การเดินทางของอวิ๋นหนิงเจี่ย ต้วนผิงอัน และ หนิวมู่อี้ ในครั้งนี้ค่อนข้างง่ายดายกว่าตอนมุ่งหน้ามายังเมืองเสินอู่ พวกเขาเดินไปบน ทุ่งโล่งกว้างใหญ่ ที่สลับกับ โขดหินผาเตี้ย ๆ ที่ทอดตัวยาวไปตามแนวราบ ไม่มีเหวลึกหรือเส้นทางไต่เขาที่หวาดเสียวอีกแล้ว ทำให้ทั้งสามสามารถเร่งฝีเท้าทำเวลาได้อย่างเต็มที่
แต่ยิ่งเข้าใกล้ เมืองฝูเจิ้น สภาพภูมิประเทศก็เริ่มเปลี่ยนไป อากาศเริ่มทวีความอบอ้าว ขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับมีม่านความร้อนปกคลุมเหนือผืนดิน ทุ่งหญ้าสีเขียวที่เคยเห็นก็จางหายไป กลายเป็ พื้นดินสีน้ำตาลแดงที่แตกระแหง เป็ทางยาว สภาพความแห้งแล้งนี้ตัดกับความอุดมสมบูรณ์ของเมืองเสินอู่ที่พวกเขาเพิ่งจากมาอย่างชัดเจน
สามสหายเร่งฝีเท้าอย่างไม่ลดละ พวกเขาใช้เวลาเดินทางสามวันเต็ม ท่ามกลางสภาพอากาศที่ร้อนระอุ ใน่สามวันนี้พวกเขาโชคดีที่ไม่พบสัตว์อสูรระดับต่ำเข้าจู่โจมอีก
ใน่บ่ายคล้อยของวันที่สาม หลังจากที่ปีนขึ้นเนินเขาเตี้ย ๆ ลูกสุดท้าย เมืองฝูเจิ้น ก็ปรากฏแก่สายตา
เมืองแห่งโชคลาภดูเป็เมืองขนาดกลางที่ตั้งอยู่ในภูมิประเทศที่แห้งแล้ง แต่ก็ยังคงความคึกคักในฐานะจุดสุดท้ายก่อนถึงเขตูเา
ทว่า สิ่งที่ดึงดูดสายตาของพวกเขาอย่างรุนแรง ไม่ใช่ตัวเมือง แต่คือฉากหลังที่อยู่ไกลออกไป
ด้านหลังของเมืองฝูเจิ้น นั้น เป็พื้นที่รอยต่อระหว่างเมืองกับป่าและขุนเขาที่ทอดยาวเป็ ทิวแถว สูงชัน แต่มี ูเาลูกหนึ่ง ที่โดดเด่นและน่าสะดุดตากว่าูเาลูกอื่น ๆ อย่างชัดเจน
นั่นคือ เขาหลงเซี่ยง
ขุนเขานั้นสูงเสียดฟ้า มีเงาสีม่วงดำและเทาทับซ้อนกัน ดูลึกลับ
ต้วนผิงอันถึงกับหยุดหายใจ "นั่น... นั่นคือเขาหลงเซี่ยงใช่หรือไม่?"
หนิวมู่อี้กางแผนที่ในมือออก แล้วพยักหน้าอย่างช้า ๆ "ใช่แน่... ขุนเขาที่ถูกสาป มันดูยิ่งใหญ่และน่ากลัวกว่าที่ข้าจินตนาการไว้มากนัก"
อวิ่นหนิงเจี่ยจ้องมองไปยังขุนเขาแห่งนั้นอย่างไม่วางตา ูเาหลงเซี่ยง สูงตระหง่านอยู่เบื้องหน้า เป็เสมือนคำมั่นสัญญาและมรดกเดียวที่มารดาทิ้งไว้ให้เขา มันคือจุดหมายปลายทางของพวกเขา
เด็กหนุ่มทั้งสามกำลังจะเร่งฝีเท้าลงจากเนินเขาเพื่อเข้าสู่ประตูเมืองฝูเจิ้น ทันใดนั้น!
เสียงหนึ่งที่ทั้งคุ้นเคยและเต็มไปด้วยความเ็า ก็ดังแทรกขึ้นมาจาก ชายป่าด้านหน้า ที่ติดกับเชิงเนินเขา ทำให้พวกเขาต้องหยุดชะงักฝีเท้าลงทันที
"โอ้โห! น่าประหลาดใจจริง ๆ" น้ำเสียงนั้นเป็เสียงของชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยความเยาะเย้ย
ฉุนอวิ๋นเซียวเฟิง บุตรชายคนโตของผู้นำตระกูล เดินออกมาจากร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ด้วยท่าทางสง่างามแต่เ็า เขาอยู่ในชุดหรูหราที่ตัดกันอย่างสิ้นเชิงกับสภาพสะบักสะบอมของสามสหาย
"พวกเ้านี่ทรหดจริง ๆ สามารถเดินทางมาถึงที่นี้ได้แบบสภาพครบถ้วนสมบูรณ์ ทั้ง ๆ ที่เป็แค่พวกสวะ ไร้การฝึกปรือ" เซียวเฟิงหยุดยืนและมองมาที่อวิ่นหนิงเจี่ยด้วยสายตาดูแคลน ก่อนจะหันไปทางด้านหลัง "รึว่าอย่างไร... น้องหญิง?"
มีเสียงตอบรับที่เ็าและแหลมคมกว่าดังแว่วตามมา ฉุนอวิ๋นลี่หง ผู้เป็น้องสาวก็ก้าวออกมาจากป่าเช่นกัน ใบหน้างดงามของนางเต็มไปด้วยความไม่พอใจที่ต้องเสียเวลา
"รีบเถอะท่านพี่" ลี่หงกล่าวด้วยน้ำเสียงเร่งรัดอย่างไม่ชอบใจ "เราออกมาจากขบวนของตระกูลหลายเพลาแล้ว เดี๋ยวจะมีผู้สงสัย โดยเฉพาะ สตรีสองนางนั้น กำลังเพ่งเล็งพวกเราอยู่" นางหมายถึง ฮูหยินรองและฮูหยินสาม
ทั้งสองมิใช่ผู้ใดที่ไหน แต่เป็สองพี่น้อง บุตรชายและบุตรีจากสายฮูหยินใหญ่ผู้ทรงอิทธิพล
อวิ่นหนิงเจี่ย, ต้วนผิงอัน, และหนิวมู่อี้ ถึงกับตัวแข็งทื่อ พวกเขาไม่คาดคิดแม้แต่น้อยว่าทั้งสองจะมาดักรออยู่ที่เมืองสุดท้ายนี้ สองพี่น้องต้องเดินทางล่วงหน้าพวกเขามาอย่างรวดเร็วมาก แสดงให้เห็นถึงพลังฝึกปรือและทรัพยากรของตระกูลที่มั่งคั่ง
ต้วนผิงอันกำหมัดแน่น หนิวมู่อี้หน้าถอดสี ส่วนอวิ่นหนิงเจี่ยผู้เคยสงบนิ่งก็ถึงกับขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
เซียวเฟิงยิ้มเย้ยหยัน "ไม่ต้องแปลกใจไปหรอก 'น้องชาย'" เขาเน้นคำว่าน้องชายอย่างจงใจ "ข้าแค่มาตรวจดูให้แน่ใจว่า ขยะ อย่างเ้าตายไปแล้วหรือไม่? "
คำถามนี้มันบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า เซียวเฟิงและน้องสาวคาดหวังว่าการเดินทางที่อันตรายนั้นควรจะคร่าชีวิตพวกเขาทั้งสามไปแล้ว
สีหน้าของต้วนผิงอันเปลี่ยนเป็ถมึงทึงด้วยความโกรธ เขาพร้อมที่จะพุ่งเข้าใส่ได้ทุกเมื่อ ส่วนหนิวมู่อี้ถึงกับถอยหลังไปครึ่งก้าวด้วยความหวาดกลัว แต่สิ่งที่ทำให้ทั้งสองประหลาดใจคือ อวิ่นหนิงเจี่ย
ดวงตาที่เป็ประกายของอวิ่นหนิงเจี่ยยังคงสงบผิดปกติ แม้จะถูกเรียกด้วยคำว่า "ขยะ" อย่างเปิดเผย แต่เขาก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกโกรธหรือหวาดกลัวออกมาเลยแม้แต่น้อย เขายืนนิ่งราวกับรากแก้วที่ฝังลึกอยู่ในผืนดิน
"น่าเสียดายยิ่งนัก" ฉุนอวิ๋นลี่หงกล่าวเสริมด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย "เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์จริง ๆ ท่านพี่ พวกเขารอดมาได้ก็แค่โชคช่วยเท่านั้น"
ฉุนอวิ๋นเซียวเฟิงยกมือขึ้นห้ามน้องสาว ก่อนจะหรี่ตาลงมองอวิ่นหนิงเจี่ยด้วยความสนใจที่แฝงด้วยความอำมหิต
"เอาล่ะ... ในเมื่อเ้ายังไม่ตาย" เซียวเฟิงกล่าวต่อ พร้อมก้าวเข้ามาใกล้อวิ่นหนิงเจี่ยอีก
"ในเมื่อเ้ายังไม่ตาย... ข้าจะสงเคราะห์พวกเ้าเดินทางล่วงหน้าสู่ปรภพ" เสียงของเซียวเฟิงเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งในฤดูหนาว "จะได้มิต้องทนดิ้นรน อยู่อย่างอัปยศบนโลกใบนี้ที่มิมีใคร้าพวกเ้า"
ดวงตาของมันจับจ้องไปที่อวิ่นหนิงเจี่ยเป็พิเศษ และรอยยิ้มบนใบหน้าก็เหี้ยมเกรียมขึ้นเรื่อย ๆ "โดยเฉพาะเ้า... คุณชายอวิ๋นผู้สูงส่งเมื่อกาลก่อน บัดนี้... ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!" เซียวเฟิงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยความสะใจที่ได้เห็นความตกต่ำของอวิ่นหนิงเจี่ย
หน้าตาของเซียวเฟิงดูราวกับ จะกินเืกินเนื้อ อวิ่นหนิงเจี่ย "เ้าจงรับโทษตายจากข้าแทนมารดาของเ้า ที่เมื่อกาลก่อนทำให้ครอบครัวของข้าต้องอัปยศอดสู!"
โดยที่อวิ่นหนิงเจี่ยไม่ทันได้ตอบโต้
เซียวเฟิงเพียงโบกมือเบา ๆ ไปที่อวิ่นหนิงเจี่ย
ทันใดนั้นเอง! คลื่นปราณที่ถูกกลั่นกรองจากขั้น หลอมแก่นขั้น 6 ก็แปรเปลี่ยนเป็ พลังลมที่คมกริบ พุ่งเข้าเฉือนบริเวณ เอ็นเข่าทั้งสองข้าง ของอวิ่นหนิงเจี่ยอย่างรวดเร็วจนมองไม่ทัน
ฟึ่บ!
อวิ่นหนิงเจี่ยรู้สึกเหมือนมีใบมีดที่มองไม่เห็นสองเล่มกรีดตัดเอ็นและกล้ามเนื้อของตนเอง ความเ็ปรุนแรง พุ่งเข้าสู่สมองจนร่างของเขา แทบคุกเข่าลงกับพื้น
"อ๊ากกก!"
เสียงร้องเ็ป ดังออกมาจากลำคอของอวิ่นหนิงเจี่ย
ฉุนอวิ๋นลี่หงหัวเราะคิกคักด้วยความพึงพอใจ "นั่นแหละ! จงร้องออกมาให้พวกคนงานที่นี่ได้ยินเสียบ้าง!"
เซียวเฟิงยืนมองผลงานของตัวเองด้วยความเ็า เขาสะใจที่เห็นอวิ่นหนิงเจี่ยต้องทนทุกข์ทรมานอย่างน่าสมเพช ก่อนจะออกแรงกดปราณลงไปอีกขั้น...
ต้วนผิงอัน และ หนิวมู่อี้ เห็นสหายรักาเ็ เตรียมกระโจนออกไปเสี่ยงชีวิตกับฉุนอวิ๋นเซียวเฟิง ยทั้งสองยังไม่ทันที่จะขยับกาย
ในวินาทีที่ฉุนอวิ๋นเซียวเฟิงกำลังจะปล่อยคลื่นปราณสังหารเข้าใส่ร่างที่าเ็ของอวิ่นหนิง
พลันมี เสียงเ็าไพเราะเสียงหนึ่ง ดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทำให้ฉุนอวิ๋นเซียวเฟิงต้องหยุดชะงักการโจมตีลงในทันที!
"ผู้ใดให้ความกล้าเ้ามาทำร้ายท่านพี่ของข้า?"
เสียงนั้นชัดเจนและทรงพลังอย่างน่าประหลาด ราวกับสายลมเย็นที่พัดผ่านความร้อนระอุแห่งความแค้น
ร่างของหญิงสาวผู้เลอโฉม นางหนึ่งพลัน เหินตัวลอย ลงมาจากฟากฟ้าเหนือชายป่าอย่างแ่เบา ร่างกายของนางพลิ้วไหวราวกับนางอัปสรที่ลงมาจากแดน์ ก่อนจะมาหยุดลง ณ จุดที่ห่างจากฉุนอวิ๋นเซียวเฟิงเพียงสิบก้าว
นางมี รูปร่างบอบบางสูงโปร่ง ผิวพรรณ ขาวเนียนละเอียด เปล่งปลั่งราวกับหยกที่ถูกเจียระไน ใบหน้าของนาง งดงามหมดจด จนน่าตะลึง ดวงตาคู่โตฉายแววบริสุทธิ์ทว่าเยือกเย็น ขณะที่ผมสีน้ำตาลอ่อนยาวสลวยนั้นถูกรวบด้วย ดอกไม้สีแดงสด ทำให้ดูอ่อนหวานแต่ก็ซ่อนความเด็ดขาดไว้ภายใน นางสวมชุดที่ดูเรียบง่ายแต่เนื้อผ้าชั้นดี สีส้มอ่อนที่เผยให้เห็นผิวที่น่ามอง
ในมือของหญิงงามนั้นถือ กระบี่เรียวยาว เล่มหนึ่ง บัดนี้กระบี่เล่มนั้น ทอประกายสีคราม เจิดจ้าดุจพรายน้ำที่ส่องแสงในห้วงมหาสมุทร พลังปราณที่แผ่ออกมาจากกระบี่ครามนั้น รุนแรงและบริสุทธิ์อย่างยิ่ง
"ฉุนอวิ๋นเยี่ยนฟาง!" เซียวเฟิงอุทานอย่างใ
เยี่ยนฟางคือ บุตรีคนรองของฮูหยินสาม (ซืออวิ๋น) นางและพี่ขายของนางมิได้ปรากฏตัวที่ปศุสัตว์ แต่นางมาปรากฏตัวที่เมืองฝูเจิ้นในเวลานี้ ย่อมเป็เื่ที่ทั้งคาดไม่ถึงและชวนให้สงสัย
กระบี่ครามที่ทอแสงนั้นถูก จ่อมาทางเซียวเฟิง ทันที เซียวเฟิงรู้สึกได้ถึงพลังอำนาจที่บริสุทธิ์และรุนแรงจากกระบี่นั้น มันเป็พลังที่สามารถคุกคามพลัง หลอมแก่นขั้น 6 ของเขาได้!
ฉุนอวิ๋นเซียวเฟิงต้องลอยตัวถอยหลังไปหลายก้าว อย่างรวดเร็ว เพื่อลดอานุภาพและระยะการโจมตีของกระบี่ที่จ่อมาทางมัน สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจและความหวาดระแวง
ฉุนอวิ๋นเยี่ยนฟางมิได้สนใจเซียวเฟิงอีก นาง พลิ้วกาย เคลื่อนที่อย่างสง่างามราวกับก้อนเมฆ แล้ว ขวางหน้าอวิ่นหนิงเจี่ย ผู้าเ็ไว้ ปราณครามอันบริสุทธิ์ที่แผ่ออกมาจากร่างของนาง ได้ปกคลุมร่างของอวิ่นหนิงเจี่ย ต้วนผิงอัน และหนิวมู่อี้ไว้ เป็เสมือน กำแพงป้องกัน ที่มิอาจผ่านได้
"เยี่ยนฟาง! เ้าออกมาได้อย่างไร? และเ้า... เ้าทำไหมถึงมาช่วยเ้าสวะนี่!" ฉุนอวิ๋นลี่หงที่ยืนอยู่ข้างเซียวเฟิงร้องถามด้วยความสงสัยระคนโกรธแค้น
อวิ่นหนิงเจี่ยมองไปยังร่างของเยี่ยนฟางที่ยืนขวางอยู่เบื้องหน้าด้วยความตกตะลึง และเ็ป ซาบซึ้งใจ ในตอนนั้นที่เกิดเื่ขึ้น เขาโดนขับไล่ออกจากตระกูล เป็นางที่มีท่าทีเ็า ห่างเหินกับเขา และมิเคยปกป้องเขาเลยในตอนนั้น แต่ในตอนนี้กลับออกโรงลงมือช่วยเขา นาง้าสิ่งใดกันแน่ นางที่เรียกเขาว่า "ท่านพี่" มันเป็คำที่เขามิได้ยินคำเรียกนี้มานานหลายปีแล้ว จากปากของนาง
ฉุนอวิ๋นเซียวเฟิง ที่ถูกกระบี่ครามจ่ออยู่ รู้ดีว่าการโจมตีครั้งที่สองของตนต้องถูกขัดขวางแล้ว มันกัดฟันแน่นและหันไปหาน้องสาว
"น้องหญิงอย่าเสียเวลากับคำถามไร้สาระ!" เซียวเฟิงตวาด "อย่าไปสนใจ! มาช่วยกันจัดการเยี่ยนฟางก่อน และหาโอกาสสังหารพวกอวิ่นหนิงเจี่ยให้ได้!"
ลี่หงพยักหน้าอย่างเข้าใจ พวกเขากำลังจะผนึกกำลังกันในฐานะพี่น้องสายตรงจากฮูหยินใหญ่ เพื่อรับมือกับเยี่ยนฟาง
ยังไม่ทันที่สองพี่น้องจะได้ผนึกกำลังและลงมือโจมตี เสียงหัวเราะเสียงหนึ่ง พลันดังขึ้น มาจากราวป่าด้านหลัง!
"โฮ่! โฮ่! โฮ่!"
ฉุนอวิ๋นจิงเหว่ย บุตรชายคนโตของฮูหยินสาม และเป็พี่ชายแท้ ๆ ของเยี่ยนฟาง ก็เดินออกมาจากราวป่าอย่างสง่างาม การมาถึงของเขาเป็เสมือนสายฟ้าฟาดที่ทำให้ฉุนอวิ๋นเซียวเฟิงและลี่หงต้องชะงักงัน
จิงเหว่ยเป็ชายหนุ่มที่ดูปราดเปรื่องและมีรอยยิ้มที่จริงใจ แต่แฝงด้วยความเฉลียวฉลาดที่ยากจะหยั่งถึง ระดับพลังของเขาไม่แพ้เซียวเฟิงเลยแม้แต่น้อย เขายืนกอดอกมองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยสายตาที่เย้ยหยัน
"พวกเ้าช่าง น่าไม่อาย ถึงขนาดกล้าทำร้ายคนมิมีทางสู้ และยังคิดขวางน้องหญิงของข้าด้วย" จิงเหว่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ แต่ทุกคำพูดเต็มไปด้วยแรงกดดัน
เขาโบกมืออย่างเชิญชวน "มา... มาเถอะ วันนี้ขอให้ข้าได้ชม กระบี่พายุเมฆา กับ กระดิ่งครามวายุเมฆ ของทั้งสองท่านหน่อย"
สองพี่น้องจากสายฮูหยินใหญ่ ทราบว่าในวันนี้มิอาจสังหารคนได้อีกแล้ว
ฉุนอวิ๋นเซียวเฟิงเก็บคลื่นปราณที่ค้างอยู่ในมือกลับไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าของมันเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
"จิงเหว่ย! เ้าบังอาจมาขัดขวางข้า!" เซียวเฟิงคำราม
"ข้าแค่มาปกป้องน้องชายและน้องสาวของข้าเท่านั้น" จิงเหว่ยตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง
เซียวเฟิงและลี่หงทิ้งสายตาที่เต็มไปด้วยความแค้นมาทางอวิ่นหนิงเจี่ยเป็ครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันหลังและเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
"ฝากไว้ก่อน!" เซียวเฟิงะโทิ้งท้ายด้วยความไม่ยินยอม "วันงานประลองยุทธ์ที่จะเกิดขึ้น ข้าจะทำให้พวกเ้าเห็นดีแน่นอน!"
เมื่อเงาร่างของสองพี่น้องหายลับไปในป่า ความตึงเครียดบริเวณเนินเขาก็คลายลงทันที อวิ่นหนิงเจี่ยยังคงยืนนิ่ง
ทันทีที่ฉุนอวิ๋นเซียวเฟิงและลี่หงจากไป ต้วนผิงอันลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับหนิวมู่อี้ที่รีบวิ่งเข้ามา ดูอาการาเ็ ของอวิ่นหนิงเจี่ยทันที
"หนิงเจี่ย! เ้าเป็อย่างไรบ้าง!" ต้วนผิงอันประคองร่างเพื่อนรักที่กำลังยืนสั่นเทาเพราะความเ็ปจากาแ กำลังจะก้าวเข้าไปหาอวิ่นหนิงเจี่ยเพื่อดูอาการาเ็ของเขาด้วยความเป็ห่วงอย่างเห็นได้ชัด
แต่ ฉุนอวิ๋นจิงเหว่ย ผู้เป็พี่ชายกลับใช้ สายตาที่เต็มไปด้วยความหนักใจ จ้องมองมาที่เยี่ยนฟาง จนทำให้นางต้อง หยุดชะงัก อยู่กับที่ นาง เบือนหน้าหนีไปทางหนึ่ง ราวกับไม่้าให้อวิ่นหนิงเจี่ยเห็นความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง
จิงเหว่ยถอนหายใจแ่เบา ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อ แล้ว โยนขวดยาเล็ก ๆ ที่ทำจากหยกสีขาวบริสุทธิ์ลงพื้นเบื้องหน้าอวิ่นหนิงเจี่ย
“ยานี้คือ โอสถ 'เซียนหลิงซิน' โอสถล้ำค่าของตระกูลมารดาข้า ซึ่งมีสรรพคุณในการ รักษาาแภายในและสมานเส้นเอ็น ที่ฉีกขาดได้อย่างรวดเร็ว”
อวิ่นหนิงเจี่ย ซึ่งกำลังยืนก้มหน้าแน่นิ่ง ไม่ได้มองไปยังสองพี่น้องที่อยู่เบื้องหน้าเลยแม้แต่น้อย เขาพยายามระงับความเ็ปที่ถาโถมเข้ามา ก่อนจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบและห่างเหินที่สุดเท่าที่จะทำได้
"ขอบคุณ คุณชาย และ คุณหนู สาม ที่ยื่นมือช่วยด้วยธรรมะ" อวิ่นหนิงเจี่ยกล่าวพลางเน้นคำเรียกอย่างเป็ทางการ เพื่อแสดงถึงการเว้นระยะห่าง "ข้าและสหายจะจดจำบุญคุณครั้งนี้ไว้ตอบแทนท่านในภายหลัง"
คำพูดนั้นของอวิ่นหนิงเจี่ย ไม่ได้สื่อถึงความสนิทสนมใด ๆ แต่กลับเป็การแสดงออกถึง ฐานะทางสังคมของทั้งสองฝ่าย
เมื่อเยี่ยนฟางได้ยินคำว่า 'คุณชาย' และ 'คุณหนู' จากปากของ อวิ๋นหนิงเจี่ย ที่ห่างเหินถึงเพียงนั้น ร่างของนางพลันสั่นเล็กน้อย ด้วยความเ็ปทางอารมณ์
จิงเหว่ย เห็นปฏิกิริยาของน้องสาว และเข้าใจในความเ็ปที่อวิ่นหนิงเจี่ยต้องแบกรับ เขาส่ายหน้าเล็กน้อย ไม่กล่าวแม้แต่คำเดียว
จิงเหว่ยใช้มือประคองเยี่ยนฟางไว้เบา ๆ ก่อนจะ พาเยี่ยนฟางเหินบินจากไป ท่ามกลางความมืดที่เริ่มปกคลุมโดยไม่กล่าวอะไรทิ้งท้าย พวกเขาสองคนหายลับไปในเงามืดของเชิงเขาอย่างรวดเร็ว
อวิ่นหนิงเจี่ย ก้มตัวลงเก็บโอสถเซียนหลิงซินขึ้นมาอย่างช้า ๆ เขาเก็บความปวดร้าวใจไว้ในใจ ลึก ๆ ส่วนต้วนผิงอันและหนิวมู่อี้ได้แต่เงียบ ไม่กล้าที่จะถามอะไรออกมาอีก
