อวิ๋นจื่อจดจ่ออยู่กับกู่ฉิน ส่วนสาวใช้ทั้งสองก็ถูกดึงดูดโดยเพลงอันแสนไพเราะจนไม่ได้สังเกตว่ามีคนเดินเข้ามา
อวิ๋นจื่อเงยหน้าขึ้นด้วยความตื่นตระหนก นางมองเห็นชายที่ดูสูงศักดิ์ในชุดคลุมสีม่วง
ชายผู้นั้นมีรูปร่างผอมบาง เขากล่าวด้วยท่าทีเฉยเมยว่า “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าตัวข้าซึ่งอยู่ในวัยชราแล้วจะได้ยินเพลงนี้อีกครั้ง ถึงแม้ข้าจะไม่รู้ว่าเ้าเป็ใครและรู้จักอวิ๋นเซียวได้อย่างไรก็เถอะ”
อวิ๋นจื่อส่ายหัว “ผู้น้อยไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดถึงใคร นี่เป็เพียงเพลงที่ข้าได้ยินจากในชนบท หากท่านสนใจก็สามารถฟังข้าเล่นเพลงอื่นได้”
ขณะที่อวิ๋นจื่อกล่าว นางก็เล่นกู่ฉินอีกครั้ง
“กระแสน้ำของแม่น้ำฤดูใบไม้ผลิเชื่อมต่อกับทะเลกว้าง ดวงจันทร์ขึ้นพร้อมกับกระแสน้ำในทะเล
ท้องน้ำเต็มไปด้วยเกลียวคลื่นนับพันลี้ ณ สถานที่แห่งหนึ่ง สายน้ำแห่งฤดูใบไม้ผลิไม่เคยปราศจากแสงจันทร์
แม่น้ำไหลตัดผ่านทุ่งหญ้าเขียวชอุ่ม แสงจันทร์ส่องกระทบกลีบดอกไม้ป่าแลดูพราวระยับ
น้ำค้างแข็งลอยอยู่กลางอากาศ แต่ไม่รู้สึกว่ามันกำลังลอยอยู่ และมองไม่เห็นทรายสีขาว
แม่น้ำและท้องฟ้าเป็สีเดียวกัน ไม่มีหมอกควันแปดเปื้อน ดวงจันทร์ขึ้นอยู่เดียวดายบนท้องฟ้าที่สว่างไสว
หากอยู่ริมน้ำจะเห็นแสงจันทร์สะท้อนน้ำ
ชีวิตดำเนินไปไม่มีจุดสิ้นสุด แต่เมฆบนท้องฟ้าและแสงจันทร์ดูเหมือนเดิมเช่นทุกปี
ข้าไม่รู้ว่าเงาจันทร์ในแม่น้ำเฝ้ารอใคร แต่ข้าเพียงเฝ้ามองแม่น้ำแยงซีไหลเอื่อย
เมฆสีขาวกำลังลอยไป มองชิงเฟิงผู่[1]ที่ทอดยาวด้วยความกังวล
คืนนี้ใครจะลงเรือพเนจรไปตามแม่น้ำและทะเลสาบ?
ดวงจันทร์ที่น่าสงสารลอยอยู่บนฟ้า แสงจันทร์สะท้อนบนผิวน้ำที่ใสราวกับกระจก
ผ้าม่านหยกไม่สามารถม้วนขึ้นได้ มันถูกตีกลับ
เราสองคนจ้องมองกัน แต่กลับไม่ได้ยินเสียงใดๆ ข้าหวังว่าแสงจันทร์จะส่องถึงนาง
หงส์และห่านบินสูงแลดูมีชีวิตชีวา ปลาัดำลงไปในน้ำแลดูงดงามราวภาพเขียน
ในภาพความฝันเมื่อคืน กลีบดอกไม้ร่วงหล่นลงน้ำคืนสู่บ้านเดิม
สายน้ำไหลในฤดูใบไม้ผลิ แสงจันทร์สะท้อนบนผิวน้ำที่ไหลไปทางทิศตะวันตก
ดวงจันทร์ซ่อนตัวอยู่ในทะเลหมอก หนทางยังห่างไกลไม่รู้เมื่อใดจะได้พบกัน
ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่หวนกลับมาภายใต้แสงจันทร์นำพา ดวงจันทร์โรยตัวลงมา แสงจันทร์สะท้อนเห็นเงาไม้ในน้ำ”
ชายในชุดคลุมสีม่วงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เป็เพียงท่อนหนึ่งของเพลงคืนแสงจันทร์ที่แม่น้ำในฤดูใบไม้ผลิ[2] ไม่ใช่หรือ? จะเทียบกับเพลงเมฆหมอกเหนือลำน้ำเซียวเซียงได้อย่างไร? เหตุใดแม่นางน้อยถึงหลอกข้าเช่นนี้? เหตุใดเ้าไม่เล่นเพลงแห่งความโศกเศร้าชั่วนิรันดร์[3] ล่ะ?”
อวิ๋นจื่อไม่ตอบ นางดีดสายกู่ฉินเบาๆ จากนั้นเสียงเพลงก็ดังขึ้น
“จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ฮั่นผู้ชมชอบความงามได้ตามหาสตรีที่พึงพอใจมาเป็เวลานาน แต่กลับหาไม่พบ แต่แล้วเขากลับได้ยินเื่ราวของเด็กสาวตระกูลหยางที่เติบโตขึ้นมาในห้องหอ คนนอกไม่มีใครได้ยลความงามของนาง
ความงดงามทำให้นางใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ไม่นานนางก็กลายเป็สนมข้างกายจักรพรรดิ
ยามนางแย้มยิ้ม นางสนมคนอื่นในวังหลังต่างไร้สีสันทันตา
ในฤดูใบไม้ผลิจักรพรรดิให้นางอาบน้ำอุ่นในสระหัวชิง เพราะน้ำอุ่นจะช่วยปกป้องผิวที่ขาวและบอบบางของนาง
นางกำนัลในวังประคับประคองนางราวกับเป็ดอกบัว จากนั้นนางก็เริ่มเป็ที่โปรดปรานของจักรพรรดิ
ผมของนางพลิ้วไหวราวปุยเมฆ ใบหน้างดงามบอบบางราวบุปผาแรกแย้ม นางสวมเครื่องประดับสีทองบนหัว และใช้เวลายามค่ำคืนของฤดูวสันต์กับจักรพรรดิในกระโจมดอกชบาอันอบอุ่น
สิ่งที่นางเกลียดมีเพียงค่ำคืนในฤดูวสันต์นั้นสั้นเกินกว่าจะหลับใหล จนกว่าดวงอาทิตย์จะขึ้นสูงจักรพรรดิจะไม่ว่าราชการเป็อันขาด
เนื่องจากได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิ นางจึงง่วนอยู่กับการประทินโฉมจนไม่มีเวลาว่าง นางมักเดินเล่นในสวนและฟังดนตรี ส่วนยามค่ำคืนก็ปรนนิบัติจักรพรรดิ
มีสาวงามมากมายในวังหลัง แต่นางเป็คนเดียวที่ได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิ
ยามอยู่ในตำหนักทองคำ นางมักสวมอาภรณ์สีอ่อนและคอยออดอ้อนเหมือนเด็กสาวให้จักรพรรดิอยู่กับนางทุกคืน หลังจากดื่มสุราจนเมามาย นางย่อมดูมีเสน่ห์มากขึ้นเล็กน้อย
พี่น้องชายหญิงได้รับการแต่งตั้งเป็ขุนนางก็เพราะนาง ความฉลาดของคนตระกูลหยางช่างน่าริษยานัก
นั่นทำให้ผู้คนเปลี่ยนใจ พวกเขาเริ่มไม่เห็นคุณค่าของเด็กชายและหันไปให้ความสำคัญกับเด็กหญิง
พระราชวังตั้งตระหง่านขึ้นสู่ท้องฟ้า และเสียงเพลงผีผาก็ล่องลอยไปทุกทิศทุกทางที่สายลมพัดผ่าน
ท่วงทำนองของการร้องเพลงและการเต้นรำสอดประสานกับท่วงทำนองของเสียงขับร้อง จักรพรรดิทรงสำราญตลอดทั้งวันอย่างไม่รู้เบื่อ
ทันใดนั้นเสียงกลองของฏอวี้หยางก็ดังสนั่น ส่วนเสียงเพลงในพระราชวังเงียบลง เสื้อผ้าอาภรณ์ที่งดงามและประดับประดาไปด้วยขนนกก็ไม่มีให้เห็นอีกต่อไป
เกิดาขึ้นในเมืองหลวงของจิ่วจงเหมิน จักรพรรดิหนีไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้พร้อมกับข้าราชบริพารและเหล่านางสนม
ฏอวี้หยางเดินทางถึงเมืองหม่าเว่ยซึ่งอยู่ห่างจากเมืองฉางอันมากกว่าร้อยลี้ พวกเขาหยุดรุกคืบและเรียกร้องให้ปะาชีวิตหยางกุ้ยเฟย จักรพรรดิไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแขวนคอหยางอวี้หวนที่เชิงเขาหม่าเว่ย
เครื่องประดับบนศีรษะของนางถูกทิ้งลงบนพื้นและไม่มีใครหยิบมันขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็เครื่องประดับศีรษะอันล้ำค่าอย่างปิ่นปักผมวิหกทองคำหรือปิ่นหยกล้วนถูกปลดออกทีละชิ้น
จักรพรรดิไม่สามารถซ่อนพระพักตร์ที่อาบด้วยน้ำตาได้ นางยินยอมที่จะทำเช่นนี้เพราะ้าช่วยพระองค์ แต่เมื่อเขาหันพระพักตร์ไปก็เห็นสนมรักกำลังสิ้นใจ
เืและน้ำตาหลั่งไหลออกมาจากดวงตาอย่างควบคุมไม่ได้
ลมอันเยือกเย็นพัดพาฝุ่นสีเหลืองให้ปลิวว่อน ขบวนรถม้าเดินทางผ่านถนนที่ทำด้วยไม้กระดาน ส่วนผู้คนก็เดินเท้าไปตามถนนที่คนสมัยโบราณใช้
ที่เชิงเขามีผู้คนผ่านไปมาเพียงน้อยนิด ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์แทบไม่ปรากฏราวกับเป็สถานที่ไร้แสง
ูเาที่สวยงามและน้ำทะเลใสเปรียบได้กับความรักคะนึงหาของโอรส์
เมื่อเห็นดวงจันทร์ก็เศร้าสลด เมื่อได้ยินเสียงระฆังดังในยามราตรีก็หัวใจสลาย
เมื่อสถานการณ์คลี่คลายไปในทางที่ดี จักรพรรดิก็เสด็จกลับฉางอัน ขณะเดินทางกลับได้ผ่านเชิงเขาหม่าเว่ยและทอดพระเนตรเห็นผู้คนผ่านไปมาประปราย จึงทรงหยุดครุ่นคิด
ท่ามกลางเนินดินที่ดูรกร้างบริเวณเชิงเขาหม่าเว่ย โฉมหน้าของสาวงามไม่มีให้เห็นอีกแล้ว มีเพียงหลุมฝังศพที่ดูเดียวดายเท่านั้น
จักรพรรดิและเสนาบดีต่างมองหน้ากัน น้ำตาของพวกเขาไหลริน จักรพรรดิเหม่อมองไปทางทิศตะวันออกแล้วขี่ม้ากลับเมืองหลวง
เมื่อกลับมาถึงก็เห็นว่าสวนและสระน้ำยังคงเหมือนเดิม ดอกชบาข้างสระก็ยังคงอยู่
ดอกชบาดูเหมือนใบหน้าของหยางอวี้หวน ใบหลิวเรียวเล็กก็เหมือนคิ้วของนาง เมื่อเป็เช่นนี้จะไม่ทำให้บุรุษผู้สูงศักดิ์หลั่งน้ำตาได้อย่างไร?
สายลมฤดูใบไม้ผลิมาพร้อมกับลูกบ๊วยและลูกท้อ ช่างดูน่าเศร้ายิ่งนัก ส่วนเม็ดฝนในฤดูใบไม้ร่วงที่หยดลงบนใบมะเดื่อก็ยิ่งดูอ้างว้าง
หญ้าในฤดูใบไม้ร่วงขึ้นรกในบริเวณพระราชวัง นอกท้องพระโรงใบไม้ที่ร่วงหล่นปกคลุมขั้นบันไดไม่ได้รับการปัดกวาดแต่อย่างใด
ผมดกดำเงางามของนางระบำกลายเป็สีขาวเหมือนหิมะ ส่วนสาวใช้ก็หายตัวไป
ตกดึกเมื่อหิ่งห้อยเริงระบำ จักรพรรดิผู้มีนามว่าถังเสวียนจงเอาแต่คิดถึงสนมรักเงียบๆ และหลับไม่ค่อยลงทั้งที่น้ำมันตะเกียงหมดแล้ว
เสียงระฆังและเสียงกลองทำให้รู้สึกเหมือนเป็ค่ำคืนที่ยาวนานนัก เมื่อใกล้รุ่งสางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวก็กำลังจะหายไป
เป็ดยวนยางถือกำเนิดขึ้น แล้วใครจะนอนอยู่ใต้ผ้านวมสีเขียวมรกตเป็เพื่อนจักรพรรดิผู้เดียวดาย?
หยินหยางแยกกันอยู่เป็ปี เหตุใดนางถึงไม่เคยมาปรากฏในความฝันของจักรพรรดิเลย?
ว่ากันว่านักพรตเต๋าจากเมืองฉางสามารถนำพาดวงิญญาของสนมผู้สูงศักดิ์กลับมาได้
เขาประทับใจในความรักของจักรพรรดิที่มีต่อสนมรัก เขาจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อค้นหาดวงิญญาของนาง
เขาทะยานผ่านหมู่เมฆและขี่หมอกด้วยความเร็วราวฟ้าแลบ เขาออกค้นหาไปทั่ว
ค้นหาทั่วเก้า์ ค้นหาทั่วเก้าปฐี แต่ก็ยังไม่พบ
ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินว่ามีหุบเขาเซียนในทะเล ซึ่งรายล้อมด้วยก้อนเมฆและหมอกจางๆ
ศาลาที่งดงามและวิจิตรตั้งอยู่บนก้อนเมฆหลากสีสัน และมีเทพธิดาจำนวนนับไม่ถ้วนที่มีร่างกายบอบบางและอ่อนนุ่ม
ว่ากันว่า มีเทพธิดาองค์หนึ่งที่มีผิวราวกับหิมะและดูเหมือนหยางอวี้หวนที่จักรพรรดิกำลังตามหา
นักพรตเต๋ามาถึงหน้าประตูทองคำ เขาเคาะประตูที่ทำจากหยกและส่งเสียงเรียกเบาๆ
เมื่อได้ยินว่านักพรตเต๋าที่ถูกส่งมาโดยจักรพรรดิได้มาถึงแล้ว นางจึงตื่นขึ้นจากการหลับใหลในกระโจมที่ปักอย่างสวยงาม
นางรีบสวมเสื้อผ้าและเดินออกจากกระโจม ม่านลูกปัดและฉากกั้นสีเงินถูกเปิดออก
นางเพิ่งตื่นผมจึงยังไม่ได้สาง นางออกมาจากกระโจมก่อนที่จะได้แต่งหน้าและสวมมงกุฎดอกไม้
ลมที่อ่อนโยนพัดแขนเสื้อของนางให้กระพือเล็กน้อย อาภรณ์ของนางดูคล้ายกับชุดผ้าโปร่งและชุดขนนกของนางสนม
น้ำตาไหลลงบนใบหน้างดงามที่หมองเศร้า เหมือนดอกท้อที่โปรยปรายไปกับสายฝนในฤดูใบไม้ผลิ
นางจ้องมองนักพรตเต๋าด้วยความตกตะลึง นางขอให้เขากล่าวขอบคุณจักรพรรดิแทนนาง
งานฉลองในพระราชวังเจาหยางไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลย ่เวลาที่โดดเดี่ยวในวังเผิงไหลยังคงยาวนานไร้สิ้นสุด
เมื่อมองดูโลกมนุษย์จากแดน์ ย่อมไม่เห็นฉางอันที่ดูงดงาม มีเพียงฝุ่นและหมอกหนาเท่านั้น
นางสามารถแสดงความรักอย่างลึกซึ้งด้วยกล่องไม้และปิ่นปักผมทองคำ นาง้าให้นักพรตเต๋านำของเหล่านี้ไปถวายจักรพรรดิเพื่อเป็ของแทนใจ
นางหักปิ่นปักผมทองคำและกล่องไม้ออกเป็สองซีก เพื่อที่นางและจักรพรรดิจะได้เก็บไว้คนละครึ่ง
นางหวังเพียงว่าหัวใจของจักรพรรดิจะภักดีและแข็งแกร่งราวกับขุมทรัพย์ทองคำ นางให้นักพรตเต๋าทูลจักรพรรดิว่าย่อมมีโอกาสได้พบกันอีกครั้งใน์
เมื่อถึงเวลาสมควร นางขอให้นักพรตเต๋าส่งสาส์นถึงจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ และคำสาบานในสาส์นนั้นรู้กันแค่นางและจักรพรรดิเท่านั้น
ในวันที่เจ็ดเดือนเจ็ดของปีนั้น ในท้องพระโรงที่เงียบสงัดตอนกลางดึก ทั้งคู่เอ่ยคำสาบาน
ขอเป็นกคู่โบยบินบนท้องฟ้า ขอเป็ไม้ใหญ่ยืนต้นคู่กันบนพื้นดินโดยไม่มีวันแยกจาก
แม้จะเป็นิรันดร์แต่ก็มีจุดจบเสมอ แต่ความแค้นในชีวิตและความตายจะไม่มีวันสิ้นสุด”
หลังจากอวิ๋นจื่อเล่นจบก็รู้สึกเจ็บนิ้วเล็กน้อย นางลุกขึ้นและถามเบาๆ ว่า “ท่านพอใจหรือไม่เ้าคะ? ข้าเหนื่อยนิดหน่อยแล้ว แต่ถ้าท่านอยากเล่นเองก็ใช้กู่ฉินของข้าได้”
ชายในชุดคลุมสีม่วงหัวเราะเสียงดัง “เช่นนั้นเ้าจงฟังข้าเล่นดีๆ เถิด”
ชายในชุดคลุมสีม่วงนั่งลงตรงหน้ากู่ฉินและเสียงเพลงก็ดังขึ้น
“ข้าท่องบทกวีนี้ด้วยความคับแค้นใจ
ถ้าคำพูดของข้าไม่ได้มาจากความภักดี ข้าจะชี้ไปที่์และให้ท่านเป็พยาน
ให้เทพเ้าทั้งห้าทิศเป็ผู้ตัดสินและข้าก็เต็มใจที่จะชี้แจงให้กระจ่าง
เหล่าเทพเ้าแห่งูเาและแม่น้ำได้รับเชิญให้เข้าร่วมการพิจารณาคดีในฐานะลูกขุน และสั่งให้ผู้พิพากษาชี้แจงว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด
ข้ารับใช้จักรพรรดิด้วยความภักดี แต่กลับถูกมองว่าเป็เนื้อร้ายที่ไม่จำเป็
ข้าไม่รู้วิธีประจบประแจงและทำให้ผู้อื่นรำคาญ ข้าได้แต่รอให้จักรพรรดิเข้าใจความจริงใจของข้า
ข้ามั่นใจในคำพูดและการกระทำของตนเอง อีกทั้งข้าก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ไม่มีใครตรวจสอบข้าราชบริพารได้ดีไปกว่าจักรพรรดิ การตรวจสอบต้องเกิดขึ้นต่อหน้าพระองค์เท่านั้น
ข้ายึดมั่นในศีลธรรมและเทิดทูนจักรพรรดิไว้เหนือหัว แต่กลับถูกผู้คนไม่พอใจและเกลียดชัง
สิ่งเดียวที่อยู่ในใจของข้าคือจักรพรรดิ แต่ทุกคนกลับมองข้าเป็ศัตรู
ข้าซื่อสัตย์และแน่วแน่ แต่สุดท้ายข้าก็ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้
ข้าพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อรับใช้ข้างกายจักรพรรดิโดยไม่มีเจตนาอื่นใด แต่มันกลับกลายเป็ต้นเหตุที่ทำให้เกิดหายนะ!
ไม่มีใครจงรักภักดีไปกว่าข้า ข้าถึงขั้นหลงลืมพร์ของตนเองด้วยซ้ำ
ข้าไม่เคยรับใช้จักรพรรดิแบบครึ่งๆ กลางๆ แต่ข้าไม่รู้วิธีที่จะทำให้ตนเองได้รับความโปรดปราน
เหตุใดข้าถึงมีความผิดและได้รับการตัดสินว่าสมควรถูกลงโทษ?
ถ้ามีผู้ใดทำตัวแตกต่างและไม่ไหลไปตามน้ำ ผู้นั้นก็จะสะดุดล้มและถูกกลุ่มผู้ไม่หวังดีเยาะเย้ย
ข้าถูกใส่ร้ายอย่างต่อเนื่อง ช่างน่าเศร้านัก!
ข้าถ่ายทอดเื่นี้ได้ไม่ค่อยดีนักเพราะข้ารู้สึกหดหู่
ข้าโศกเศร้าและท้อแท้ มีผู้ใดบ้างที่เข้าใจความทุกข์ของข้า?
เดิมทีข้ามีสิ่งที่อยากกล่าวมากมายไม่รู้จบ แต่ข้ากล่าวออกมาไม่ได้ ข้าอยากแสดงออกถึงเจตนาของตนเอง แต่ไม่มีทางที่จักรพรรดิจะล่วงรู้
ถ้าข้าจากไปอย่างเงียบๆ ใครจะเข้าใจข้าบ้าง? ถ้าข้าร้องะโ ใครจะรับฟังข้าบ้าง?
ความผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่าทำให้หัวใจของข้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศก การเขียนและอธิบายเื่ราวที่เกิดขึ้นเป็บทกวีจึงเป็เื่ยาก
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ข้าฝันว่าได้บินไปบนท้องฟ้า ิญญาของข้าล่องลอยไปตามแม่น้ำ แต่ไม่มีเรือข้ามฟาก
ข้าขอให้เทพผู้ยิ่งใหญ่ทำนายโชคชะตาให้ข้า เทพผู้นั้นกล่าวว่า ‘เ้ามีความทะเยอทะยาน แต่น่าเสียดายที่ไม่มีคนหนุนหลัง’
ข้าถามว่า ‘ข้าต้องอยู่ตัวคนเดียวและถูกพระองค์ตีตัวออกห่างหรือ?’
เทพผู้นั้นกล่าวว่า ‘เ้าจะนึกถึงจักรพรรดิแต่เขากลับพึ่งพาไม่ได้ คำพูดของเขาเพียงคำเดียวสามารถทำให้ทองคำละลายได้ และเ้าก็จงรักภักดีมากเสียจนต้องตกอยู่ในอันตราย เหตุใดเ้าถึงไม่เปลี่ยนเจตนาของตนเองเสียใหม่?’
‘หากเ้ายังคง้าขึ้นไปบนท้องฟ้าโดยไม่ใช้บันได นี่หมายความว่าความคิดของเ้าไม่ได้เปลี่ยนไปเลย’
‘ผู้คนหวาดกลัวเ้า แต่นึกดูว่าถ้าพวกเขาไม่เห็นด้วยกับเ้า เหตุใดพวกเขาถึงคบหาสมาคมกับเ้า?’
‘ถึงจะเป็คนรู้จักแต่มีความคิดไม่ตรงกัน เหตุใดถึงต้องให้ความช่วยเหลืออีกฝ่าย?’
‘เสิ่นเสิงจากแคว้นจินเป็บุตรชายที่ซื่อสัตย์ แต่บิดาของเขาเชื่อในคำใส่ร้าย จึงบีบบังคับให้บุตรชายต้องตาย’
‘เ้าเป็คนซื่อตรงแต่ไม่กระตือรือร้น ดังนั้นเ้าจึงไม่ประสบความสำเร็จ’
ข้าเคยได้ยินมาว่าบุคคลที่จงรักภักดีอาจต้องกลายเป็ศัตรูกับผู้อื่น แต่ข้าไม่สนใจและคิดว่ามันเป็คำกล่าวที่เกินจริง
คนที่แขนหักหลายครั้งย่อมสามารถเป็แพทย์ที่ดีได้ และตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าคำกล่าวนี้ไม่เลวเลย
ลูกศรอยู่บนท้องฟ้า ตาข่ายวางอยู่ด้านล่าง
ข้าถูกใส่ร้ายจนไม่มีที่ให้ยืน
ข้าอยากอยู่เคียงข้างจักรพรรดิ แต่กลัวว่าอันตรายบางอย่างจะตกลงบนหัว
ข้าอยากจะหนีไปให้ไกล แต่กลัวว่าจักรพรรดิจะมองว่าข้าทรยศ
ข้าอยากละทิ้งศีลธรรมและวิ่งหนีไป แต่ข้ามีจิตใจแน่วแน่เสมอมาจนไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
หน้าอกและแผ่นหลังของข้ารู้สึกเหมือนถูกแยกออก ข้ารู้สึกหดหู่ อึดอัด และด้านชาจนทนไม่ไหว
ข้าบดกลีบมู่หลานฮวา[4] ปลายข้าว และพริกเพื่อทำอาหารแห้ง
จากนั้นหว่านเมล็ดและปลูกดอกเบญจมาศในเซี่ยเจียงหลี และรอจนถึงฤดูใบไม้ผลิเพื่อนำดอกเบญจมาศมาทำให้อาหารแห้งมีกลิ่นหอม
ข้ากลัวว่าสถานการณ์จะเลวร้ายลง ดังนั้นข้าจึงพยายามอธิบายการกระทำของตนเอง
ข้ายกยอตนเองและไม่นึกถึงเื่แย่ๆ”
------------------------
[1] ชิงเฟิงผู่ หมายถึง ป่าเมเปิ้ลที่ทอดยาวริมแม่น้ำ ใบเมเปิ้ลจะเปลี่ยนเป็สีแดงในฤดูใบไม้ร่วง ในบทกวีเมเปิ้ลมักถูกใช้เพื่อแสดงถึงสีสันของฤดูใบไม้ร่วง
[2] “คืนแสงจันทร์ที่แม่น้ำในฤดูใบไม้ผลิ” เป็เพลงยาวเจ็ดตัวอักษรที่เขียนโดยจางรั่วซูกวีแห่งราชวงศ์ถัง เขาใช้พู่กันเขียนตัวอักษรที่งดงามและเต็มไปด้วยลมหายใจแห่งชีวิต เพลงนี้ใช้แม่น้ำเป็ฉากหลังและดวงจันทร์เป็ตัวหลัก โดยพรรณนาถึงภาพที่สวยงาม ห่างไกล และพร่ามัวของค่ำคืนที่แม่น้ำในฤดูใบไม้ผลิ ทั้งยังแสดงออกถึงความจริงใจของชายที่กำลังคิดถึงภรรยาที่พรากจากกัน
[3] “เพลงแห่งความโศกเศร้าชั่วนิรันดร์” เป็บทกวีบรรยายเื่ยาวที่เขียนโดยไป๋จูอี้กวีแห่งราชวงศ์ถัง เขาวิพากษ์วิจารณ์เื่ความลุ่มหลงของถังเสวียนจงและการใช้ประโยชน์จากบ้านเมืองในทางที่ผิดซึ่งก่อให้เกิดฏอานซี ในขณะเดียวกันเขาก็แสดงความเห็นอกเห็นใจในโศกนาฏกรรมความรักระหว่างถังเสวียนจงและหยางกุ้ยเฟย ทั้งยังสรรเสริญความรักอันมั่นคงที่ต้องแลกมาด้วยชีวิตและความตาย
[4] มู่หลานฮวา หมายถึง ดอกแมกโนเลีย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้