พอเหลียงซื่อได้ฟังอันซิ่วเอ๋อร์พูดเช่นนั้นก็รีบกล่าว “ในเมื่อเ้าเจ็บตา ก็ผูกผ้าพันตากลับไปเถอะ พวกเราเห็นหน้าเ้าแล้ว เป็ชายหนุ่มที่ดี พ่อเขากับข้าพอใจเ้ามาก” นางพลางหันไปมองพ่อเฒ่าอัน “จริงหรือไม่ตาเฒ่า?”
“ใช่แล้ว ลูกเขยดูเป็คนสุขุมน่าเชื่อถือ” พ่อเฒ่าอันพยักหน้าเห็นด้วย สีหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
อันซิ่วเอ๋อร์ทำท่าจะหยิบผ้าพันตาออกมาสวมให้จางเจิ้นอัน แต่เขากลับยื่นมือห้ามไว้ “ไม่เป็ไร แสงในห้องไม่จ้านัก ไม่ระคายเคืองตาข้าหรอก”
“เช่นนั้นก็ได้เ้าค่ะ หากเดี๋ยวท่านรู้สึกเจ็บตาขึ้นมาต้องบอกข้านะ” อันซิ่วเอ๋อร์เม้มปากยิ้ม เก็บผ้าพันตากลับเข้าที่
เหลียงซื่อรีบร้องสั่ง “ต้ายา อาเขยเ้าไม่ค่อยสบายตา เ้าไปปิดประตูให้แคบลงอีกหน่อยเถอะ”
ต้ายาลุกขึ้นไปแง้มประตูเข้ามา ในห้องจึงมืดลงเล็กน้อย แม้ห้องจะมืด แต่เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะพูดคุยอย่างมีความสุขอยู่ข้างหู จางเจิ้นอันกลับรู้สึกถึงไออุ่นหลายสายที่ค่อยๆ เอ่อล้นออกมา วนเวียน แล้วตกตะกอนลงในใจ
“ท่านพ่อ ท่านแม่ อาหารเสร็จแล้วเ้าค่ะ” ต่งซื่อเดินมาบอก
“เช่นนั้นพวกเราไปกินข้าวก่อนเถอะ” พ่อเฒ่าอันกล่าวพลางลุกขึ้นยืน นำจางเจิ้นอันเดินไปยังโต๊ะแปดเซียนกลางห้อง
จางเจิ้นอันเป็แขกสำคัญ พ่อเฒ่าอันจึงนั่งเป็เพื่อนเขาในที่นั่งประธาน [1] อันซิ่วเอ๋อร์ตอนนี้ก็นับเป็แขกคนสำคัญเช่นกัน จึงนั่งถัดจากจางเจิ้นอันลงมา ฝั่งตรงข้ามคือเหลียงซื่อ ตระกูลอันมีสมาชิกน้อย จึงไม่มีธรรมเนียมห้ามสะใภ้ร่วมโต๊ะ ข้างกายเหลียงซื่อคือต่งซื่อ ส่วนอันซิ่วเอ๋อร์กวักมือเรียกให้ต้ายามานั่งด้วย อันเถี่ยมู่นั่งลงถัดจากที่นั่งประธานพร้อมกับเอ้อร์ยา
อาหารมื้อนี้ถือว่าครอบครัวอันลงทุนลงแรงไปไม่น้อย มีทั้งไก่ผัดจานใหญ่ น้ำแกงนกพิราบตุ๋น หน่อไม้เส้นผัดหมูรมควัน ไข่ตุ๋น และผัดผักชิงไช่อีกหนึ่งอย่าง ข้าวที่ยกมาก็เป็ข้าวขาวล้วน
พออันซิ่วเอ๋อร์เห็นก็รู้สึกประหลาดใจระคนเกรงใจอยู่บ้าง “ทำให้ท่านพ่อท่านแม่ต้องสิ้นเปลืองอีกแล้ว พวกเราไม่ใช่แขกสำคัญเสียหน่อย ทำอาหารดีๆ แบบนี้ทำไมกันเ้าคะ? เปลืองเงินเปล่าๆ”
เหลียงซื่อได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยว่า “เ้าเด็กคนนี้พูดจาเหลวไหลอะไร ลูกเขยมาเยี่ยมบ้านครั้งแรก พวกเรายังต้อนรับได้ไม่ดีพอเลยด้วยซ้ำ”
นางตำหนิอันซิ่วเอ๋อร์สองสามคำ แล้วหันไปมองจางเจิ้นอัน “บ้านเราฐานะยากจน หวังว่าลูกเขยคงไม่รังเกียจ”
“ให้พ่อตาแม่ยายต้องสิ้นเปลืองแล้ว” จางเจิ้นอันกล่าวตอบ
เหลียงซื่อจึงยิ้มแล้วกล่าว “สิ้นเปลืองอะไรกัน ไก่นี่ก็เลี้ยงเองที่บ้าน นกพิราบนี่พี่รองเขาก็เพิ่งไปล่ามาจากบนเขาเมื่อวาน หมูรมควันก็เป็หมูที่บ้านเราเชือดเองตอนตรุษจีนปีที่แล้ว ผักก็ปลูกเอง ของพวกนี้ไม่ได้เสียเงินซื้อเลยสักอีแปะเดียว”
อันซิ่วเอ๋อร์ได้ฟังก็กะพริบตาปริบๆ เอ่ยอย่างประจบเอาใจ “ท่านแม่นี่แหละเ้าค่ะที่รู้จักดูแลบ้าน ข้าน่ะไม่ได้เื่เลย ใช้เงินเปลืองตลอด ต่อไปข้าต้องหัดเรียนรู้จากท่านแม่บ้างแล้ว”
“ก็ต้องหัดเรียนรู้ไว้บ้างน่ะสิ” เหลียงซื่อกล่าว “พวกเ้าแต่งงานสร้างครอบครัวแล้ว ก็ต้องรู้จักใช้ชีวิตให้ดีๆ วันธรรมดาต้องประหยัดมัธยัสถ์หน่อย ห้ามใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายเหมือนวันนี้เด็ดขาด คราวหน้ากลับมาบ้าน ไม่ต้องซื้อของอะไรมา แค่พวกเ้านึกถึงพ่อแม่บ้าง พ่อแม่ก็พอใจแล้ว”
พลางคีบเนื้อไก่ให้จางเจิ้นอันและอันซิ่วเอ๋อร์คนละชิ้น เอ่ยเป็นัยๆ “ตอนนี้พวกเ้ายังดีอยู่ ยังไม่ค่อยมีเื่ให้ใช้เงินเท่าไหร่ รอต่อไปพอมีลูกสักสองคนนั่นแหละ เื่ให้เสียเงินจะเยอะกว่านี้มาก”
พอได้ฟัง อันซิ่วเอ๋อร์ก็หน้าแดงก่ำ ก้มหน้าลง ไม่พูดอะไรอีก
เหลียงซื่อเห็นดังนั้นก็ส่ายหน้า ไม่พูดอะไรต่อ แต่เป็พ่อเฒ่าอันที่หยิบไหสุราซึ่งจางเจิ้นอันซื้อมาวางบนโต๊ะขึ้นมา “โชคดีที่วันนี้เ้าซื้อสุรามาด้วย พวกเราพ่อตาลูกเขยมาดื่มกันสักจอกเถอะ”
พลางใช้มือเหี่ยวย่นราวเปลือกไม้ของตนคลำหาเชือกที่ปิดปากไห ค่อยๆ แกะจุกออกอย่างระมัดระวัง รินสุราให้ตนเองและจางเจิ้นอันคนละจอก
“ยายแก่ ดื่มสักจอกไหม?” พ่อเฒ่าอันหันไปมองเหลียงซื่อ
“วันนี้เป็วันดี งั้นข้าเอาสักหน่อยก็ได้” วันนี้เหลียงซื่ออารมณ์ดีเป็พิเศษจริงๆ
พ่อเฒ่าอันรินให้เหลียงซื่อเล็กน้อย แล้วถามต่อ “ซิ่วเอ๋อร์ เ้าล่ะ?”
“เช่นนั้นข้าก็ขอสักนิดแล้วกันเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์เห็นทุกคนอารมณ์ดีกันถ้วนหน้า จึงยกจอกของตนขึ้น แต่กลับถูกจางเจิ้นอันใช้มือกันไว้ “เ้าดื่มสุราไม่เป็ก็อย่าดื่มเลย”
“ไม่เป็ไร ข้าแค่จิบเดียว แตะๆ ลิ้นก็พอแล้วเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์ยิ้มกล่าว
“ดื่มน้อยๆ หน่อยแล้วกัน” พ่อเฒ่าอันกล่าวพลางรินให้บุตรสาวไปเกือบครึ่งจอก อันซิ่วเอ๋อร์มองของเหลวสีอำพันในจอก ในใจก็บ่นอุบ วันนี้ท่านพ่อเป็อะไรไป? ลืมไปแล้วหรือว่านางดื่มสุราไม่ได้ ถึงได้รินให้มากขนาดนี้
วันนี้พ่อเฒ่าอันไม่ได้เรียกว่าดีใจเสียทีเดียว แต่กลับรู้สึกใจหายมากกว่า บุตรสาวที่ตนเลี้ยงดูอย่างถนอมมาสิบกว่าปี พริบตาเดียวก็กลายเป็คนบ้านอื่นไปแล้ว เขาทั้งดีใจทั้งเสียใจ ความรู้สึกปนเปกันไปหมด สุดท้าย คนทั้งโต๊ะ แม้แต่ต้ายากับเอ้อร์ยา เขาก็รินสุราให้ด้วย
นานๆ ทีแม่เฒ่าจะอารมณ์ดีเช่นนี้ ทุกคนจึงไม่ได้พูดอะไร ปล่อยเลยตามเลยไปตามใจเขา
อันซิ่วเอ๋อร์มีประสบการณ์จากคราวก่อน ครั้งนี้จึงไม่กล้าดื่มมาก ได้แต่เม้มปากจิบไปนิดเดียว แล้วรีบกินกับข้าวคำหนึ่งเพื่อกลบรสขมในปาก
ส่วนพ่อเฒ่าอันกับจางเจิ้นอันกลับดื่มกันจอกแล้วจอกเล่า พอพ่อเฒ่าอันดื่มสุราเข้าไป คำพูดก็เริ่มเยอะขึ้น ดึงจางเจิ้นอันคุยไม่หยุด
อันซิ่วเอ๋อร์กลัวว่าจางเจิ้นอันจะโกรธอยู่บ้าง หลายครั้งที่นางพยายามจะขัดจังหวะคำพูดของพ่อเฒ่าอัน แต่ก็ไม่สำเร็จ ได้แต่นั่งฟังอยู่ข้างๆ พลางคอยชำเลืองมองสีหน้าของจางเจิ้นอันอย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีทีท่าโกรธเคืองจริงๆ นางจึงค่อยวางใจลง
มื้ออาหารดำเนินไปราวหนึ่งชั่วยาม ถือได้ว่าเ้าบ้านและแขกต่างเพลิดเพลินยินดี เมื่อกินเสร็จ เหลียงซื่อก็ดึงอันซิ่วเอ๋อร์เข้าไปคุยเื่ส่วนตัวในห้องนอน อันซิ่วเอ๋อร์ก็ตอบคำถามทุกอย่าง เกี่ยวกับจางเจิ้นอัน นางเลือกเล่าแต่เื่ดีๆ ทำให้เหลียงซื่อวางใจไปได้เปลาะหนึ่ง
คุยกันครู่หนึ่ง เหลียงซื่อก็ไปเปิดตู้หยิบหีบใบเล็กออกมาใบหนึ่ง เปิดออกต่อหน้าอันซิ่วเอ๋อร์ แล้วหยิบเงินพวงหนึ่งออกมายื่นให้อันซิ่วเอ๋อร์ “ซิ่วเอ๋อร์ สภาพบ้านเราเ้าก็รู้ เงินก้อนนี้เ้ารับไปเถอะ อยากกินอะไรก็ซื้อกินบ้าง”
“ท่านแม่ ข้าไม่เอาเ้าค่ะ ท่านเก็บไว้เองเถอะ” อันซิ่วเอ๋อร์รีบปฏิเสธ “เราสองคนยังหนุ่มยังสาว ยังหาเงินเองได้ จะรับเงินของท่านได้อย่างไร”
“รับไปเถอะน่า คราวนี้แม่รีบร้อนส่งเ้าแต่งงานออกไป ทำให้เ้าต้องลำบากไม่น้อย โชคดีที่จางเจิ้นอันเป็คนสุขุม นอกจากจะดูทื่อไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็คนไม่เลวเลยทีเดียว เฮ้อ แม่รู้ว่าเ้าเด็กคนนี้ เอาแต่เลือกพูดในสิ่งที่ดีๆ เขาดีต่อเ้าจริงหรือไม่ แม่เองก็ไม่รู้”
พูดถึงตรงนี้เหลียงซื่อก็รู้สึกเ็ปในใจ บุตรสาวดีๆ ที่เลี้ยงอย่างทะนุถนอม กลายเป็คนของบ้านอื่นไปเสียแล้ว นางหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตาที่หางตา “แต่มีอย่างหนึ่งที่เ้าต้องจำไว้ เ้าคือแก้วตาดวงใจของแม่เสมอ หากวันหน้าต้องเจ็บช้ำระกำใจเื่ใด ต้องบอกแม่นะ ต่อให้แม่ต้องแลกด้วยชีวิต ก็จะทวงความยุติธรรมให้เ้าให้ได้”
“ท่านแม่ ท่านพูดจริงจังเกินไปแล้ว สามีดีต่อข้ามากจริงๆ เ้าค่ะ อยู่ที่บ้านข้าก็เป็คนตัดสินใจเื่ต่างๆ ได้นะ” อันซิ่วเอ๋อร์ปลอบใจเหลียงซื่อ “เขาแค่พูดไม่เก่งเท่านั้นเอง อันที่จริงหากเข้าใจนิสัยเขาแล้ว ก็อยู่ด้วยกันง่ายมากเ้าค่ะ”
“แค่เ้าอยู่ดีมีสุขก็พอแล้ว” เหลียงซื่อพยักหน้า ยื่นเงินในมือให้อันซิ่วเอ๋อร์อีกครั้ง “นี่เป็น้ำใจจากแม่ เ้าต้องรับไว้”
“ไม่ต้องหรอกเ้าค่ะท่านแม่ หากท่านอยากจะให้เงินข้าจริงๆ สู้มอบลูกไก่ที่บ้านเราให้ข้าสักสองสามตัวไม่ดีกว่าหรือเ้าคะ?” อันซิ่วเอ๋อร์กล่าวพลางยิ้มตาหยี
“เ้าอยากเลี้ยงไก่รึ?” เหลียงซื่อถาม
“เ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์พยักหน้า “พูดตามตรง ตอนนี้บ้านข้าอาศัยเพียงสามีหาปลาเลี้ยงชีพเพียงคนเดียว ที่บ้านไม่มีที่ดินแม้แต่ผืนเดียว ตอนนี้เข้าฤดูใบไม้ผลิ น้ำในแม่น้ำอุดมสมบูรณ์ ปลาก็ตัวโต ดูเหมือนจะยังพอประทังชีวิตไปได้ แต่ในใจข้าก็ยังอดกังวลไม่ได้อยู่ดี จึงคิดจะถางดินทำแปลงผัก แล้วก็เลี้ยงไก่สักสองสามตัว แบบนี้ถึงจะเรียกว่าเป็บ้านที่สมบูรณ์ได้”
“เ้าคิดถูกแล้ว อาศัยหาปลาอย่างเดียวคงไม่ได้จริงๆ เอาอย่างนี้แล้วกัน พอดีที่บ้านมีแม่ไก่กกไข่อยู่อีกตัว ลูกไก่พวกนั้นที่ฟักมาคราวก่อน เดี๋ยวแม่จับให้เ้าก็แล้วกัน” เหลียงซื่อกล่าวพลางลุกขึ้นยืน
อันซิ่วเอ๋อร์ก็ลุกขึ้นตาม รอจนเหลียงซื่อปิดหีบเก็บเข้าที่เรียบร้อยแล้ว อันซิ่วเอ๋อร์จึงตามนางไปยังสวนหลังบ้าน จับลูกไก่แปดตัวใส่ไว้ในกรง
“บอกแล้วว่าจะจับให้ทั้งหมด เอากรงมานี่” ในมือเหลียงซื่อยังคงกำลูกไก่ที่ใร้องเสียงหลงอยู่อีกหลายตัว ทว่าอันซิ่วเอ๋อร์กลับหิ้วกรงหนีไปไกล อย่างไรก็ไม่ยอมรับเพิ่มอีก
“พอแล้วเ้าค่ะ ข้าลองเลี้ยงแปดตัวนี้ดูก่อน หากเลี้ยงได้ดีค่อยมาขอใหม่ก็ได้ น้ำใจของท่านแม่ข้าเข้าใจดี แต่หากข้าเลี้ยงพวกมันตายไป นั่นก็เป็ความผิดของข้าแล้ว” อันซิ่วเอ๋อร์ปฏิเสธ
“เช่นนั้นก็ได้ ไว้เ้าขาดเหลืออะไรก็กลับมาเอาที่บ้านนะ วันธรรมดาหากต้องทำงานหนัก ถ้าลูกเขยไม่อยู่บ้าน เ้าก็กลับมาเรียกพ่อกับพี่รองเ้าไปช่วยได้เลย” เหลียงซื่อพร่ำพูดสั่งเสียอีกครั้ง
“เ้าค่ะ ข้ารู้แล้ว” อันซิ่วเอ๋อร์ยิ้มพลางพยักหน้า
เหลียงซื่อรู้สึกว่าตนเองสั่งกำชับหมดแล้ว จึงกล่าว “ที่แม่พูดเ้าต้องจำไว้นะ อย่ากลัวว่าจะลำบาก พวกเราเป็ครอบครัวเดียวกัน ไม่ลำบากหรอก”
“เ้าค่ะ ข้าจำได้หมดแล้ว” อันซิ่วเอ๋อร์ยังคงตอบพร้อมรอยยิ้ม
เหลียงซื่อเอ่ยต่อ “งานบ้านเ้าเยอะหรือไม่? จะให้แม่ส่งต้ายาไปช่วยไหม?”
“ไม่ต้องๆ เ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์รีบโบกมือ “ท่านแม่ ข้าไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น อีกอย่างข้าแต่งงานแล้ว หากสามีรู้เข้า เขาจะมองข้าอย่างไร”
“ก็ไม่ต้องกินข้าวบ้านเขา ให้ต้ายาไปเช้าเย็นกลับ มากินข้าวที่บ้านเราก็ได้” เหลียงซื่อกล่าว
“ไม่ใช่เื่กินข้าวหรือไม่กินข้าวเ้าค่ะ” อันซิ่วเอ๋อร์จนใจเล็กน้อย “บ้านเรามีกันแค่สองคน วันๆ ข้าก็แค่ซักเสื้อผ้าสองสามชิ้น หุงข้าวสองมื้อ ไม่มีอะไรมาก ท่านแม่ไม่ต้องห่วงหรอกเ้าค่ะ น้ำใจของท่าน ข้าจดจำไว้ในใจแล้ว”
“เฮ้อ เ้าเด็กคนนี้นะ แม่จนปัญญาจริงๆ...” เหลียงซื่อกล่าวพลางส่ายหน้าอย่างจนใจ
อันซิ่วเอ๋อร์ยิ้มบาง ไม่พูดอะไรมาก เพียงหิ้วกรงไก่เดินตามนางมายังห้องโถง
ในห้องโถง พ่อเฒ่าอันเริ่มมีอาการเมาเล็กน้อยแล้ว แต่จางเจิ้นอันกลับยังคงมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง อันซิ่วเอ๋อร์มองดูเวลาเห็นว่าไม่เช้าแล้ว อีกทั้งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ยังต้องกลับไปถางดินทำแปลงผัก จึงโบกมือลาเหลียงซื่อและคนอื่นๆ “ท่านแม่ ตอนนี้เวลาก็ล่วงเลยมาพอสมควรแล้ว วันนี้พวกเราขอตัวกลับก่อนนะเ้าคะ ไว้โอกาสหน้าค่อยมาเยี่ยมใหม่”
เชิงอรรถ
[1] ที่นั่งสำหรับแขกผู้มีเกียรติสูงสุดหรือเ้าบ้าน มักอยู่ด้านในสุดตรงข้ามประตู หรือหันหน้าไปทางทิศใต้
