หลังจากที่ไปซื้อยาให้ป้าหวังใน่เย็นเสร็จแล้ว หยางเฉินและหลินรั่วซีก็กลับมาที่บ้านทันที
หยางเฉินเดินเข้ามาในห้องนอนของตัวเอง ที่นอกหน้าต่างเขาเห็นหิมะกำลังตกลงมาไม่ขาดสาย จนบางจุดเต็มไปด้วยสีขาวโพลนและบางจุดก็มีหิมะอยู่เล็กน้อย เกล็ดหิมะเ่าั้ดูคล้ายกับกำมะหยี่สีขาวสะอาดที่ละลายไปอย่างช้าๆ
ในเมืองใหญ่อย่างเจียงหนานแห่งนี้ ไม่บ่อยนักที่จะเกิดหิมะตกติดต่อกันหลายวัน แต่เนื่องจากอุณหภูมิที่ลดลงต่ำกว่าปกติทำให้เมืองทั้งเมืองแทบจะกลายเป็ทะเลหิมะสีขาวโพลน
“เจ็ดถึงแปดองศา... อีกไม่นานคงต่ำกว่าศูนย์องศาแน่ๆ” หยางเฉินพึมพำกับตนเอง เมื่อมองไปยังเลขบอกอุณหภูมิบนหน้าจอโทรศัพท์
ดูเหมือนว่าคืนนี้อุณหภูมิทั่วทั้งเมืองจะลดลงอีกมากจนต่ำกว่าศูนย์องศา ทันใดนั้นโทรศัพท์ของหยางเฉินก็สั่นขึ้นมา เขามองไปที่หน้าจอและพบว่ามันเป็เบอร์ของโม่เชี่ยนนี ผู้หญิงคนนี้บอกเขาว่าเธอให้อิสระในเื่การคบผู้หญิงกับเขา แต่ถ้าลืมเธอไปหรือไม่รับสายล่ะก็ เธอคงจะกลายเป็เด็กใจแตกหาเื่มาให้เขาเหนื่อยใจอีกแน่นอน
“ที่รักเห็นหรือเปล่าคะ?”
"เห็นอะไรครับ?"
"หิมะ!"
“คุณตื่นเต้นมากเลยเหรอ?”
“ไม่หรอก ฉันแค่รู้สึกเสียใจเล็กน้อยเท่านั้น” โม่เชี่ยนนีกล่าว
“ทำไมล่ะครับ?” หยางเฉินถาม
โม่เชี่ยนนีเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น “เพราะเวลาฉันมองหิมะแล้วรู้สึกหนาวยังไงล่ะคะ”
อารมณ์เหงาปนเศร้าของโม่เชี่ยนนีที่ส่งให้หยางเฉินผ่านทางโทรศัพท์ ทำให้เขารู้สึกเช่นเดียวกับเธอ หิมะนั้นหนาวและบางครั้งก็ดูเศร้าเช่นกัน
“งั้นให้ผมไปหาคุณที่บ้านนะ” หยางเฉินเอ่ยขึ้น
ในตอนนี้โม่เชี่ยนนีอาศัยอยู่ที่อะพาร์ตเมนต์เพียงคนเดียว ทำให้เธอดูเหงาเป็พิเศษ ยิ่งในคืนที่หิมะตกหนักราวกับพายุเช่นนี้ก็ยิ่งแล้วใหญ่
“ไม่ต้องมาหรอกค่ะ เดี๋ยวฉันจะหลับแล้ว อย่าเห็นฉันเป็เด็กขี้เหงาที่ยังไม่โตสิ” โม่เชี่ยนนีกล่าวออกมาขณะอมยิ้มไปด้วย
“งั้นคุณจะให้ผมทำอะไรดีล่ะครับเชี่ยนเชี่ยนน้อย? ให้ผมกอดคุณจนกระทั่งคุณหลับไปในอ้อมแขนของผมจะไม่ดีกว่าเหรอ” หยางเฉินหยอกล้อเธอ
โม่เชี่ยนนีแค่นเสียงออกมาเล็กน้อย พร้อมทั้งหัวเราะออกมา “นายแน่ใจเหรอว่าจะกอดฉันอย่างเดียว?”
“เอ่อ...” หยางเฉินรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ
โม่เชี่ยนนีเงียบลงไปอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยถามเขาอีกครั้ง “หยางเฉิน หลังจากเสร็จงานแล้วนายว่างหรือเปล่า?”
“ทำไมเหรอครับ?”
“ฉันอยากให้นายไปงานเลี้ยงพร้อมกับฉันน่ะ” โม่เชี่ยนนีตอบ
หยางเฉินรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะแค่นยิ้มขมขื่นออกมา “งานเลี้ยงตระกูลหลิวเหรอครับ”
“นายรู้ได้ยังไง?” โม่เชี่ยนนีถามด้วยความประหลาดใจ
“เพราะรั่วซีจะพาผมไปด้วยน่ะสิ” หยางเฉินกล่าว
โม่เชี่ยนนีถอนหายใจออกมาผ่านทางโทรศัพท์ “รั่วซีไม่ค่อยชอบงานแบบนี้เท่าไหร่นัก ดูเหมือนครั้งนี้เธอจะพานายไปเปิดตัว”
“ใช่ บางทีผมก็คิดว่าเธอมีบุคลิกหลายอย่างที่ดูขัดแย้งกันอยู่” หยางเฉินตอบอย่างเชื่องช้า
“คงเป็เพราะว่าเธออยากจะให้สามีของเธอเป็คนมีหน้ามีตาในสังคม นายลองคิดดูสิ ภรรยาที่ไหนไม่อยากจะช่วยเหลือสามีของตัวเองให้ได้ดิบได้ดีมากกว่าเดิมบ้างล่ะ?”
“ผมถึงบอกไงว่าเธอดูขัดแย้งกับตัวเองแปลกๆ”
โม่เชี่ยนนีตอบเขาอีกครั้ง “ฉันคิดว่าจะไม่ไปงานเลี้ยงครั้งนี้นะ ไม่งั้นมันคงดูน่าอึดอัดแย่” น้ำเสียงของโม่เชี่ยนนีดูเศร้าและโดดเดี่ยวเป็อย่างมาก จนหยางเฉินรู้สึกผิดขึ้นมา เขาทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง ที่ข้างนอกหิมะกำลังตกลงมาไม่ขาดสาย
ทำให้หยางเฉินเกิดนึกอะไรขึ้นมาได้ “ที่รัก พรุ่งนี้เมืองนี่กำลังจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะแล้วนะครับ”
“อืม... แล้วยังไงเหรอ?”
“ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้ไปกับคุณในวันศุกร์ก็ตาม แต่พรุ่งนี้เราก็ยังมาเจอกันได้นี่ครับ คิดเสียว่าแทนคำขอโทษที่ผมไม่ค่อยได้อยู่ดูแลคุณก็ได้” หยางเฉินกล่าว
โม่เชี่ยนนีหัวเราะออกมาพร้อมทั้งยกยิ้มขึ้น “พรุ่งนี้นายไม่ทำงานทำการหรือไง นายคิดว่าตัวเองเป็องค์จักรพรรดิหรือพระสันตะปาปาที่เอาแต่กินกับนอนอยู่เฉยๆ โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลยเหรอ?”
“แล้วคุณจะไปกับผมมั้ยล่ะ?” หยางเฉินถามโดยไม่ใส่ใจการหยอกล้อของเธอ
“อืม... ได้สิ แต่นายต้องให้ฉันเป็คนเลือกสถานที่นะ” โม่เชี่ยนนีกล่าว
บางทีโม่เชี่ยนนีอาจจะพาเขาไปยังสถานที่แปลกๆ? หยางเฉินคิดในใจ “งั้นวันพรุ่งนี้คุณมาทานอาหารกลางวันกับผม แล้วตอนบ่ายผมจะพาคุณไปที่ที่คุณ้าเอง”
เช้าวันถัดมาในเมืองจงไห่ ลมหนาวพัดผ่านใบหน้าของหยางเฉินพร้อมกับละอองหิมะอันหนาวเหน็บ ทำให้หยางเฉินรู้ว่าฤดูหนาวได้มาถึงแล้ว
หยางเฉินสวมเสื้อสีฟ้าคอสูง พร้อมกับเสื้อโค้ตสีดำมีแถบสีขี้เถ้าพาดผ่านเล็กน้อย ทำให้เขาดูเป็คนที่กำลังจะออกจากบ้านตามปกติ
หลังจากที่หยางเฉินเข้าไปซื้ออาหารเช้าให้กับแผนกประชาสัมพันธ์ ดูเหมือนว่าวันนี้พนักงานในแผนกจะมาทำงานสายหลายคนเนื่องจากติดกองหิมะที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองทำให้การเดินทางและการคมนาคมหยุดชะงักไป
หลังจากที่เดินออกจากแผนกประชาสัมพันธ์ หยางเฉินก็เดินข้ามฝั่งไปยังบริษัทบันเทิงอวี้เหล่ยที่อยู่ตรงข้ามในทันที
ถึงแม้ว่าในบริษัทจะยังไม่มีงานออกมาเป็รูปธรรม แต่จ้าวเถิงและหวังจี้ก็ยังทำงานร่วมกันอย่างขยันขันแข็ง แทบจะพูดได้ว่างานเกือบครึ่งที่ถูกส่งต่อมายังบริษัทบันเทิงแห่งนี้นั้น ทั้งคู่สามารถจัดการมันได้อย่างดีเยี่ยม
ทันทีที่หยางเฉินเดินเข้ามาในสำนักงาน หวังจี้ที่กำลังรับโทรศัพท์อยู่ก็วางสายและลุกขึ้นต้อนรับเขาในทันที เธอหันมาพูดกับเขาอย่างกระฉับกระเฉงและมีความสุข
“ผู้อำนวยการคะ ตอนนี้มีบริษัท้าจะร่วมลงทุนกับเราด้วย จะมีการพูดคุยเื่หัวข้อการลงทุนและโปรเจกต์ต่างๆ ในวันพรุ่งนี้ ดิฉันคาดว่าจะมีการลงทุนราวๆ 100 ล้านเป็อย่างต่ำค่ะ ดิฉันคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะมีบริษัทเล็กๆ ที่มีเงินทุนมากมายขนาดนี้อยู่ในจงไห่ด้วย”
หยางเฉินยิ้มตอบรับคำพูดของเธอ แน่นอนว่าบริษัทนั้นต้องเป็ของเฉียงเวยที่ซื้อเอาไว้อยู่ก่อนหน้า เพื่อไม่ให้การเคลื่อนไหวของเธอดูโดดเด่นเกินไป ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะติดต่อมาได้ไวถึงขนาดนี้
“ถนนมีหนทางให้วิ่งอยู่มากมาย ผมไม่แปลกใจนักที่จะมีบริษัทระดับเล็กไปจนถึงปานกลางอยากจะเข้ามาร่วมลงทุนกับเรา” หยางเฉินกล่าว
“นี่เป็เื่ใหญ่มากค่ะ ถึงแม้ว่าเราจะสามารถกู้เงินจากธนาคารได้ แต่บริษัทของเราก็ยังคงเป็บริษัทเพิ่งสร้างอยู่ดี ไม่มีทางที่ธนาคารจะให้เรากู้เงินถึง 100ล้านแน่ๆ” หวังจี้กล่าวด้วยความตื่นเต้น
หลังจากที่พูดคุยถึงแผนการและอนาคตของบริษัทเสร็จแล้ว หยางเฉินก็ออกมาจากบริษัทบันเทิงอวี้เหล่ยและมุ่งหน้าไปหาโม่เชี่ยนนีทันที
หลังจากที่โทรศัพท์หาโม่เชี่ยนนีไม่นาน หยางเฉินก็มาถึงที่ที่นัดกับเธอเอาไว้
โม่เชี่ยนนียืนรออยู่ริมถนน ผมยาวสลวยของเธอถูกรวบเก็บเอาไว้อย่างสวยงาม เธอใส่เสื้อแฟชั่นฤดูหนาวสีกาแฟกับกางเกงขายาวสีแดงตะกั่ว ด้วยสไตล์การแต่งตัวของเธอทำให้ผู้ชายแถวๆ นั้นจ้องมองมาอย่างเคลิบเคลิ้ม
นี่เป็ครั้งแรกที่หยางเฉินเห็นโม่เชี่ยนนีในชุดฤดูหนาว ทำให้เขาอดแปลกใจและชื่นชมความสวยของเธอไม่ได้
โม่เชี่ยนนีรู้สึกพอใจอยู่เล็กน้อยที่เห็นหยางเฉินมองมาที่เธอ “เสื้อสวยมั้ย?”
“เสื้อไม่ได้สวย คนใส่ต่างหากที่สวย” หยางเฉินกล่าว
โม่เชี่ยนนีคลี่ยิ้มออกมาที่มุมปาก “พูดได้ดี มารับรางวัลสิ”
เมื่อพูดจบเธอก็โน้มใบหน้าของหยางเฉินลงมาจูบครั้งหนึ่ง
หยางเฉินถือโอกาสนี้เลื่อนปากของเขาไปรับจูบของเธอในทันที “เราจะไปทานข้าวกันที่ไหนดีครับ?”
“นายขับสิ เดี๋ยวฉันบอกทางเอง” โม่เชี่ยนนีตอบ
หยางเฉินพยักหน้าให้เธอ ดูเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้มีที่ที่อยากจะพาเขาไปให้ได้จริงๆ
ภายใต้การนำทางของโม่เชี่ยนนี หลังจากที่เวลาผ่านไปได้ครึ่งชั่วโมงหยางเฉินก็ขับรถมาจนถึงทางด้านตะวันตกของเมืองจงไห่ไม่นานนัก ต่อจากนั้นพวกเขาก็เข้าสู่ถนนหลวงทางตอนเหนือของเมืองที่เต็มไปด้วยูเาที่สลับซับซ้อนเป็ฉากหลัง
หยางเฉินมองภาพตรงหน้าด้วยความตกตะลึง ข้างทางของถนนเต็มไปด้วยทุ่งกว้างที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะที่สะท้อนแสงเป็ประกายภายใต้แสงอาทิตย์
หลังจากที่ขับมาตามทางที่โม่เชี่ยนนีบอกเรื่อยๆ หยางเฉินก็ขับรถมาถึงฟาร์มขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
รอบๆ ฟาร์มมีหมู่บ้านขนาดเล็กอยู่ เหล่าชาวนาและเกษตรกรที่นี่เปิดให้คนเมืองได้เข้ามาััความเป็ชนบท หลายๆ คนมาที่นี่เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายในตัวเมือง บางครั้งก็เข้ามาทานอาหารอย่างช้าๆ พร้อมทั้งสูดอากาศของธรรมชาติอันงดงามนี้ไปด้วย
มีบ้านบางหลังที่ถูกสร้างขึ้นจากไม้ไผ่ บางส่วนของตัวบ้านเป็ที่รับประทานอาหาร ชาวนาและเกษตรกรเหล่านี้ให้บริการคล้ายๆ กับโฮมสเตย์
โดยมีที่จอดรถกระจายอยู่ทั่วทั้งหมู่บ้าน แต่มีรถยนต์จอดอยู่เพียงไม่กี่คันเท่านั้น เนื่องจากวันนี้ยังไม่ใช่่วันหยุด ทำให้ไม่ค่อยมีคนเดินทางมามากนัก
หยางเฉินถามโม่เชี่ยนนีด้วยความสงสัย “คุณรู้จักที่นี่ได้ยังไง?”
“บางครั้งฉันก็เบื่อที่ทำงานเลยมาขับรถเล่น จนกระทั่งวันหนึ่งฉันขับมาเจอที่แห่งนี้โดยบังเอิญน่ะค่ะ” โม่เชี่ยนนีตอบ
หยางเฉินเผยรอยยิ้มขึ้นมาขณะที่มองไปยังโม่เชี่ยนนี เขารู้ดีว่าหญิงสาวกำลังจะบอกว่า เธอมีความสุขมากที่ได้มาถึงที่อันเงียบสงบแห่งนี้พร้อมกับคนที่เธอรัก
อาหารที่เสิร์ฟมาเป็อาหารที่ไม่มีรสชาติฉูดฉาดนัก เนื่องจากเป็อาหารของเหล่าเกษตรกรโดยแท้จริง
ทั้งคู่ทานซุปที่เสิร์ฟมาถึงสี่ถ้วยก่อนจะนั่งพูดคุยกันในห้องรับแขกแสนอบอุ่น พร้อมทั้งดื่มด่ำบรรยากาศของธรรมชาติที่งดงามไปในตัว
หลังจากที่ทานอาหารกันเสร็จ หยางเฉินก็เอ่ยถามโม่เชี่ยนนีขึ้น “เราจะไปไหนต่อในตอนบ่ายดีครับ?”
โม่เชี่ยนนีหันไปมองที่เนินเขาด้านนอกด้วยสายตาพร่ามัว หมอกสีขาวที่ปกคลุมอยู่้าทำให้กลิ่นหญ้าโชยเข้ามาข้างใน
มันทำให้เธอรู้สึกสงบและรู้สึกว่ากลิ่นอายนี้ มาจากธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์อย่างแท้จริง
“ที่นี่ปีนเขาได้หรือเปล่า?” หยางเฉินเอ่ยถามเธออีกครั้ง
โม่เชี่ยนนีพยักหน้าตอบเขาเบาๆ “ชาวนาที่นี่เคยบอกฉันว่า เราสามารถปีนขึ้นไป้าเพื่อชมวิวได้ แต่พวกเขาบอกว่าตอนนี้ไม่ควรจะขึ้นไปนะ”
หยางเฉินยิ้ม “คุณกลัวเหรอ?”
“ใครกลัวกัน?” โม่เชี่ยนนีหันกลับมามองหยางเฉินด้วยสีหน้าจริงจัง “นายอยากจะทดสอบความกล้าของลูกผู้หญิงมั้ยล่ะ?”
“ถ้าอย่างนั้นเราไปปีนเขากันเถอะครับ” หยางเฉินพูดจบแล้วลุกขึ้นยืนทันที
เนื่องจากูเาที่ทั้งคู่จะไปปีนนั้นไม่สูงมากนัก ในความเป็จริงแล้วมันก็เป็แค่เนินเขาที่ไม่ชันสักเท่าไร อีกทั้งยังมีถนนตัดขึ้นไปบนูเาด้วย ทำให้การปีนเขาของทั้งคู่เป็ไปอย่างราบรื่นในที่สุด
ในระหว่างทางที่ทั้งสองเดินผ่านมีต้นไม้ขึ้นเรียงรายอยู่ตามทาง ส่วนใหญ่เป็ต้นไซเปรสและต้นสนไร้ใบ
ระหว่างที่ทั้งสองก้าวเดินไปตามหนทางอันทอดยาวและปกคลุมไปด้วยหิมะ รองเท้าของทั้งคู่ก็ย่ำลงบนพื้นด้วยเสียง
“สวบ สวบ”
หยางเฉินเป็คนเดินนำอยู่ด้านหน้า ในขณะที่โม่เชี่ยนนีกำลังเดินตามเขามาอย่างใกล้ชิด โม่เชี่ยนนีสางผมของเธอเบาๆ ครั้งหนึ่งพร้อมทั้งมองไปยังกองหิมะที่อยู่ด้านล่าง “หยางเฉิน ฉันชอบเสียงนี่จริงๆ”
“เสียงอะไรเหรอครับ?” หยางเฉินถาม
“เสียงเท้าของนายกับฉันที่กำลังย่ำลงไปบนพื้นหิมะยังไงล่ะ” โม่เชี่ยนนีตอบ
หยางเฉินยิ้มออกมา “มันพิเศษยังไงเหรอครับ?”
“ในวันที่อากาศหนาว ูเาแห่งนี้ถูกตัดขาดออกจากโลกด้านนอกที่ดูวุ่นวาย ฉันยังคงได้ยินเสียงฝีเท้าใครสักคนที่อยู่ข้างๆ ฉัน ฉันอยากจะฟังเสียงฝีเท้าของคนคนนั้น เดินไปกับฉันและทิ้งรอยเท้าเ่าั้ประทับไว้บนถนนที่เราเดินเคียงคู่กันมา” โม่เชี่ยนนีเอื้อนเอ่ยอย่างเชื่องช้า
หยางเฉินประทับรอยเท้าลงบนหิมะ ก่อนจะหันกลับไปมองรอยเท้าด้านหลัง มันเป็เหมือนกับความทรงจำที่เพิ่งจะผ่านไปไม่นาน แต่สุดท้ายมันก็ถูกจารึกเอาไว้บนผืนหิมะ
“หมู่บ้านคุนชานเป็พื้นทีู่เาเสียส่วนใหญ่ ในตอนที่ฉันยังเป็เด็ก ฉันเคยวิ่งเล่นไปบนกองหิมะเช่นเดียวกับวันนี้ แต่ในตอนนั้นฉันวิ่งไกลออกไปจากหมู่บ้าน ไปยังที่ที่ไม่เคยรู้จัก รู้ตัวอีกทีก็มีแค่ฉันเพียงคนเดียวแล้ว ลมหายใจที่พ่นออกมาจากปากจนระเหยกลายเป็ไอในวันนั้นเป็สิ่งที่ฉันไม่มีวันลืมมันไปได้ จังหวะหายใจ เสียงฝีเท้าและเสียงหัวใจเต้น มันทำให้รู้สึกว่าโลกนี้เหลือแค่ฉันเพียงคนเดียว” โม่เชี่ยนนีเผยรอยยิ้มออกมา “และในที่สุดฉันก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของคนที่จะมาอยู่ข้างๆ ฉันแล้ว”
“เด็กโง่” หยางเฉินมองไปยังโม่เชี่ยนนีด้วยสายตาอบอุ่น “คุณควรจะวิ่งเล่นตอนหิมะหยุดตกสิ หรือจะแค่เดินก็ได้ ขืนทำเช่นนั้นอีกเดี๋ยวก็ได้แข็งตายเอาหรอกครับ”
โม่เชี่ยนนีย่นจมูกลงและวิ่งตามหยางเฉินไปอย่างรวดเร็ว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้