เหยียนอู๋อวี้ค้นพบว่าเขาใจกล้าขึ้นเรื่อยๆ ในใจอยากรู้ว่าเขาพึ่งพาสิ่งใดถึงได้ไม่เกรงกลัวเช่นนี้ ทว่าก็ยากที่จะถามให้เข้าใจ ในเมื่อเขา้าที่อยู่ของมือสังหาร เหยียนอู๋อวี้ก็จะไม่ปิดบัง นางจึงเล่าทุกอย่างที่โจวหลู่ชิงบอกกับตนเอง ทว่าในใจรู้สึกกระวนกระวายนิดหน่อยจึงกำชับว่า “ชิงลงมือก่อนย่อมเป็เื่ดี ทว่าอย่าได้ประมาท พาคนไปด้วย ทางที่ดีเมื่อพบหน้าให้ลงมือทันที อย่าให้อีกฝ่ายมีโอกาสพักหายใจ”
“ท่านวางใจ ข้าจะดูแลตนเองให้ดี” จวินอู๋เสียมองนางที่แสดงสีหน้าเป็กังวลของนาง ในใจเขารู้สึกอบอุ่น หลังจากรับประกันว่าจะระมัดระวังจึงพูดอีกว่า “ครั้งก่อนที่ท่านตามหาข้า ข้ารู้หมด เพียงแค่ตอนนั้นไม่ได้อยู่ในวังหลวง มิอาจกลับไปได้ทันเวลา ภายหลังจะไม่เกิดเื่แบบนี้ขึ้นอีก อย่างมากข้าจะปรากฏตัวเบื้องหน้าท่านในเวลาหนึ่งก้านธูป”
เหยียนอู๋อวี้โบกไม้โบกมือไม่ถือสา “องค์ชายจวินกล่าวเกินไปแล้ว นี่เป็เื่เล็กน้อย บางครั้งก็หลีกเลี่ยงได้ยาก”
จวินอู๋เสียรู้สึกผิดหวังในใจเล็กน้อย ทว่าไม่ได้แสดงออกมา เขาเพียงแค่แสดงท่าทีผ่อนคลายในตอนแรก “ขอบใจเหยียนฉายเหรินที่ใส่ใจ”
เมื่อไม่มีเื่อื่นอีกทั้งสองจึงแยกกัน
เื่สวนในวังหลวงวันนี้นับว่าเป็การเดินทางที่คุ้มค่า นึกไม่ถึงว่าองค์หญิงใหญ่อยากจะบีบให้ฮ่องเต้สละราชบัลลังก์จริงๆ ดูท่าแล้วไทเฮาคงบีบบังคับนางมากเกินไป ทว่าเพราะเป็เช่นนี้จึงได้เห็นความแข็งแกร่งขององค์หญิงใหญ่ อำนาจของราชสำนักไม่เคยมั่นคง องค์หญิงใหญ่เป็กังวลเช่นนี้เพราะกลัวว่าพวกลูกสมุนจะมีความคิดเป็อื่น เหยียนอู๋อวี้รู้สึกว่าตนเองต้องใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้กวนน้ำให้ขุ่นมากกว่าเดิม ไทเฮา้าปิดแผ่นฟ้าด้วยฝ่ามือเดียว ซ่งอี้เฉิน้ายึดอำนาจ หากองค์หญิงใหญ่สูญเสียอำนาจ ซ่งอี้เฉินต้องคิดหาวิธีกลืนกินอำนาจในส่วนขององค์หญิงใหญ่แน่นอน สิ่งเหล่านี้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้
เมื่อคิดถึงเื่พวกนี้ เหยียนอู๋อวี้พลันนึกเื่บางอย่างออกทันที
องค์หญิงใหญ่้าบุกวังหลวง นางต้องคิดหาวิธีควบคุมองครักษ์รักษาพระองค์แน่นอน ถึงขั้นเป็ไปได้ว่าองครักษ์รักษาพระองค์ในปัจจุบันอยู่ภายใต้การอำนาจของนางแล้ว
ดังนั้นต้องมีคนหนีไม้พ้นภัยครั้งนี้แน่นอน ซึ่งก็คือหัวหน้าองครักษ์รักษาพระองค์ ฉีตงหยวน
หากไทเฮา้าเก็บกวาดตระกูลฉี นี่เป็โอกาสอันดี
เหยียนอู๋อวี้มีความรู้สึกที่ซับซ้อนต่อตระกูลฉีมาก
ในปีนั้นที่ตระกูลอวิ๋นถูกใส่ร้ายจนตายทั้งตระกูล จ้าวกั๋วเหล่าอาจารย์ของลูกศิษย์ในใต้หล้าถูกโยนเข้าคุกสูญเสียชีวิตไปครึ่งหนึ่งเพราะคัดค้านการกราบทูลรายงานต่อฮ่องเต้ ทว่ามหาบัณฑิตฉีกลับไม่ได้เปล่งเสียงใดออกมา แม้เป็การปกป้องความปลอดภัยของทั้งครอบครัว ทว่า...…
ทว่าปีนั้นที่ตระกูลฉีแสดงจุดยืน ตระกูลฉีจึงถูกอดีตฮ่องเต้ลงโทษนับครั้งไม่ถ้วนเพราะคำพูด ทว่าทุกครั้งเป็บิดาที่ออกหน้าช่วยเหลือและต้านภัยพิบัติให้พวกเขา ตระกูลฉีจึงมีทุกวันนี้ได้ แม้การกระทำของมหาบัณฑิตฉีจะพอให้อภัยได้ ทว่าก็ชวนให้รู้สึกรังเกียจอยู่บ้าง
ต่อมาตระกูลฉีจึงมีช่องว่างกับจ้าวกั๋วเหล่าและเสียชื่อในราชสำนักเพราะเื่นี้ ด้วยเหตุนี้มหาบัณฑิตฉีจึงสั่งให้ฉีตงหยวนยอมรับราชโองการออกทัพจับศึกของไทเฮาเพื่อรากฐานที่มั่นคงของตระกูลฉี กลับไม่คิดเลยว่าจะเป็แผนการของไทเฮาที่เกือบจะทำลายฉีตงหยวน
จนถึงตอนนี้แม้ว่าตระกูลฉีจะมีบุตรชายอยู่ในกองทัพ ทว่ามันไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว
เหยียนอู๋อวี้ไม่คิดจะสนใจตระกูลฉี ทว่านาง้าปกป้องเ้าลิงน้อย
หลังจากที่รู้ว่าฉีตงหยวนถูกไทเฮาวางแผนทำให้มือต้องพิการเพราะทวงความยุติธรรมให้ตระกูลอวิ๋น และหลังจากที่เขาดึงรั้งนางพลางบอกว่าคิดถึงศิษย์พี่หญิงในคืนนั้น มิตรภาพในวัยเยาว์ก็ลุกโชนในใจนางอีกครั้ง
ทว่าจะช่วยอย่างไร?
อำนาจขององค์หญิงใหญ่ไม่อาจหยุดยั้งได้ กำลังของนางเพียงคนเดียวไม่มีทางยับยั้งได้แน่ เช่นนั้นนางจะปกป้องฉีตงหยวนได้อย่างไร?
เหยียนอู๋อวี้รู้สึกอับจนหนทาง
เมื่อนางกลับมาถึงตำหนักเฟิ่งชัย ซูอิ่งรีบเข้ามาต้อนรับ “นายหญิง เต๋อเฟยส่งคนมาแจ้งว่ากลางคืนจะจัดงานเลี้ยงเล็กๆ ให้เห้อเป่าหลินที่เพิ่งเข้ามาในตำหนัก งานจัดอยู่ที่สวนในวังหลวงเ้าค่ะ”
เมื่อครู่เพิ่งจากมา ตอนเย็นก็ต้องไปอีก เหยียนอู๋อวี้กลับไม่รู้สึกประหลาดใจต่อสิ่งนี้เลย เมื่อวานเห้อเสี่ยวซือถูกยกเข้าไปในตำหนักด้านข้างของตำหนักเยถิงของเต๋อเฟย แม้ซ่งอี้เฉินไม่ได้โปรดปรานเพราะเื่อาลักษณ์อู๋ ทว่ากลับกำหนดลำดับขั้นเพื่อให้เกียรติไทเฮา
ลองนึกดูว่าั้แ่นางเข้าวังหลวง ไหนเลยจะมีการปฏิบัติเช่นนี้ หากบอกว่าก่อนหน้าเป็เพราะเต๋อเฟยไม่ได้คุมตำหนักหลัง ทว่าต่อมาเซียวเป่าหลินก็ไม่ได้รับการปฏิบัติที่พิเศษเช่นนี้เหมือนกัน
เมื่อนึกถึงเห้อเสี่ยวซือ เหยียนอู๋อวี้พลันนึกถึงเหตุการณ์ที่สวนวังหลวงในวันนั้น ท่าทางน่ารักไร้เดียงสาของเ้าลิงน้อยก็ค่อยๆ ปรากฏชัดเจนขึ้นมา แม้ตระกูลเหยียนกับตระกูลฉีไม่ลงรอยกัน ทว่ามหาบัณฑิตฉีอาจไม่ได้คัดค้านเื่การแต่งงานในครั้งนี้ อย่างไรแล้วก็เป็โอกาสอันดีในการประจบประแจงไทเฮา
กลับไม่คาดคิดเลยว่าไทเฮาจะพานางเข้าวังหลวง
เหยียนอู๋อวี้รู้สึกเสียดายเล็กน้อย ทว่าก็ทำได้เพียงเสียดายเท่านั้น
ระหว่างทางเดินไปสวนในวังหลวงนางได้พบกับเซียวเป่าหลิน เมื่อเซียวเป่าหลินเห็นนางจึงรีบคำนับ จากนั้นก็ถอยหลังหนึ่งก้าวแล้วเดินตามหลังนางไป
เหยียนอู๋อวี้เอ่ยปากถาม “น้องหญิงน่าจะเคยเจอเห้อเป่าหลินแล้วใช่หรือไม่?”
เซียวเป่าหลินตอบกลับ “ก่อนหน้าเคยเจอที่งานเลี้ยงร้อยบุปผา ดูดีกว่าคุณหนูเหยียนมาก แต่ไม่เคยไปมาหาสู่กันเวลาอยู่ในเรือนเพคะ”
เหยียนอู๋อวี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ดูแล้วมีท่าทางน่ารักไร้เดียงสา”
เซียวเป่าหลินถอนหายใจ “เพียงแต่ไม่รู้ว่านางจะปรับตัวกับชีวิตในตำหนักได้หรือไม่เพคะ”
เหยียนอู๋อวี้เงยศีรษะมองไปข้างหน้าพลางกล่าวเสียงราบเรียบ “ไม่ว่าปรับตัวได้หรือไม่ นางก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ไปตลอด นางดีกว่าเ้ากับข้ามาก เพราะมีไทเฮาให้พึ่งพิง”
เซียวเป่าหลินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดเสียงเบา “ท้ายที่สุดแล้วนางก็มีความเกี่ยวดองกับไทเฮา เต๋อเฟยย่อมมีกฎเกณฑ์แน่นอนเพคะ”
ใช่แล้ว แต่ไหนแต่ไรมาในตำหนักไม่มีดีโดยไร้เหตุไร้ผล ต่อให้เซียวเป่าหลินยืนเคียงข้างนาง ทว่าก็เป็เพราะความสัมพันธ์ละเอียดอ่อนระหว่างนางกับตระกูลเซียว เต๋อเฟยสามารถไต่จากนางกำนัลเป็พระสนมได้ไม่ใช่เพียงเพราะนางถือศีลกินเจกระมัง
ระหว่างที่ทั้งสองสนทนากันก็เห็นเสลี่ยงคันหนึ่งเคลื่อนมาจากระยะไกล เมื่อมองอย่างละเอียดแล้วเซียวเป่าหลินจึงกล่าวว่า “เหลียงเจาอี๋มาเร็วมากเพคะ”
เหลียงเจาอี๋เป็ผู้าุโในวังหลวง แม้จะไม่าุโเท่าเต๋อเฟย ทว่าก็พอๆ กับฮวารั่วซี
เพราะนางเกิดจากนางกำนัลจึงมีนิสัยสงบเสงี่ยมและชอบเย็บปักถักร้อย ในยามปกติส่วนใหญ่นางจะอยู่แต่ในตำหนักตนเองและจะปรากฏตัวเพียงแค่ตอนที่ต้องไปถวายพระพรที่ตำหนักอี้คุน ซ่งอี้เฉินจำนางได้ เพราะเป็เพียงแค่ความโปรดปรานเดือนละครั้งเท่านั้นเอง
ทว่าเหลียงเจาอี๋ผู้นี้มีนิสัยไม่ชอบวิวาทและปกติมักหมกมุ่นอยู่กับคนงานหญิงจึงทำให้ซ่งอี้เฉินเพิ่มพื้นที่เอาใจใส่อีกหนึ่งแห่ง และเพราะความสงบเสงี่ยมนี้เองที่ทำให้นางก้าวจากตำแหน่งอวี้หนวี่ขึ้นไปยังตำแหน่งเจาอี๋ทีละขั้น
ไม่มีผู้ใดรู้สึกว่าถูกนางคุกคาม ทุกครั้งที่รวมตัว นางแทบไม่เคยเปล่งเสียงออกมา ไม่มีผู้ใดค้นพบการมีอยู่ของนาง
วันนี้ก็เป็เช่นนั้น
เหยียนอู๋อวี้เดินเข้าไปใกล้เซียวเป่าหลินเล็กน้อย จึงเห็นว่าในมือนางกำนัลที่ติดตามเหลียงเจาอี๋กำลังถือตะกร้าใบเล็ก ซึ่ง้ามีงานเย็บปักถักร้อยและเป็งานที่ปักไปได้ครึ่งหนึ่ง
เมื่อเหลียงเจาอี๋เห็นพวกนางก็รีบให้คนวางเสลี่ยงลงทันที จากนั้นก็เดินเคียงข้างไปกับพวกนางและเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “่นี้น้องหญิงทั้งสองอยากได้ผ้าเช็ดหน้าผืนใหม่หรือไม่? ข้าเพิ่งปักเสร็จไปสองผืน อย่าได้รังเกียจเลย”
นางพูดพลางรับผ้าเช็ดหน้าสองผืนจากมือนางกำนัลอีกคนหนึ่งมาให้เหยียนอู๋อวี้กับเซียวเป่าหลิน
เหยียนอู๋อวี้ก้มศีรษะมองแวบหนึ่ง ผืนที่นางให้ตนเองเป็ดอกโบตั๋นที่มีกลีบสีชมพูงดงามจนน่าประทับใจ จากนั้นก็มองของเซียวเป่าหลินที่เป็ดอกท้อ
เหลียงเจาอี๋พูดพลางแย้มยิ้ม “น้องหญิงเหยียนงดงามไร้ที่เปรียบย่อมคู่ควรกับดอกไม้เช่นนี้” จากนั้นนางก็พูดกับเซียวเป่าหลิน “ได้ยินมาว่าน้องหญิงเซียวมีนามว่าหรูเสวี่ย ข้านึกถึงกลอนบทหนึ่งที่ว่า รู้แต่ไกลมิใช่หิมะพราว กรุ่นกลิ่นหอมบุปผาพัดโชยมา หรูเสวี่ยมิใช่หิมะ ทว่าเป็ดอกท้อล้อเหมันต์กระมัง?”