ไม่ผิดคาด เฉิงจื่อเหิงและหลิวปู๋ชี่ยินดีเป็อย่างมาก เขามาจับแขนเขาเอ่ยอย่างยินดี “ข้ารอประโยคนี้ของเ้าอยู่นานแล้ว น่าเสียดายเ้าเห็นเสี่ยวหมี่เป็ดังสมบัติล้ำค่า เราสองคนจึงไม่กล้าเอ่ยปาก เกรงว่าจะลำบากน้องหญิงของเ้า”
คนทั้งสามสนทนากันอย่างครื้นเครงระหว่างเดินกลับสำนักศึกษา ถึงแม้ลู่เชียนจะยังกังวลเื่ที่บ้านอยู่ แต่หนึ่งตอนนี้เขาได้ฝากเื่ให้หลี่หลินไปแล้ว สองในใจเขารู้สึกเชื่อใจพี่ใหญ่เฝิงมาก สามหากเขาอยากเป็ที่พึ่งของที่บ้านได้ ก็ต้องตั้งใจเล่าเรียน การสอบฤดูใบไม้ผลิปีหน้าหากราบรื่นได้ตำแหน่ง เช่นนี้คนที่บ้านก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกรังแกและดูถูกอีกแล้ว
ดังนั้น เขาจึงสงบจิตใจลงได้อย่างรวดเร็ว เขาตื่นเช้ามาอ่านตำราอย่างขยันขันแข็ง และมีไหวพริบในการใช้ชีวิตมากขึ้น เื่นี้ทำให้อาจารย์ใหญ่ผู้ชรารู้สึกพอใจยิ่งนัก รู้สึกชอบใจที่สหายเก่าส่งสมบัติล้ำค่าผู้นี้มาให้เขา...
…
ทางด้านพี่รองลู่นั้นกำลังตั้งหน้าตั้งตาหวดแส้ม้ารีบกลับบ้าน เมื่อม้าหิวก็ปล่อยให้มันกินเสบียงแห้งที่นำติดตัวมาด้วย เวลาที่มันกระหายก็แวะให้กินน้ำในแม่น้ำ อาศัยว่าตัวเองยังหนุ่มแน่นอดหลับอดนอนได้ ในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านเขาหมีในวันที่สอง
เรือนหลังใหม่ที่ตีนเขาถูกสร้างเสร็จไปกว่าครึ่งแล้ว ส่วนงานขุดบ่อน้ำก็เหลือแค่เก็บรายละเอียดงานส่วนท้ายเล็กน้อย ในที่นาสามสิบหมู่นั้น เสี่ยวหมี่กำลังถือตะกร้าช่วยกันเก็บมันฝรั่งกับพวกชาวบ้าน
ทางด้านท่านลุงหลิว หลังจากที่พยายามอยู่นานในที่สุดก็สามารถสร้างคันไถได้สำเร็จ
พวกเขาเป็คนช่วยปลูกมันฝรั่งพวกนี้มาั้แ่แรกเริ่ม ยามนี้เมื่อเห็นว่าผลผลิตเป็ที่น่าพอใจก็ดีอกดีใจกันเป็อย่างยิ่ง
ในยามที่ทุกอย่างปกติก็ยังดี แต่หากเป็ในฤดูแล้ง มันฝรั่งแค่ครึ่งหมู่ก็สามารถช่วยชีวิตคนทั้งครอบครัวได้เลยทีเดียว
ดังนั้นคนในหมู่บ้านเห็นผลผลิตครั้งนี้จึงตื่นเต้นกันมาก แม้แต่นายท่านเฝิงที่อายุหกสิบกว่าเข้าไปแล้วก็ยังมาช่วยด้วย
เสี่ยวหมี่เห็นเช่นนี้ จึงชักชวนทุกคนให้กินอาหารด้วยกัน
พี่ใหญ่ลู่เข้าเมืองไปอีกครั้ง ซื้อกระดูกหมูของหมูหนึ่งตัวกลับมา ยามปกติคนขายเนื้อมักจะเลาะกระดูกกับเนื้อแยกกันอย่างชัดเจน แต่สกุลลู่นั้นชอบกระดูกที่มีเนื้อเล็กน้อย นานวันเข้าเขาเองก็เคยชิน
กระดูกหมูที่มีเนื้อติดอยู่ประมาณสองนิ้วแลดูน่ารับประทานทั้งๆ ที่ยังสดอยู่ ท่านป้าหลิวลับมีดคมกริบเตรียมจะหั่นกระดูกหมูเป็ชิ้นๆ
ส่วนด้านข้าง หม้อขนาดใหญ่ถูกใส่น้ำต้มจนเดือดปุดๆ ยามนี้กำลังส่งควันร้อนพวยพุ่ง ครั้นใส่กระดูกหมูพวกนั้นลงไปเพียงไม่นานเนื้อหมูก็เปลี่ยนสี
จากนั้นก็ตักขึ้นมาสะเด็ดน้ำ เช็ดกระทะใบใหญ่ให้สะอาดแล้วเทน้ำตาลลงไปเคี่ยวจนเปลี่ยนสี แล้วจึงใส่กระดูกหมูลงไป ตามด้วยต้นหอม ขิงซอย ซีอิ๊ว เครื่องปรุงรสอื่นๆ ก็ถูกดึงออกมาวางเรียงราย เสร็จทั้งหมดแล้วก็เทน้ำร้อนลงไปและเติมฟืนให้ไฟลุกโหม จากนั้นตุ๋นด้วยไฟอ่อน รอจนกลิ่นหอมกำจายอบอวลไปทั้งเพิงทำอาหาร พวกชุ่ยหลันก็หั่นมันฝรั่งเป็แผ่นใหญ่ๆ เสร็จเต็มสองตะกร้าแล้ว
ชุ่ยหลันมีนิสัยร่าเริง นางช่วยเติมฟืนพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านป้าหลิว เสี่ยวหมี่บอกว่าไข่ดินนี่อร่อย ก็ไม่รู้ว่าอร่อยแบบไหนนะเ้าคะ”
“ข้าเองก็ไม่เคยกิน แต่ว่า เสี่ยวหมี่เดิมเป็คนช่างเลือกกับรสชาติอาหารอยู่แล้ว เ้าไม่เห็นหรือว่าทุกครั้งที่บ้านนางทำอะไรใหม่ๆ กิน จะต้องมีพวกเด็กตะกละวิ่งโร่ไปที่บ้านนาง ข้าจึงเชื่อว่าไข่ดินนี่ก็คงอร่อยเช่นกัน”
“ข้าเองก็คิดเช่นนั้น ไม่ต้องพูดว่ารสชาติดีหรือไม่ ขอแค่กินแล้วไม่ตาย ปีหน้าบ้านข้าก็จะลองปลูกดูสักครึ่งหมู่ ไม่แน่หากเป็ในฤดูแล้ง เ้าของสิ่งนี้คงพอช่วยชีวิตได้”
“นั่นน่ะสิ ข้าเองก็ว่าจะปลูกสักครึ่งหมู่ อีกประเดี๋ยวลองถามเสี่ยวหมี่ว่าจะขายเมล็ดพันธุ์หรือไม่”
“พอเลยพวกเ้าน่ะ” ท่านป้าหลิวถลึงตาใส่สะใภ้พวกนั้นอย่างขบขัน “เก็บความเ้าเล่ห์ของพวกเ้าไปใช้กับสามีที่บ้านโน่น อย่าเอามาใช้กับข้า เสี่ยวหมี่เป็คนใจกว้าง เ้าคิดว่านางจะเก็บเงินค่าเมล็ดพันธุ์ไข่ดินหรืออย่างไร?”
พวกสะใภ้สาวๆ ต่างพากันตกอกใหน้าแดงแล้วเสไปทำงานในมือแก้เขิน
เมื่อคนในนาเสร็จงานแล้วจึงมารวมตัวกันกินข้าวที่เพิงทำอาหาร
นายท่านเฝิง บิดาลู่ เฝิงเจี่ยนนายบ่าว ผู้สูงอายุในหมู่บ้านสองสามคนและพวกช่างฝีมือได้รับสิทธิ์นั่งเก้าอี้ล้อมรอบโต๊ะ คนอื่นๆ ยืนถือถ้วยขนาดเท่าศีรษะเด็กใส่ทั้งกับข้าวทั้งน้ำแกงรวมๆ กัน ในมือก็ถือหมั่นโถวกินอย่างไม่เื่มาก
“ไข่ดินนี่อร่อยจริงๆ ถึงแม้จะเติบโตอยู่ในดิน แต่ยามรับประทานกลับไม่ได้กลิ่นสาบของดินแม้แต่น้อย”
“นั่นน่ะสิ กินแล้วยังอยู่ท้องดีอีกด้วย”
พวกชาวบ้านพากันเอ่ยชมไม่ขาดปาก
นายท่านเฝิงคายกระดูกหมูออกมากล่าวยิ้มๆ ว่า “เ้าพวกโง่ มันอยู่ในน้ำแกงที่ถูกตุ๋นมาอย่างดี จะไม่อร่อยได้หรือ แต่ไข่ดินนี่ก็นับว่าเป็ของดีจริงๆ”
เสี่ยวหมี่เอ่ยขึ้นว่า “คืนนี้ตอนกลับขึ้นเขา พวกท่านก็ถือกลับไปกันคนละตะกร้า เหลือเอาไว้เป็เมล็ดพันธุ์ ปีนี้พวกเราก็คงมีไข่ดินกินกันไม่หวาดไม่ไหวแน่นอนเ้าค่ะ”
ถึงแม้ทุกคนจะมีความคิดเช่นนี้ แต่พอเสี่ยวหมี่เอ่ยปากยกให้จริงๆ ก็พากันปฏิเสธอย่างอายๆ
“ของดีเช่นนี้ จะให้กันง่ายๆ ทีละมากๆ เช่นนี้ได้อย่างไร”
“ทุกท่านก็อย่าได้เกรงใจอีกเลย ข้ามีตั้งเยอะแยะ แบ่งๆ กันไปเถอะเ้าค่ะ” พูดจบเสี่ยวหมี่ก็หันไปหาคนสกุลจงและพวกช่างฝีมือที่มาสร้างบ้าน “พวกท่านเองก็ไม่ต้องเกรงใจ รอจนงานเสร็จแล้วก็ถือกลับบ้านไปสักตะกร้า ถือเสียว่าเป็น้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากพวกเรานะเ้าคะ”
“หา จริงหรือขอรับ พวกเราละอายใจยิ่งนัก” เดิมทีพวกเขาได้ยินเสี่ยวหมี่พูดกับพวกชาวบ้านก็นึกอิจฉา ยามนี้เมื่อได้ยินว่าพวกตนก็ได้เหมือนกัน ก็พากันดีใจจนออกนอกหน้า ปากเอ่ยปฏิเสธแต่แววตากลับเจิดจ้าสดใส ยิ้มกว้าง จากนั้นก็เปลี่ยนมาเอ่ยขอบคุณทุกคนแทน “หุบเขาหมีช่างเป็สถานที่พิเศษจริงๆ ถึงให้กำเนิดเทพธิดาโชคลาภเช่นนี้ออกมาได้”
พวกชาวบ้านแน่นอนว่าชอบฟังวาจาเช่นนี้ แต่เมื่อนึกถึงตู้โหย่วไฉคนนั้นขึ้นมาจิตใจก็กลับมาหนักอึ้งอีกครั้ง
เฝิงเจี่ยนมองมาทางเสี่ยวหมี่ ถึงแม้จะมีชาวบ้านมากมายคั่นกลางอยู่ระหว่างพวกเขา แต่เสี่ยวหมี่ก็เห็นแววตาของเขาที่มองมาได้อย่างชัดเจน สายตาที่มั่นคงและมั่นอกมั่นใจ ความกังวลใจของนางจึงบินหายไปอย่างรวดเร็ว
แค่มีเขาอยู่ก็ไม่ต้องกลัวว่าฟ้าจะถล่มลงมา หรือกลัวว่าเล่ห์เหลี่ยมใดจะมาล้มพวกเขาได้...
“ข้ากลับมาแล้ว หิวจะตายแล้ว ตักข้าวให้ข้าหน่อย”
ทุกคนกินกันไปได้ครึ่งหนึ่ง พี่รองลู่ก็ขี่ม้าเข้ามา ทำให้ฝุ่นฟุ้งตลบจนเกือบพัดมาถึงโต๊ะอาหาร แต่ก็ไม่มีใครเอ่ยบ่นเขา
สองสามวันมานี้พวกเขารู้ดีว่าพี่รองลู่ออกไปตามหาคนมาช่วย จึงร้อนใจอยากรู้ผลลัพธ์ อย่างไรเสียเื่นี้ก็เกี่ยวพันถึงการอยู่รอดของคนทั้งหุบเขาหมี จึงไม่มีเวลามาสนใจว่าอาหารของพวกเขาจะถูกฝุ่นกลบหรือไม่
“เ้ารองกลับมาแล้ว เป็อย่างไรบ้าง”
“ใช่แล้ว ใต้เท้าอะไรนั่นรับคำร้องเรียนของเราหรือไม่”
“เ้าสามเล่า? กลับมาด้วยกันหรือไม่?”
พี่รองลู่ดันทุกคนออกไป เขาเข้าไปยกกาน้ำชาบนโต๊ะขึ้นกรอกปาก จากนั้นก็หยิบหมั่นโถวขึ้นมากัดอย่างรีบร้อน ตอนที่คิดจะหยิบเพิ่มนั้นเกาเหรินก็กลอกตารีบเข้ามาปกป้องอาหารไว้ทันที
พี่รองลู่ยกมือขึ้นเตรียมจะแย่งชิงกับเขาด้วยความเคยชิน กลับถูกบิดาลู่ใช้ตะเกียบเคาะศีรษะเข้าให้ “รู้จักแต่กิน ไม่เห็นหรือว่าทุกคนรอคำตอบของเ้าอยู่”
“ฮือ ท่านพ่อ ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว ไม่ได้กินไม่ได้นอนมาสองวันแล้ว”
พี่รองลู่ย่นคอ กลืนหมั่นโถวลงไปอย่างยากลำบากด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจ
ลู่เสี่ยวหมี่สงสารพี่ชายของตนเองจึงกล่าวกับทุกคนว่า “อย่างไรพี่รองข้าก็กลับมาแล้ว ยังมีเวลาพูดคุยกันอีกมาก ทุกท่านกินข้าวกันให้เสร็จก่อนเถอะเ้าค่ะ เสร็จแล้วค่อยว่ากัน”
ทุกคนต่างเห็นด้วย จึงก้มหน้าก้มตากินอาหารต่อไป
เสี่ยวหมี่ตัดแบ่งกระดูกหมูออกมาสองชามใหญ่ ชามหนึ่งให้พี่รองลู่ อีกชามหนึ่งให้เฝิงเจี่ยน
เฝิงเจี่ยนยกยิ้มอย่างอารมณ์ดี ถึงแม้เกาเหรินจะแอบขโมยกระดูกหมูไปสองชิ้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะโมโห
เพียงไม่นานทุกคนก็กินเสร็จ พี่รองลู่เองก็อิ่มแปล้จนเรอออกมา เขาจึงได้เล่าเื่ที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟัง เสร็จแล้วยังกลัวว่าทุกคนจะลืมผลงานของเขา จึงรีบเสริมว่า “ข้ายกถั่วลิสงเคลือบน้ำตาลให้เด็กรับใช้ของใต้เท้าหลี่นั่นกินทั้งหมด เขาจึงสัญญากับข้าว่าจะช่วยพูดให้ด้วยอีกแรง”
เสี่ยวหมี่ได้ยินก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก กลัวว่าบิดาจะดุเขาอีก จึงรีบไล่เขา “พี่รอง ท่านรีบกลับบ้านไปอาบน้ำนอนพักผ่อนเถอะ” จากนั้นก็ดันเขาออกไปจากกลุ่มคนพลางกำชับเสียงเบาไปด้วยว่า “ใต้เท้าหลี่คนนี้ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วเป็คนเช่นไร ท่านจับตาดูเสี่ยวเอ๋อไว้ให้ดีอย่าให้นางออกไปไหน เื่ของบ้านนางไม่เหมือนกับเรา หากไม่ระวังให้ดีอาจจะเป็การทำลายทุกคนไปด้วยก็เป็ได้”
“ข้ารู้แล้ว เ้าวางใจ”
พี่รองลู่ตบอกรับคำเป็มั่นเป็เหมาะแล้วจึงเดินขึ้นเขาไป โดยที่ความเร็วไม่ต่างกับขี่ม้าเลย
เสี่ยวหมี่เพิ่งนึกขึ้นได้ นางลืมถามเสียแล้วว่าม้านี่มาจากไหน แต่เื่เล็กเช่นนั้นยามนี้ก็ไม่สำคัญแล้ว
เมื่อทุกคนในหมู่บ้านได้ยินว่ารอขุนนางใหญ่มาสืบคดีนี้ เสร็จแล้วปัญหาก็จะคลี่คลาย ก็พากันยินดีไม่น้อย
ดังนั้นตอนบ่ายเมื่อเริ่มงานอีกครั้งจึงมีเรี่ยวแรงเพิ่มมากขึ้น
ปล่อยให้มั่นฝรั่งตากแดดนานเกินไปไม่ดี จะส่งผลต่อรสชาติของมัน เสี่ยวหมี่และพวกชาวบ้านจึงช่วยกันเอามันฝรั่งพวกนี้ไปเก็บไว้ในหลุมดินถนอมอาหารที่ขุดไว้เมื่อสองสามวันก่อน อย่างไรเสีย่นี้นางก็ไม่ขาดหิน จึงเอาหินมาปูเป็ขั้นบันไดลงไปเสียเลย เช่นนี้ก็ขึ้นลงสะดวกแล้ว
เฝิงเจี่ยนเปลี่ยนเป็อาภรณ์เก่าๆ ช่วยทุกคนแบกกระสอบมันฝรั่งลงไปเก็บเช่นกัน เสี่ยวหมี่คิดจะห้ามเขาแต่ก็ไม่รู้จะเอ่ยปากอย่างไร จึงเอาแต่จับตามองเขาขึ้นลงไม่วางตา
เสี่ยวเตาปะปนอยู่ในฝูงคน สีหน้ายิ่งมืดหม่นลงเรื่อยๆ สุดท้ายจึงโยนกระสอบทิ้ง เปลี่ยนไปทำงานในนาแทน
ทางด้านคนในหมู่บ้านเขาหมีเริ่มเก็บเกี่ยวมันฝรั่งกันอย่างแข็งขัน ส่วนทางหลี่หลินนายบ่าวเองก็มาถึงเมืองเป่ยอันเป็ที่เรียบร้อยแล้ว พวกเขาตกรางวัลเด็กรับใช้ในโรงน้ำชาเป็เงินหนึ่งเหรียญทองแดง ก็ได้ฟังเื่ราวน้อยใหญ่ที่เกิดขึ้นที่นี่ไม่ขาดตกแม้แต่เื่เดียว
แน่นอนว่าเื่ที่หลานชายท่านที่ปรึกษาคิดจะแย่งที่ดินคดโกงผู้อื่น สุดท้ายถูกสัตว์ประหลาดบนเขาโจมตีจนเกือบตายก็ถูกเล่าออกมาด้วยเช่นกัน
เสร็จแล้วเขาก็ยังอดทอดถอนใจไม่ได้ “ถึงแม้จะบอกว่าคนบนหมู่บ้านเขาหมีดูจะป่าเถื่อนไปสักหน่อย แต่หลายปีมานี้ก็ไม่เคยได้ยินว่าพวกเขารังแกใคร ยามนี้จู่ๆ ก็มีสกุลลู่ช่วยฉุดดึงจึงมีชีวิตความเป็อยู่ที่ดีขึ้น กลับโชคร้ายมาเจอเื่นี้เข้า เอ่ยปากทีก็เรียกราคาเป็หมื่นตำลึง แล้วยังคิดจะเอาแม่นางลู่ไปเป็อนุอีก เรียกได้ว่า...เฮ้อ น่ากลัวว่าคนบนหมู่บ้านเขาหมีจะถูกรังแกถึงชีวิตเสียแล้วกระมัง”
หลี่หลินเพียงแค่ยิ้มไม่พูดอะไร หากว่าคนหมู่บ้านเขาหมีอ่อนแอถูกรังแกได้ง่ายๆ แบบที่เขาว่าจริงๆ ในอกเสื้อเขาจะมีกระดาษเขียนคำร้องสอดอยู่ได้อย่างไร?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้