“ประตูไม่ได้ลงกลอน”
พอหร่านซวี่จือเปิดประตูออก เขาก็เห็นจินเฟิงสวมไว้เพียงชุดชั้นในตัวเดียว และเตรียมตัวที่จะเข้านอน
หร่านซวี่จือเลิกคิ้ว เดิมทีเวลาเช่นนี้จินเฟิงไม่น่าจะเข้านอน ส่วนใหญ่แล้วควรที่จะฝึกฝนอย่างเข้มข้นอยู่ด้านนอก ไม่รู้ว่านี่เป็ผลจากคำพูดของตนเองในวันนั้นหรือไม่
เดิมทีจินเฟิงเข้าใจว่าเป็บรรดาสาวรับใช้ คิดไม่ถึงว่าคนที่มาจะเป็หร่านซวี่จือ มีความกระวนกระวายฉายอยู่บนใบหน้าขึ้นมาแวบหนึ่งและก็รีบข่มความตื่นเต้นในทันใด “ท่านมาทำอะไรหรือ? ”
หร่านซวี่จือเสแสร้งแกล้งทำเป็ใช้พัดบังใบหน้าที่สวยงามนั้น พลางยิ้มตาพริ้มแล้วเอ่ย “เ้าลองเดาสิวันนี้คือวันอะไร? ”
จินเฟิงเอ่ยอย่างหวาดระแวง “วันอะไร? ”
“น่าเบื่อเสียจริง” เมื่อเห็นท่าทีของจินเฟิงที่ทำอย่างกับมีศัตรูมาเยือน หร่านซวี่จือจึงส่ายศีรษะด้วยความหน่ายใจแล้วเดินไปช้าๆ เมื่อเดินไปถึงข้างหลังเตียงของจินเฟิง ก็หยิบของเล็กๆ บางอย่างออกมา “วันนี้คือวันครบรอบวันเกิดของเ้า จำไม่ได้แล้วหรือ? ”
จินเฟิงอึ้งไปอยู่ครึ่งนาที ไม่ใช่ว่าจำไม่ได้ หากแต่จินเฟิงไม่เคยรู้มาก่อน
จินเฟิงกำเนิดมาก็ไม่มีพ่อแม่ ด้วยความที่เขาเกิดและเติบโตในชนบท เขาก็ย่อมที่จะไม่เคยรู้วันและเวลาเกิดของตนเอง ส่วนที่ว่าหร่านซวี่จือรู้ได้อย่างไรนั้น เป็เพราะว่าท่านพ่อของหร่านซวี่จือบอกกับเขา แต่ในชาติที่แล้วหร่านซวี่จือไม่เคยบอกกล่าวเื่นี้กับจินเฟิง
“เ้าคือน้องชายของข้า เพราะฉะนั้น เ้าก็ไม่ต้องใว่าทำไมข้าถึงรู้”
“ข้าให้เ้า เก็บไว้สิ”
ในมือของหร่านซวี่จือมีหยกประจำตัวอันเล็กกะทัดรัด ที่หยกนั้นมีด้ายมัดหมี่ผูกไว้ ซึ่งหยกชิ้นนั้นละเอียดอ่อนและมีสีสันสวยงามเป็ที่สุด ดูแล้วไม่อาจประเมินค่าได้
จินเฟิงมองดูหยกชิ้นนั้นนานครึ่งค่อนวันและก็ไม่ได้ยื่นมือออกไป
หร่านซวี่จือวนอยู่ในเมืองเป็เวลานานกว่าจะตัดสินใจซื้อหยกชิ้นนี้ให้จินเฟิง
เนื่องจากจินเฟิงมีกระดูกเย็น ซึ่งหยกนั้นมีความอบอุ่นที่หล่อเลี้ยงคนได้ ดังนั้นย่อมจะเกิดผลดีต่อร่างกายของจินเฟิง
“ข้าไม่้า” จินเฟิงปฏิเสธเสียงแข็ง
หร่านซวี่จือไม่โกรธแต่กลับวางหยกชิ้นนั้นไว้บนโต๊ะ “จะรับไว้หรือไม่ก็ตามใจเ้า ข้ายังมีธุระต้องจัดการ เ้าก็รีบพักผ่อนเถอะ”
ขณะที่พูดอยู่นั้น หร่านซวี่จือก็จากไปโดยไม่หันกลับมามอง
“นี่…” ในจังหวะที่หร่านซวี่จือก้าวออกจากประตู จินเฟิงก็เอ่ยปากเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่กลับกลืนมันลงไป
จินเฟิงวิ่งเหยาะๆ ไปข้างประตูและพอยื่นศีรษะออกไป เด็กน้อยก็ไม่เห็นเงาของหร่านซวี่จือแล้ว
“คนบ้าอะไร วิ่งเร็วขนาดนั้น อย่างกับผีเลย…” จินเฟิงบ่นพึมพำเสียงเบา พลางหันศีรษะกลับมา เขาจ้องมองหยกบนโต๊ะอยู่นานสักพักใหญ่ สุดท้ายก็หยิบหยกชิ้นนั้นเก็บไว้ในลิ้นชักตู้ข้างเตียงของตนเอง
หร่านซวี่จือกลับไปจัดการสะสางงานของตน ด้วยร่างกายที่อ่อนแอก่อนหน้านี้ เขาจึงสะสมกองงานไว้พอสมควร จนสุดท้ายก็หลับคาโต๊ะไปทั้งอย่างนั้น
ตื่นขึ้นในตอนเช้าเพราะเสียงร้องไพเราะของนกจากทางด้านนอก หร่านซวี่จือสะลึมสะลือพร้อมกับขยี้ตาและมองออกไปทางหน้าต่างซึ่งสว่างมากแล้ว พอก้มศีรษะอีกทีก็เห็นว่าตนเองนอนอยู่บนเตียง
เสื้อผ้ายังอยู่ดีครบถ้วนแถมผ้าห่มก็ถูกดึงขึ้นมาห่มไว้อย่างดี
หร่านซวี่จือสะดุ้งในใจ
หร่านซวี่จือ: “สองสามสาม เมื่อคืนใครเป็คนพาฉันขึ้นเตียง? ”
ระบบ: “คิดว่าคุณรันน่าจะรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วนะครับ”
หร่านซวี่จือ: “เป็เขาจริงหรือ? ”
ระบบไม่พูด
สายตาของหร่านซวี่จือหันไปมองทางหน้าต่างอีกครั้ง
ด้านนอกมีเพียงกิ่งไม้ที่เขียวขจีและมองไม่เห็นเงาของผู้ใด แต่หร่านซวี่จือรู้ว่าด้านนอกนั้นมีใครบางคนแอบซ่อนอยู่ตลอด
ไม่ใช่แค่ครั้งนี้ หน้าที่รับผิดชอบขององครักษ์เงาไม่ได้รวมถึงแง่มุมนี้ หากแต่เพียงจำกัดไว้ที่เื่การปกป้องความปลอดภัยของผู้เป็นาย ครั้งที่แล้วที่บุกรุกเข้าห้องนอนเพราะธาตุเย็นเข้าแทรกก็ครั้งหนึ่งและก็ครั้งนี้อีก
ในใจหร่านซวี่จือเหมือนมีคำตอบบางอย่างรางๆ
-------------------------------------------------
ขณะที่หร่านซวี่จือมาถึงที่เรือนด้านหลัง จินเฟิงก็กำลังตั้งใจฝึกฝนการต่อสู้พื้นฐานอย่างตั้งใจ
“มานี่” หร่านซวี่จือกวักมือ
จินเฟิงหยุดการเคลื่อนไหวแล้ววิ่งมาตรงหน้าหร่านซวี่จือพร้อมกับเหงื่อที่เต็มศีรษะ
จากครั้งแรกที่มาถึงเยวี่ยชุนโหลวก็ล่วงเลยมาเป็เวลาหนึ่งปีกว่าแล้ว สมรรถภาพทางร่างกายของจินเฟิงนั้นเทียบกับครั้งแรกที่เจอกันไม่ได้เลย เครื่องหน้านั้นก็เริ่มดูเป็ผู้ใหญ่ขึ้นมาบ้าง เริ่มมีลักษณะที่สามารถมองออกได้ว่าอนาคตจะเป็อย่างไร รูปร่างนั้นองอาจและสง่าผ่าเผย มีขนาดที่สมส่วน เมื่ออยู่ในชุดฝึกวรยุทธ์ยิ่งทำให้มีสง่าราศีแน่วแน่ปราดเปรียวเฉกเช่นเด็กหนุ่ม
ครั้งแรกที่หร่านซวี่จือเจอจินเฟิง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยพลังแห่งความมืดมนมัวหมอง แต่ยามนี้กลับจางหายไปมาก มีจิตใจและความร่าเริงของเด็กหนุ่มเพิ่มขึ้นมาแทนพอสมควร
เมื่อเห็นจินเฟิงในลักษณะนี้ หัวใจของหร่านซวี่จือก็พลันรู้สึกประสบความสำเร็จไปอีกหลายระดับโดยไม่รู้ตัว
“เอาไป” หร่านซวี่จือยื่นเคล็ดวิชากระบี่เล่มหนึ่งให้ตรงหน้าจินเฟิง
จินเฟิงรับมาพร้อมกับพลิกดูเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ถึงกับสะดุ้ง
นี่คือเคล็ดวิชาลับของสำนักชิงหยาเก๋อ
มีเพียงเ้าสำนักชิงหยาเก๋อทุกรุ่นเท่านั้นถึงจะสามารถเคล็ดวิชากระบี่นี้ได้ ชาติที่แล้วหร่านซวี่จือปกป้องมันเป็ความลับอย่างหาสิ่งใดเปรียบไม่ได้ หากไม่ใช่เพราะได้รับความช่วยเหลือจากคนของสำนักวายุภักดิ์ ก็ลำบากยากเข็ญเป็อย่างมากกว่าจะช่วยเขาให้ได้มันมา ไม่อย่างนั้น ชาตินี้จินเฟิงคงไม่มีทางรู้ถึงการมีอยู่ของเคล็ดวิชากระบี่นี้
“กระบวนท่าของกระบี่นี้ค่อนข้างยุ่งยากซับซ้อน เ้าค่อยๆ ฝึกฝนไปทีละขั้น อย่าได้รีบร้อนเกินไป” หร่านซวี่จือเอ่ย “ข้าจะถ่ายทอดกระบวนท่าเบื้องต้นให้เ้าก่อน”
“เ้าลองใช้กระบวนท่าแรกดูสิ”
จินเฟิงรีบก้มศีรษะแล้วพลิกดูไม่กี่หน้าแรก จากนั้นเขาก็จดจำท่วงท่าทั้งหมดในนั้นอย่างจดจ่อตั้งใจแล้วก็วางตำราลงบนพื้นโล่ง เขาหยิบกระบี่ที่ใช้ฝึกฝนของตนเองและออกแรงที่ข้อมือ จากนั้นก็เข้าสู่การฝึกฝน
หร่านซวี่จือจ้องการเคลื่อนไหวของจินเฟิงด้วยสายตาเฉียบคมอยู่สักครู่ จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น “ออกแรงตรงศอกมากเกินไป” ขณะพูดก็เดินไปทางจินเฟิง มือคว้าหมับเข้าที่แขนของจินเฟิงแล้วจัดท่าทางให้เขา
นี่เป็ครั้งแรกที่หร่านซวี่จือสอนในระยะประชิดเช่นนี้ทำให้จินเฟิงตั้งตัวไม่ทัน เขารู้สึกเพียงความอบอุ่นที่อยู่ด้านหลังของตนเอง ลมหายใจอบอุ่นพ่นอยู่ข้างหูของตนแฃะกลิ่นที่คุ้นเคยนั้นก็ปะทะเข้าเต็มจมูกในชั่วพริบตา
ข้างในหัวใจของจินเฟิงราวกับถูกช้างตัวใหญ่เหยียบเข้าให้ แต่สีหน้านั้นกลับไม่แสดงออกแต่อย่างใด เพียงแค่ตัวแข็งทื่อไปเท่านั้น
“เข่าของเ้าเป็อะไรไป! ” หร่านซวี่จือแผดเสียง
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม หร่านซวี่จือเอ่ย “การออกแรง่เอวของเ้าไม่ค่อยถูกต้อง”
การเคลื่อนไหวของจินเฟิงผิดไปหลายจุดและก็ยังแก้ไขไม่ได้สักที นี่เกิดขึ้นจากความเคยชินที่แย่จากชาติที่แล้ว
ครั้งที่แล้วตำรากระบี่ของสำนักชิงหยาเก๋อ จินเฟิงเป็คนร่ำเรียนฝึกฝนเอง แม้ว่าจินเฟิงจะมีวรยุทธ์สูงส่ง แต่เนื่องจากว่าเคล็ดวิชากระบี่ของสำนักชิงหยาเก๋อนั้นค่อนข้างยาก จินเฟิงเองก็สามารถฝึกฝนจากในนั้นได้ราวครึ่งหนึ่ง แต่อย่างมากสุดก็ทำได้เพียงไต่ถึงระดับเจ็ด นั่นก็เป็เพราะว่าไม่มีคนช่วยเขาจัดการความผิดพลาดเล็กน้อยให้มันถูกต้อง
หลังจากที่จินเฟิงฝึกฝนจบและใช้กระบวนท่าเหล่านี้มานานหลายปี การเคลื่อนไหวจึงก่อเกิดเป็ความเคยชิน ย่อมไม่สามารถแก้ไขกลับมาได้ด้วยคำพูดไม่กี่คำของหร่านซวี่จือ
หร่านซวี่จือมองดูอยู่นานครึ่งค่อนวันก็พลันทอดถอนใจอย่างระอา เขาถอดชุดคลุมด้านนอกออกแล้วยื่นให้อิ่ง
หร่านซวี่จือคว้ามือของจินเฟิงมาวางไว้ที่เอวของตนเอง “ข้าจะทำให้เ้าดูหนึ่งรอบ เ้าััให้ดีว่าข้าออกแรงจากตรงส่วนไหนบ้าง”
มือของจินเฟิงถูกวางเข้าที่เอวของหร่านซวี่จือโดยไม่ทันตั้งตัว และก็ไม่อาจสาธยายใบหน้านั้นออกมาได้
หลังจากที่หร่านซวี่จือทำให้ดูอยู่หลายรอบ ในที่สุดจินเฟิงก็แก้ไขความผิดพลาดของการเคลื่อนไหวของตนเองได้สักที
เพียงแต่ว่า ในความเป็จริงจินเฟิงก็ไม่ได้ตั้งใจฟังแต่อย่างใด เพราะในสมองคิดเพียงว่าทำไมคนคนนี้เอวถึงได้บางเช่นนี้ เขารู้สึกว่าหากออกแรงหน่อยคงสามารถหักเอวของคนคนนี้ได้อย่างแน่นอน การััรับรู้หรือกระบวนท่ากระบี่อะไรเทือกนั้นล้วนถูกโยนขึ้นไปบนก้อนเมฆหมดแล้ว
หร่านซวี่จือสอนอยู่สักพักก็เริ่มเหนื่อย รูปร่างของจินเฟิงนั้นสูงถึง่คางของเขาแล้วทำให้การสอนเขาทำได้ไม่ง่ายนัก ไม่นานนักหร่านซวี่จือก็เลยปล่อยให้จินเฟิงฝึกฝนเอง
-------------------------------------------------------