เจิ้งซูอี้กับหลิวตงจวิ้นยังคงขึ้นเขาล่าสัตว์เหมือนเดิม สองพ่อลูกมักจะได้สัตว์ใหญ่กลับมาด้วยทุกครั้ง สร้างความอิจฉาให้ใครหลายคนโดยเฉพาะคนตระกูลหลิวที่มักจะตีอกชกตัวทุกครั้งเมื่อหลิวตงจวิ้นนำสัตว์ป่าไปขายในเมือง แต่ที่น่าใกว่านั้นคือแม่เฒ่าจางนางไม่ไปตามรังควานบ้านหลิวตงจวิ้นเหมือนแต่ก่อน จางซานเหนียงที่ทำหน้าที่เป็กองหนุนให้นางก็ยังรู้สึกแปลกใจเช่นเดียวกัน ปกติแม่เฒ่าจางจะไม่ยอมเสียเปรียบให้ผู้ใดแต่ครั้งนี้กลับดูเงียบไปเมื่อพูดถึงบ้านของหลิวตงจวิ้น มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่หรือว่าแผ่นดินกำลังจะตลบพลิกกลับด้าน แม่เฒ่าจางถึงได้เปลี่ยนไปมากเช่นนี้
อู๋เซียนเว่ยได้แวะมาหาหลิวตงจวิ้นในเช้ามืดของวันหนึ่ง บุตรชายคนโตของเขากำลังจะหมั้นหมายกับหญิงสาวของอีกหมู่บ้าน แต่ในมือของอู๋เซียนเว่ยมีเงินไม่มากพอที่จะจัดงานแต่งให้บุตรชายได้เขาจึงต้องบากหน้ามาหาสหายสนิทคนนี้
“อาจวิ้นอยู่หรือไม่”
เสียงเรียกดังขึ้นที่หน้าเรือนเจิ้งซูอี้เป็คนมาเปิดประตู พระอาทิตย์กำลังโผล่พ้นเหลี่ยมเขาทำให้มองเห็นได้ชัดเจนว่าใครเป็ผู้ส่งเสียงเรียกบิดาของนาง
“ท่านอาอู๋ อรุนสวัสดิ์เ้าค่ะท่านพ่อกำลังเตรียมเครื่องมือขึ้นเขาอยู่หลังเรือน เชิญเข้ามาก่อน”
อู๋เซียนเว่ยพยักหน้าแล้วเดินตามเจิ้งซูอี้เข้าไปด้านใน เขาสังเกตเด็กสาวที่ตนกำลังเดินตามห่างๆ อู๋เซียนเว่ยรู้สึกเหมือนว่าหลิวอันอันจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยหลังจากที่ได้พบกันครั้งสุดท้าย แต่เปลี่ยนไปอย่างไรนั้นเขาเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน
“อ้าวอู๋เซียนเว่ยเ้ามาหาข้าเช้าเพียงนี้มีธุระสำคัญหรือ”
อู๋เซียนเว่ยมีท่าทีอึกอักเหมือนมีเื่สำคัญจะพูดกับเขา เจิ้งซูอี้เห็นดังนั้นนางจึงเดินเลี่ยงออกไป
“อาจวิ้นข้ามีเื่อยากมาขอร้องเ้าสักหน่อย เมื่อเ้าฟังที่ข้าพูดจบแล้ว เ้าจะตัดสินใจอย่างไรข้าล้วนเคารพการตัดสินใจของเ้า”
หลิวตงจวิ้นมองสหายสนิทด้วยสายตาสงสัยเหตุใดเขาจึงมีท่าทางดูอึดอัดเช่นนี้ ทั้งสองเติบโตมาพร้อมกันหลิวตงจวิ้นย่อมรู้ว่านิสัยของอู๋เซียนเว่ยเป็อย่างไร หากไม่มีเื่หนักใจจริงๆ วันนี้เขาคงไม่รีบมาหาเขาั้แ่ตะวันยังไม่ขึ้นเช่นนี้
“เอาเถอะไม่ว่าเ้ามีเื่หนักใจอันใดข้าก็จะรับฟังเ้าทั้งหมด อาเว่ยเ้าลืมไปแล้วหรือว่าทั้งเ้าและข้าล้วนเป็สหายที่เติบโตมาด้วยกันอย่าได้เกรงใจข้าจนเกินไป ที่ผ่านมาเ้าช่วยเหลือครอบครัวข้ามาตลอดข้าเองก็นึกขอบคุณ หากมีสิ่งใดที่ข้าพอจะช่วยเหลือเ้าได้เ้ารีบบอกข้ามาเถอะ”
อู๋เซียนเว่ยสูดหายใจเข้าแรงๆ จากนั้นจึงตัดสินใจเล่าเื่ที่บุตรชายคนโตของเขากำลังจะหมั้นหมาย แต่ตอนนี้เงินของเขามีไม่พอจึงมาขอร้องให้หลิวตงจวิ้นพาเขาขึ้นเขาล่าสัตว์ด้วยคน เพราะระยะหลังหลิวตงจวิ้นล่าสัตว์ใหญ่ได้ทุกวัน หากเขาติดตามไปด้วยบางทีตัวเขาอาจจะได้ของมีค่าจากป่าใหญ่กลับมาด้วยก็ได้
“ข้าไม่รู้ว่าจะเป็การขอที่มากเกินไปหรือไม่ อาจวิ้นข้ารู้ว่าเคล็ดลับการล่าสัตว์ของแต่ละคนไม่เหมือนกันและไม่สามารถถ่ายทอดให้ผู้อื่นที่มิใช่ครอบครัวของตนได้ แต่ครั้งนี้ข้าขอร้องเ้าได้หรือไม่”
หลิวตงจวิ้นยกมือขึ้นตบที่หัวไหล่ของอู๋เซียนเว่ยเบาๆ
“จะต้องมาขอร้องอันใดกันเล่า เ้าเป็สหายของข้าเื่เล็กน้อยแค่นี้หาใช่เื่ใหญ่อันใด เ้ากลับไปที่เรือนเตรียมของขึ้นเขาแล้วกลับมาหาข้าที่นี่”
อู๋เซียนเว่ยเหมือนได้รับน้ำทิพย์ชโลมจิตใจ เขาพยักหน้าทั้งรอยยิ้มจากนั้นจึงรีบหุนหันออกจากเรือนไป เจิ้งซูอี้ช่วยแม่นางหวังมารดาของหลิวอันอันทำเจียนปิ่งไส้เนื้ออยู่ในครัวเพื่อเก็บเอาไว้เป็เสบียง
“ทำเพิ่มอีกสักห้าอันเถิดเ้าค่ะ”
เจิ้งซูอี้เดาว่าที่อู๋เซียนเว่ยมาหาหลิวตงจวิ้นคงเพราะ้าขึ้นเขาล่าสัตว์ไปกับพวกนางด้วย ทำเผื่อเอาไว้สักหน่อยคงไม่เป็ไร ผ่านไปไม่นานอู๋เซียนเว่ยก็กลับมาพร้อมอุปกรณ์ล่าสัตว์ในมือ ด้านหลังของเขามีเด็กหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปีคนหนึ่งท่าทางขี้อายยืนอยู่ จากความจรงจำของหลิวอันอันบอกว่าเขาคือบุตรชายของคนโตอู๋เซียนเว่ยชื่ออู๋จื่อคุน
“มาแล้วหรือ เช่นนั้นพวกเราก็ไปกันเถอะสายมากแล้ว”
ตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นสว่างทั่วทั้งท้องฟ้า เสียงสัตว์เล็กสัตว์น้อยและแมลงส่งเสียงดังระงมไปทั่วผืนป่า เจิ้งซูอี้สะพายตะกร้าใบโปรดเอาไว้ด้านหลัง ข้างในมีเสบียงและกระบอกน้ำที่แม่นางหวังใส่เอาไว้ให้พวกเขาพ่อลูกกินระหวางขึ้นเขา อู๋เซียนเว่ยมองมาที่เจิ้งซูอี้ด้วยท่าทางสงสัย เหตุใดสหายรักของเขาจึงให้บุตรสาวตามมาด้วยมันอันตรายมากเลยเขาไม่รู้หรือ แต่ถึงจะสงสัยอย่างไรเขาก็ไม่ได้ถามออกมา อู๋จื่อคุณที่เดินรั้งท้ายมองเจิ้งซูอี้เป็ระยะนางรู้ว่าเขาแอบมองหากแต่นางแต่ไม่ได้สนใจ ทั้งสี่เดินขึ้นเขามาได้ราวสองชั่วยามก็พบกับกับดักสัตว์ที่พ่อลูกทำเอาไว้ก่อนหน้านี้ ในหลุมขนาดใหญ่ที่พวกเขาขุดเอาไว้มีหมูป่าขนาดรุ่นๆ สองตัว อู๋เซียนเว่ยและบุตรชายถึงกับตาเบิกโตด้วยความใ
“นี่มัน!!!แค่นี้ก็ได้แล้วอย่างนั้นหรือ”
เขาไม่คิดว่าการล่าสัตว์มันจะง่ายดายเพียงนี้ ช่างผิดกับพวกเขาที่ต้องเดินตามรอยสัตว์เป็วันๆ หากใช้ธนูยิงแล้วพลาดพวกสัตว์รู้ตัววิ่งหนีไปได้ เช่นนั้นก็เป็การตามที่สูญเปล่า
เจิ้งซูอี้ปลดธนูที่ไหล่ของนางแล้วยิงลงไปในหลุม ธนูทั้งสองดอกยิงเข้าที่คอเ้าหมูป่าอย่างแม่นยำเป็อีกครั้งที่อู๋เซียนเว่ยและบุตรชายต้องตกตะลึง
“อาจวิ้นบุตรสาวของเ้า”
เขาไม่รู้เลยว่าหลิวอันอันจะมีความสามารถมากขนาดนี้ หลิวตงจวิ้นยืดอกแสดงท่าทางภาคภูมิใจในตัวบุตรสาวของตน
“นางเก่งกาจได้บิดาอย่างข้าอย่างไรเล่า”
แล้วหลิวตงจวิ้นก็หัวเราะฮ่าๆ ออกมาเสียงดัง เจิ้งซูอี้ได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ นางไม่รู้เลยว่าหลิวตงจวิ้นจะเป็พวกชอบอวดบุตรสาวขนาดนี้ คนทั้งสี่ทิ้งเ้าหมูป่าเอาไว้ในหลุมจากนั้นจึงเดินเข้าไปในหุบเขาที่ลึกกว่าเดิม
“ท่านพ่อพวกท่านเดินไปก่อนข้ามีเื่ที่ต้องทำเ้าค่ะ”
บุรุษทั้งสามคิดว่าเจิ้งซูอี้้าจะปลดทุกข์พวกเขาจึงเดินเลี่ยงไปอีกทาง
“” ได้สิ เ้าระวังตัวด้วยแล้วรีบตามมาเล่า”
เจิ้งซูอี้พยักหน้าให้หลิวตงจวิ้น เมื่อพวกเขาเดินหายไปจนลับสายตานางจึงหันมาสนใจสิ่งที่ตนเองจะทำ ความจริงเจิ้งซูอี้พบพืชชนิดหนึ่งที่ทำให้เกิดตุ่มและมีอาการปวดแสบปวดร้อนเมื่อได้ัั นางไม่้าให้พวกเขารู้ว่านาง้าทำอะไร เจิ้งซูอี้เอาเศษผ้าห่อสมุนไพรต้นนั้นยัดลงไปในกระบอกไม้ไผ่เพราะนางกลัวว่าตนเองจะเผลอไปจับมันเข้า จากนั้นจึงรีบวิ่งตามคนทั้งสามไป
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปนานแล้วคนทั้งสี่แบกหมูป่าสองตัวลงจากเขาพึ่งกลับถึงเรือนของหลิวตงจวิ้น สองพ่อลูกตระกูลอู๋ไม่เคยต้องแบกสัตว์ใหญ่กลับมาเช่นนี้มาก่อน ถึงแม้จะเหนื่อยแต่พวกเขาก็ยังมีรอยยิ้มบนใบหน้า
“เ้าสองคนเอาหมูป่าตัวนี้กลับไปเถอะ พรุ่งนี้หากพวกเ้า้าขายเราค่อยเข้าเมืองไปพร้อมกัน”
อูเซียนเว่ยเอ่ยขอบคุณหลิวตงจวิ้นซ้ำๆ อยู่หลายครั้งก่อนที่พวกเขาพ่อลูกตระกูลอู๋จะแบกหมูป่ากลับเรือนไป เพราะตอนนี้ท้องฟ้ามืดแล้วชาวบ้านกลับเข้าเรือนไปจนหมด จึงไม่มีใครเห็นอู๋เซียนเว่ยและบุตรชายแบกหมูป่ากลับมา มีเพียงคนในบ้านของเขาเท่านั้นที่วันนี้แทบจะนอนไม่หลับเพราะตื่นเต้นที่จะได้เข้าเมืองขายสัตว์ใหญ่ครั้งแรก
หลังจากที่ทุกคนหลับไปนานแล้ว เจิ้งซูอี้ที่เตรียมตัวมาหลายวันก็ได้เวลาที่นางจะต้องจัดการกับคนตระกูลหลิวแล้ว ก่อนออกมานางสวมชุดคล้ายนักรบที่นางแอบทำเอาไว้ แล้วใช้วิชาตัวเบาทะยานตรงไปที่เรือนตระกูลหลิว นางเดินอ้อมไปที่ห้องของแม่เฒ่าจางแล้วเปิดหน้าต่างที่แง้มเอาไว้เพื่อให้ลมผ่าน จากนั้นจึงใช้ก้อนหินดีดไปที่ใบหน้าของนาง แม่เฒ่าจางรู้สึกตัวตื่นเพราะรู้สึกเจ็บที่แก้มของตน แล้วสายตาของนางก็สะดุดบางอย่างที่นอกหน้าต่าง นางเห็นเงาตะคุ่มคล้ายกับร่างของใครบางคนยืนอยู่ เมื่อเพ่งมองให้เต็มตานางก็ต้องใร้องออกมาไม่เป็ภาษา
ทหารในชุดนักรบที่ขาดวิ่นยืนจังก้าอยู่นอกหน้าต่างห้องของนาง ควันกำยานจากธูปที่เจิ้งซูอี้จุดเอาไว้ลอยอ้อยอิ่งขึ้นมายิ่งส่งให้ภาพที่แม่เฒ่าจางเห็นน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม เจิ้งซูอี้ทาเืไก่ป่าที่ใบหน้าและเสื้อผ้าของนางแม่เฒ่าจางได้กลิ่นคาวเืโชยมาทำให้ดูเหมือนมีทหารร่างโชกเืยืนอยู่นอกหน้าต่างห้องของนางจริงๆ
แม่เฒ่าจางทำเสียงอึกอักร้องไม่ออกเพราะความกลัว เจิ้งซูอี้ยกนิ้วขึ้นชี้ไปที่นางจากนั้นแม่เฒ่าจางก็รู้สึกว่ามีน้ำอะไรบางอย่างกระเด็นมาโดนใบหน้าของตน ความจริงมันคือสมุนไพรที่ทำให้เกิดอาการตุ่มพองและแสบร้อนนั่นเอง เจิ้งซูอี้บดมันจนละเอียดแล้วกรองเอาแค่น้ำของมันเท่านั้น
เมื่อเล่นหลอกผีแม่เฒ่าจางจนพอใจนางก็ใช้ก้อนหินดีดไปที่จุดชีพจรของหญิงชราทำให้นางหลับไป เจิ้งซูอี้ค่อยๆ ปิดหน้าต่างเอาไว้ตามเดิมจากนั้นจึงนำน้ำสมุนไพรไปพรมตามเสื้อผ้าของคนบ้านหลิวที่ตากเอาไว้นอกเรือน หลังจากทำลายหลักฐานทั้งหมดเสร็จแล้วนางจึงตรงไปที่ลำธารเพื่อชำระล้างร่างกายที่เต็มไปด้วยเื ส่วนชุดนักรบที่ขาดวิ่นนางก็ขุดหลุมฝังเอาไว้
เจิ้งซูอี้แอบกลับเข้ามาในเรือนอีกครั้ง หลิวซีฮันน้องชายของหลิวอันอันงัวเงียตื่นขึ้นมา
“ท่านพี่ท่านไปไหนมาหรือ”
เสียงเรียกของหลิวซีฮันทำให้นางสะดุ้งใ เจิ้งซูอี้พาเด็กชายที่เดินไม่ลืมตาปีนกลับขึ้นไปบนเตียงอีกครั้ง
“ข้าไปปลดทุกข์มาเ้ารีบเข้านอนเถอะดึกแล้ว”
นางตบหลังเด็กชายเบาๆ เพื่อเป็การกล่อมให้เขานอนหลับอีกครั้ง เจิ้งซูอี้ทำหลายอย่างในวันนี้ทำให้นางเหนื่อยและเพลียยิ่งนัก หลังจากปิดปากหาวสองสามครั้งนางก็เข้าสู่นิทราตามหลิวซีฮันไป
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้