“แน่นอนว่าไม่ใช่ เ้าถูกโบยจนเป็เช่นนั้นแล้ว แม่จะกล้ามีความคิดนี้อีกได้อย่างไร” ความคิดของหวังซู่เหนียงนั้น้าให้บุตรสาวแต่งเข้าตระกูลขุนนางเชื้อพระวงศ์ ทว่าก็รักบุตรสาวจากก้นบึ้งของหัวใจ จิตมุ่งหวังที่มีต่อองค์ชายห้านั้นย่อมไม่กล้าคิดอีกเด็ดขาด
สีหน้าของกู้เจิงผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย
“แต่คราวนี้องค์ชายห้ามาพร้อมกับที่ปรึกษา เมื่อครู่ตอนแม่ผ่านประตูฉุยฮวาเห็นเข้าั้แ่ไกลๆ ช่างเป็บุรุษรูปงามมากความสามารถจริงๆ”
หัวใจที่เพิ่งปล่อยวางของกู้เจิงถูกยกขึ้นมาอีกครั้ง “ซู่เหนียง ท่านหมายความว่าอย่างไรเ้าคะ?”
“เด็กดี ไม่ใช่ว่าเ้าไม่อยากเป็อนุหรอกหรือ? แม่ให้คนไปสืบแล้วว่าที่ปรึกษาผู้นั้นมีภรรยาหรือไม่ ถ้าไม่มีก็จะให้ท่านพ่อเ้าไปเป็พ่อสื่อให้ แม่จะบอกเ้าให้ องค์ชายห้าแม้จะมาจวนเราก็ยังต้องพาที่ปรึกษาผู้นั้นมาด้วย จะต้องให้ความสำคัญกับคนผู้นั้นอย่างยิ่งแน่ หากวันหนึ่งองค์ชายห้าได้อำนาจ ภายหน้าคนผู้นั้นคงได้ไต่เต้าขึ้นตำแหน่งรุ่งโรจน์เป็แน่แท้”
หัวใจกู้เจิงเหนื่อยล้า แม่ของนางช่างหัวดื้อเสียจริง ในเมื่อคนผู้นั้นเป็ที่ปรึกษาขององค์ชายห้า เช่นนั้นจะไม่รู้เื่โง่งมที่หวังซู่เหนียงกับนางทำได้อย่างไร หากรู้เื่นี้แล้วยัง้าแต่งกับนาง เขามีเื่ให้คิดไม่ตกไม่พอหรือ? ยิ่งไปกว่านั้น เหตุใดจะต้องเป็คนขององค์ชายห้าด้วย?
เมื่อกู้เจิงกำลังจะอธิบายเหตุผล ผู้ใดจะรู้ว่าหวังซู่เหนียงจะถลึงตาใส่นาง “ที่แม่พูดเมื่อครู่เ้าไม่ได้ฟังหรือ? ต่อไปองค์ชายห้าจะต้องมีอนาคตที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่ติดตามเขาก็ย่อมมีอนาคตไกล ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องลองสักหน่อย เจิงเอ๋อร์ แม่ให้กำเนิดเ้าออกมางดงามเพียงนี้ เหตุใดเ้าจึงไม่มีความมั่นใจในตัวเองสักนิดเลยเล่า?”
กู้เจิง “...” เื่นี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับองค์ชายห้าและที่ปรึกษาอะไรนั่น ทั้งยิ่งไม่เกี่ยวข้องกับที่นางจะงามหรือไม่งาม
หลังกลับเรือนเล็ก กู้เจิงก็นำเอาเื่ที่หวังซู่เหนียงพูดกับนางเมื่อครู่สลัดทิ้งไป เดิมทีเื่ที่ยังไม่เกิดขึ้นนางก็ไม่อยากใช้สมองไปคิดมากนัก
หลังจากให้ชุนหงหาปากกาและกระดาษให้นาง กู้เจิงก็กระโจนเข้าไปในห้องของตนเอง
แน่นอนว่านางไม่สามารถรอคอยแต่งงานกับผู้อื่นได้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องครุ่นคิดหาทางออกเสียหน่อย จึงได้เขียนวิธีทั้งหมดที่คิดออกใน่รักษาาแลงบนกระดาษและขีดฆ่าวิธีที่ไม่น่าได้ผลทิ้งทีละข้อ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จนกระทั่งปวดเมื่อยที่ไหล่ กู้เจิงถึงได้รู้สึกตัวว่าตนเองนั่งมาตลอด่บ่ายแล้วและสิบกว่าวิธีที่คิดออกก็ขีดทิ้งไม่มีเหลือไว้สักวิธี
ตกเย็น
หวังซู่เหนียงกับชุนหงมองไปยังกู้เจิงที่กำลังกินข้าวไปด้วยครุ่นคิดไปด้วย
“เจิงเอ๋อร์ เ้าไม่เป็อะไรใช่หรือไม่?” หวังซู่เหนียงรู้สึกว่าั้แ่บุตรสาวตนทนรับยี่สิบไม้นั้น อุปนิสัยก็เปลี่ยนไปมาก ไม่ใช่จะบอกว่าไม่ดี แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดในใจมักจะเป็ทุกข์อย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
“ข้าไม่เป็ไรเ้าค่ะ” เมื่อััได้ถึงความห่วงใยอันบริสุทธิ์ของหวังซู่เหนียงกับชุนหง ในใจก็รู้สึกอบอุ่น แม้ไม่กี่วันมานี้จะไร้ทางออกทั้งสมาชิกร่วมทีมอย่างหวังซู่เหนียงจะมีแผนการซ่อนอยู่ แต่หากบนโลกที่ไม่คุ้นเคยนี้มีคนคอยห่วงใยนางก็นับว่ามีความสุขมากนัก จากนั้นจึงได้คีบเนื้อชิ้นหนึ่งวางในชามให้หวังซู่เหนียง “ซู่เหนียง กินเนื้อหน่อยเ้าค่ะ”
ชั่วพริบตาหวังซู่เหนียงก็เผยรอยยิ้มงามดุจบุปผาและกินเนื้อชิ้นนั้นอย่างมีความสุข
เข้าสู่่ฤดูใบไม้ผลิ มวลอากาศค่อยๆ ผกผันเป็หนาวเย็น
ขณะที่กู้เจิงกำลังคิดว่าจะไปพบน้องสองหรือก็คือบุตรชายคนโตของภรรยาเอกกู้เจิ้งชินดีหรือไม่ อย่างไรเสียจวนกู้ก็มีเพียงบิดาและน้องสองของนางผู้นี้ที่มีห้องหนังสือ ซู่เหนียงก็นำประโปรงจีบสีชมพูตัวหนึ่งมา
“เจิงเอ๋อร์ รีบเปลี่ยนกระโปรงเร็วเข้า” ซู่เหนียงเดินมาอย่างมีความสุข
“ซู่เหนียง นี่เป็กระโปรงใหม่ที่ทำให้ข้าหรือเ้าคะ?” กู้เจิงหยิบกระโปรงมาพิศดูก็อดยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ “วัสดุผ้านี้บางเบา สวมใส่่ฤดูร้อนถึงจะดี ตอนนี้ใกล้เข้าปลายฤดูใบไม้ผลิ คงจะหนาวสักหน่อยกระมัง”
“ด้านนอกสวมเสื้อคลุมทับอีกทีก็น่าจะได้แล้ว แม่เตรียมให้เ้าไว้เรียบร้อย รีบสวมเถิด” หวังซู่เหนียงดันบุตรสาวไปข้างหลังฉากกั้น และให้ชุนหงไปที่ตู้เพื่อเลือกเสื้อคลุมที่เหมาะกับกระโปรงตัวนี้
“พวกเราต้องออกไปด้วยหรือเ้าคะ?” กู้เจิงที่อยู่ด้านหลังฉากกั้นถามขณะเปลี่ยนชุดไปด้วย
“อีกสักครู่เ้าก็จะรู้เอง”
หลังใส่กระโปรงใหม่แล้ว กู้เจิงรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย ขนาดตัวของนางนั้นซู่เหนียงรู้อย่างชัดแจ้ง ทว่ากระโปรงตัวนี้อาจจะแน่นไปเสียหน่อย หากพรรณนารูปร่างของนางคร่าวๆ แล้ว ถึงร่างนี้จะมีอายุเพียงสิบหกปี แต่สัดส่วนอันมีเสน่ห์กลับไม่ได้ดูเด็กเท่าอายุ
“คุณหนูใหญ่งดงามจริงๆ เ้าค่ะ” ชุนหงตกตะลึงยามเห็นกู้เจิงออกมา
หวังซู่เหนียงนำกระจกทองเหลืองมาให้บุตรีส่องดู กล่าวอย่างมีความสุขว่า “เจิงเอ๋อร์ของข้าช่างเป็โฉมงามอย่างที่ไม่อาจเทียบได้เสียจริง”
กู้เจิงมองตนเองในกระจก เดิมทีนางก็งดงามอยู่แล้ว ผิวขาวอ่อนนุ่มเกลี้ยงเกลา เมื่ออยู่ในชุดสีชมพูก็ดูประหนึ่งเกสรบุษบันในต้นวสันตฤดูที่เพิ่งผลิดอก ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก
“ซู่เหนียง สวมเช่นนี้ไม่เหมาะสมกระมังเ้าคะ?” กู้เจิงมีความทรงจำถึงกู้เจิงคนเก่าว่าไม่เคยสวมใส่ชุดสีสันสวยงามเพริศแพร้วมาก่อนแต่ไม่รู้เหตุใดวันนี้ซู่เหนียงถึงต้องให้นางสวมชุดเช่นนี้
“ผู้ใดว่าไม่เหมาะสม? ขอแค่ชุดนั้นสามารถทำให้เจิงเอ๋อร์ของข้างดงามได้ก็ล้วนเหมาะสมทั้งสิ้น” หวังซู่เหนียงเอ่ยพร้อมกับให้ชุนหงนำเสื้อคลุมสีขาวคลุมทับให้กู้เจิง สีนี้นับว่าเข้ากันยิ่งนัก กระโปรงสีชมพูในเสื้อคลุมสีขาว ดูงามสง่าไม่รู้ตั้งกี่ส่วน
“ข้างนอกอากาศดีเช่นนี้ เราออกไปเดินเล่นกันเถิด หวังซู่เหนียงยิ้มก่อนจูงมือบุตรสาวเดินออกไป”
“ซู่เหนียง ท่านมีเื่อะไรปิดบังข้าอยู่หรือเปล่าเ้าคะ?” กู้เจิงรู้สึกว่ามารดามีบางอย่างผิดปกติ จึงไม่ปล่อยให้จูงเดินอีก
“ดอกเบญจมาศนอกเรือนบานแล้ว แม่เพียงอยากพาเ้าชมดอกไม้” ท่าทีที่หวังซู่เหนียงมีต่อความงามของบุตรสาวนั้นยิ่งมองก็ยิ่งพอใจ นางยิ้มจนตาหยี
“จริงหรือเ้าคะ?”
“จริงสิ หรือแม้แต่แม่ เ้าก็ไม่เชื่อแล้ว?”
จากกระจกสะท้อนของรถคันหน้า[1] ทำให้กู้เจิงไม่ค่อยอยากเชื่อมารดาไร้ค่าผู้นี้มากนักจริงๆ ยามนี้นางกำลังคิดหาลู่ทางที่จะทำให้ตนเองใช้ชีวิตดียิ่งขึ้นได้อย่างไร และนางไม่อยากให้มารดาสร้างเื่วุ่นวายอะไรอีกแล้ว
“เพียงแค่ชมดอกเบญจมาศในบ้านเท่านั้นจริงๆ” หวังซู่เหนียงเปลี่ยนเป็ทำหน้าน่าสงสาร “สภาพเ้าก่อนหน้านี้ ในใจข้าเห็นแล้วปวดร้าวนัก จึงทำชุดใหม่นี้แล้วพาเ้าไปชมดอกเบญจมาศนอกเรือน เพื่อให้อารมณ์เ้าดีขึ้น”
หากอยู่ในจวนป๋อ กู้เจิงก็เบาใจแล้ว นึกถึงเื่ที่นางโดนโบยเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา มารดาก็คงไม่ถึงกับโง่งมจนก่อเื่อีกกระมัง ดังนั้นจึงได้ถูกจูงไป
ทว่ากู้เจิงก็ยังคงระแวงอยู่ อย่างไรเสียเมื่อไม่กี่วันก่อนมารดายังพูดอยู่ว่าจะหาบ้านสามีให้นาง ขอเพียงแค่เห็นว่านอกเรือนมีบุรุษแปลกหน้า นางจะรีบวิ่งกลับก่อนอย่างแน่นอน เพื่อกันไว้ดีกว่าแก้
-------------------------------------------------------------
[1] กระจกสะท้อนของรถคันหน้า เปรียบเปรยว่า ให้ดูรถคันข้างหน้าที่ได้คว่ำไปเป็ข้อคิดเตือนใจรถที่วิ่งตามหลัง หมายถึง ความล้มเหลวของคนรุ่นเก่าย่อมเป็กระจกเงาของคนรุ่นหลังถือเป็บทเรียนอย่าได้ทำซ้ำรอย