เหลียนเซวียนยื่นมือหนึ่งออกไปลูบจมูกของเธอเบาๆ
"เคราะห์ดีที่จมูกไม่เบี้ยว"
เซวียเสี่ยวหรั่นถลึงตาใส่เขาอย่างแรง จมูกไม่เบี้ยว แต่ถูกเขายั่วโมโหเกือบตาย
"ปล่อยมือข้า" เธอแค่นเสียงลอดไรฟัน
เหลียนเซวียนมุมปากกระตุก ปล่อยนางไปอย่างระมัดระวัง
เซวียเสี่ยวหรั่นรีบปิดจมูกบวมแดงของตนเองทันที พลางแค่นเสียงฮึดฮัดกล่าวโทษเขา
"ห้ามจับมือผู้อื่น หยาบคาย เผด็จการ ชอบดูแคลนคน"
เ้าดื้อดึงขนาดนี้ หากไม่ใช้กำลังหน่อยจะเชื่อฟังโดยดีได้อย่างไร เหลียนเซวียนเม้มริมฝีปากอย่างจนใจ "แฮ่ม เ้าไม่เป็ไรนะ ถูกเ้าหัวขโมยนั่นทำร้ายเอารึเปล่า"
พูดจบก็มองสำรวจั้แ่หัวจรดเท้า
เปลี่ยนเื่อีกแล้ว เซวียเสี่ยวหรั่นไม่พอใจ ตัดสินใจว่าจะเ็าใส่เขา
เธอแค่นเสียงหึเบาๆ หันกลับไปนั่งที่โต๊ะสี่เหลี่ยมในห้องรับแขก สนใจแต่ลูบจมูกของตนเอง
ยายหนูนี่เริ่มจะเ้าอารมณ์มากขึ้นทุกวัน เหลียนเซวียนอึ้งงัน
"ทายาก่อนสิ" เขานั่งลงข้างกายนาง ก่อนค้นสีผึ้งฟื้นฟูผิวออกมา
เซวียเสี่ยวหรั่นถลึงตาใส่เขา ก่อนรับสีผึ้งมาทาเอง
ถึงอย่างไรก็ไม่อาจเอาจมูกของตนเองมาแลกกับการแง่งอน
"ข้าผิดเอง เมื่อครู่พอได้ยินข่าวหน้าโรงเตี๊ยม ก็ร้อนใจ ไม่ทันสังเกตว่าเ้าอยู่หลังประตู"
เห็นจมูกของนางแดงเถือก เหลียนเซวียนก็นึกขอขมาในใจ
เขาลดอัตตาลงมากล่าวขอขมา เซวียเสี่ยวหรั่นก็ยากจะถือสาอีก เธอปิดฝาขวดสีผึ้งผลักกลับไปให้เขา "ก็ไม่เป็ไรหรอก แค่ต่อไปไม่อนุญาตให้ท่านจับมือข้าอีก"
เธอสนใจเื่นี้มากกว่า
คิ้วดาบสีดำเข้มของเหลียนเซวียนเลิกขึ้นน้อยๆ เอื้อมมือไปจับมือนุ่มขาวละเอียดของนาง
"เพราะเหตุใดเล่า?"
มือใหญ่บีบนิ้วมือเรียวนุ่มนิ่มของนาง พลางเอ่ยอย่างไม่นำพา
เซวียเสี่ยวหรั่นมองดู เพิ่งพูดอยู่หยกๆ ทำไมถึงจับมือเธออีกแล้วล่ะ?
"ท่าน... จับมือสตรีคนหนึ่งตามอำเภอใจได้อย่างไร"
นิ้วมือถูกเขาคลึงเบาๆ พวงแก้มของเธอแดงซ่าน
"ข้าไม่ได้จับมือสตรีอื่นตามอำเภอใจสักหน่อย" ั์ตาของเหลียนเซวียนฉายแววยิ้ม แต่สีหน้ากลับจริงจังมาก
ความหมายชัดเจนมาก เขาแค่กุมมือเธอตามอำเภอใจ
ใบหน้าของเซวียเสี่ยวหรั่นพลันร้อนผ่าว
นะ... นี่เขาหมายความว่าอย่างไร
ถ้อยคำทำนองนี้คล้ายเป็การสารภาพรัก แต่กลับไม่พูดให้ชัดเจน
ยิ่งไปกว่านั้น ยังเลือกพูดตอนที่เธอจมูกบวมเป่ง ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงทั้งหัว มันน่าโมโหเหลือเกินจริงๆ
เธอไหนเลยจะคิดได้ว่า วิธีสารภาพของคนยุคสมัยนี้มักใช้วิธีการอ้อมค้อม หากให้เหลียนเซวียนเอ่ยปากบอกว่ารักหรือชอบตามตรง ระดับความยากไม่ใช่แค่สูงแบบธรรมดา
เซวียเสี่ยวหรั่นทั้งโมโหทั้งขัดเขิน รีบเอามือที่ยังว่างอยู่อีกข้างปิดจมูกไว้
เหลียนเซวียนตะลึงเล็กน้อย นี่นางเป็อะไรไปอีก?
บุรุษที่เป็ชายทั้งแท่งอย่างเหลียนเซวียนไหนเลยจะเดาออกว่าเซวียเสี่ยวหรั่นใส่ใจจุดนี้
"เจ็บจมูกมากเลยหรือ" เห็นนางกุมจมูก เหลียนเซวียนนึกได้แต่ทางนี้
"เปล่า" เซวียเสี่ยวหรั่นกลอกตาใส่เขา หลังตอบด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง ก็วางมือลง น่าเกลียดก็น่าเกลียดไปสิ เธอทำเื่น่าอายต่อหน้าเขาน้อยอยู่เสียเมื่อไร
เหลียนเซวียนจ้องจมูกของนางอย่างพินิจ จนแน่ใจว่าไม่เป็อะไรถึงเอ่ยปาก "สีผึ้งฟื้นฟูผิวลดอาการบวมได้ พรุ่งนี้ก็น่าจะหายแล้วล่ะ"
"อื้อ" เซวียเสี่ยวหรั่นรับคำ อยากชักมือของตนเองกลับ แต่ไม่ว่าจะดึงอย่างไรก็ดึงไม่ออก จึงถลึงตาใส่เขาอย่างไม่สบอารมณ์ "เมื่อ่บ่ายท่านไปไหนมา เมื่อไรจะไปหาพวกเสี่ยวเหล่ย"
กลับไปถึงขบวนรถม้าภายใต้สายตาคนมากมาย ดูซิว่าเขาจะกล้าถึงเนื้อถึงตัวเธออีกหรือไม่
"ไปสอบถามข่าว แล้วก็ซื้อรถม้า" ปลายจมูกแดงๆ กับท่าค้อนกะหลับกะเหลือกของเธอ ทำให้เหลียนเซวียนสนใจ รู้สึกว่าน่ารักดี รอยยิ้มอ่อนโยนผุดวาบในดวงตาโดยไม่รู้ตัว
เซวียเสี่ยวหรั่นถูกมองด้วยสายตาแบบนั้น ก็รู้สึกเหมือนถูกมดไต่ไปทั้งตัว กระสับกระส่ายนั่งไม่ติด
"เช่นนั้น พวกเราจะออกเดินทางพรุ่งนี้ใช่หรือไม่" เธอถามพลางมองเขาอย่างตื่นเต้น
"อื้อ พรุ่งนี้ออกเดินทาง" สองมือใหญ่ของเหลียนเซวียนกุมมือเล็กจ้อยของนาง "พริกน้ำของเ้ายังมีอยู่รึเปล่า ต้องเติมหรือไม่"
ยามเขาไม่อยู่ข้างกาย ของเหล่านี้ใช้ได้ผลทีเดียว เหลียนเซวียนเริ่มให้ความสำคัญกับของเล่นป้องกันตัวของนาง
"ยังเหลือมากอยู่ ไม่ต้องเติมชั่วคราว"
เซวียเสี่ยวหรั่นส่ายหน้า เขาอยู่ข้างกายเธอ ของเหล่านี้แทบไม่ต้องใช้ ดังนั้นพริกน้ำจึงไม่พร่องลงไปเท่าไร
"อ้อ พกติดตัวให้ดี ถึงยามต้องใช้อย่าใจอ่อนเป็อันขาด" สีหน้าของเหลียนเซวียนขรึมลงทีละน้อย
ก่อนเข้ามาในโรงเตี๊ยม เห็นเ้าหัวขโมยคิ้วโจรตามุสิกผู้นั้นหน้าตาบวมฉึ่ง ก็จำได้ว่าเห็นอีกฝ่ายกับพรรคพวกคิดอีกคนยืนเมียงมองอยู่ข้างถนนตอนพวกเขาซื้ออาภรณ์เสร็จ
มือยื่นเข้ามายาวเกินไป ก็ต้องเตรียมถูกตัดทิ้ง
ั์ตาของเหลียนเซวียนโชนแสงเย็นวาบ
เช้าวันต่อมา เถ้าแก่โรงเตี๊ยมค้อมเอวส่งรถม้าของทั้งสองคนออกไป
เขามองรถม้าตะบึงไปข้างหน้า พลางปาดเหงื่อบนหน้าผาก
"เถ้าแก่ นายท่านผู้นั้นเป็ใครหรือขอรับ ให้ตายเถอะ แค่เขามองมาปราดเดียว ข้าก็ใแทบฉี่ราดแล้ว" คนงานที่เข้ามาประคองกระซิบถาม
"ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเขาเป็ใคร รู้แต่ว่านั่นคือใต้เท้าที่พวกเราไม่ควรไปยั่วโทสะ" เถ้าแก่กลอกตา ความกล้าของเ้านี่ยังน้อยกว่าเขาอีก
เถ้าแก่กับคนงานกลับเข้าไปในโรงเตี๊ยม
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เ้าหน้าที่ศาลคนหนึ่งวิ่งเข้ามาถามว่าแขกที่ถูกขโมยของยังอยู่หรือไม่
เถ้าแก่รีบบอกว่าออกไปจากเมืองแต่เช้าแล้ว
เ้าหน้าที่ศาลผู้นั้นหน้าง้ำทันควัน
เถ้าแก่รีบถามว่าเกิดอะไรขึ้น
เ้าหน้าที่ศาลเล่าว่าหัวขโมยที่จับเข้าคุกไปเมื่อวานถูกคนตัดมือขวา่คืนที่ผ่านมา เืเจิ่งนองเต็มพื้น
เถ้าแก่ใจนหน้าซีดเผือด ถามปากคอสั่น หัวขโมยตายแล้วหรือ
เ้าหน้าที่ส่ายหน้า ช่วยชีวิตไว้ได้แต่ก็พิการแล้ว
ไม่ถึงกับชีวิตก็ยังดี เถ้าแก่ตบๆ อก
หัวขโมยถูกควบคุมตัวอยู่ เื่ถูกตัดมือตัดเท้าไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่ไม่น่าเวทนาสักนิด เงินทองของใครก็ไม่ใช่เสกขึ้นมาได้เฉยๆ คนที่คิดแต่จะฉกฉวยโดยไม่ยอมเหนื่อยยาก ย่อมถูกผู้คนแค้นเคือง
แต่จะเป็ใครทำกันเล่า?
แววตาเ็าคู่นั้นผุดวาบขึ้นมาในสมองของเถ้าแก่
ร่างกายสั่นสะท้านขึ้นมาทันที
เป็คนใหญ่คนโตที่ไม่อาจล่วงเกินได้จริงๆ เสียด้วย
รถม้าปอนๆ ที่แสนจะไม่สะดุดตา ตะบึงไปบนถนนไม่ช้าไม่เร็วเกินไป
สารถีบังคับรถสวมหมวกไม้ไผ่ สะบัดแส้ในมือเบาๆ อาชาก็วิ่งไปข้างหน้าเสียงดังกุบกับ
"ท่านบังคับรถเป็ด้วย?"
เซวียเสี่ยวหรั่นนั่งอยู่ด้านหลังของเหลียนเซวียนมองเขาบังคับม้าผ่านม่านไม้ไผ่บางๆ
"บังคับรถม้ายากตรงไหน คนที่ขี่ม้าเป็ส่วนใหญ่ก็บังคับรถม้าได้ทั้งนั้น" เหลียนเซวียนกดหมวกลง มุมปากยกขึ้นน้อยๆ
อากาศร้อนอบอ้าว ด้านนอกของประตูรถม้าคันนี้แขวนม่านไม้ไผ่ เซวียเสี่ยวหรั่นเปิดประตูออกให้ลมโกรกเข้ามาขณะรถเคลื่อนไปข้างหน้า
ภายในรถจึงเย็นสบายขึ้นมาก
"ม่านไม้ไผ่นี่เย็นสบายดีจัง เหตุใดรถม้าของพวกท่านถึงไม่ติดม่านไม้ไผ่เล่า?" เซวียเสี่ยวหรั่นลูกม่านไม้ไผ่บางๆ
"ตอนซื้อรถม้าเป็่ก่อนฤดูร้อน" เหลียนเซวียนใช้เสียงเบาคุยกับนาง
"กลับไปครานี้จะให้คนติดบ้างเถอะ พอเปิดประตูแล้ว ในรถม้าจะได้เย็นสบาย" เซวียเสี่ยวหรั่นเสนอความคิด
"ได้" เหลียนเซวียนพยักหน้าน้อยๆ
รถม้ายังรักษาระดับไม่ช้าไม่เร็วอยู่เช่นเดิม
