฟไหม้เรือน
เมิ่งเจียนเจียสะอึกสะอื้น “เรือนหลังใหม่ที่เพิ่งสร้างของพวกเขาเป็เรือนไม้ หากถูกไฟไหม้จริงๆ คงพินาศทั้งหลัง ยากจะดับทัน โชคดีที่พวกเขาพบเห็นทันเวลา…”
เรือนที่ดีในหมู่บ้านล้วนสร้างจากไม้ ขณะที่เรือนที่แย่กว่าสร้างจากโคลนและมุงจาก แต่ไม่ว่าจะเป็แบบใดล้วนไม่ทนไฟ
ถ้อยคำที่คล้ายกับไม่ตั้งใจของเมิ่งเจียนเจียกลับทำให้คนในครอบครัวเมิ่งต้าแอบเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้น