“ฮูหยินเ้าคะมิใช่ท่านบอกว่าดอกไม้งามกระถางนั้นเป็ดอกไม้ที่มาจากบ้านเกิดเป็เครื่องเตือนให้ท่านคิดถึงบ้าน แล้วเหตุใดจึงนำไปมอบให้ฮูหยินใหญ่เล่าเ้าคะ”
รอจนเดินออกจากเรือนเฉินจื่อ จื่อเซียวเหลียวซ้ายแลขวาเห็นว่าไม่มีคนแล้วจึงเอ่ยความสงสัยของตนออกไป
“คิดถึงหรือ… เมื่อไม่มีบ้านแล้ว ลำพังแค่เก็บเป็ความคิดถึงยังจะมีประโยชน์หรือ?” อาหนูเหม่อมองไปไกลๆ คิ้วโค้งจันทร์เสี้ยวของนางขมวดแน่นเข้าหากัน ไม่รู้ว่าคิดเื่ใดอยู่
“ไปเดินเล่นที่สระบัวกับข้าหน่อย” อาหนูเอ่ยยังคงเซื่องซึมไม่กระปรี้กระเปร่า แต่กลับยังไม่อยากกลับเรือน นางพลันเปลี่ยนทิศทางเดินโดยไม่สนใจว่าจื่อเซียวจะตามมาทันหรือไม่เอาแต่มุ่งหน้าไปยังสวนหลังจวน
จื่อเซียวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่ยิ่งดำมืดลงเรื่อยๆ พลางกล่าวเตือนว่า“ฮูหยินเ้าคะ ฟ้ามืดนัก หากฝนตกก็คงมิใช่เบาๆ ฮูหยินอย่าไปเลยดีกว่าเ้าค่ะ”
ระหว่างพูดนั้นอาหนูก็ยังคงมุ่งหน้าไปทางสวนหลังจวน ไม่ได้เอ่ยตอบแต่อย่างใดนางจึงรีบวิ่งเหยาะๆ ตามอาหนูไป
นางจ้าวรออาหนูออกไปพ้นเรือนเฉินจื่อจนไม่เห็นแผ่นหลังอีกฝ่ายแล้วจึงค่อยมาสังเกตดูดอกไม้เล็กๆ ที่อาหนูนำมามอบให้กระถางนั้นอย่างละเอียด
พูดตามตรงก็คือดอกไม้นั่นเล็กเพียงเท่าฝ่ามือเท่านั้นเหมาะจะวางเล่นไว้บนฝ่ามืออย่างยิ่ง
เพียงแต่นางจ้าวกลับไม่เคยพบเห็นดอกไม้ชนิดนี้มาก่อน แม้แต่ชื่อก็ยังไม่เคยได้ยิน นางจึงเกิดความระแวงขึ้นมาไม่รู้ว่าควรนำดอกไม้นี้วางไว้ในห้องนอนหรือไม่
“เหมยเซียง เ้าเคยเห็นดอกเล็กๆ นี้มาก่อนหรือไม่ รู้หรือไม่ว่าเป็ดอกไม้ชนิดใด?” นางจ้าวเอ่ยถามเหมยเซียง แต่เมื่อถามออกไปแล้วก็กลับรู้สึกว่ากำลังทำเื่ไร้ประโยชน์เหมยเซียงเป็สาวใช้ที่เกิดอยู่ในเรือน จะเคยได้พบเห็นโลกภายนอกอันใดมากมายเื่ที่แม้แต่นางก็ยังไม่รู้ แล้วเหมยเซียงจะไปรู้ได้อย่างไร
จริงดังว่า เหมยเซียงก็ไม่รู้เช่นกัน“รู้อยู่แล้วว่าถามไปก็เหมือนไม่ได้ถาม วันพรุ่งให้เ้าแอบไปสอบถามดูซิว่ามีคนที่รู้หรือไม่”
“เ้าค่ะ บ่าวฟังชัดเจน จำเอาไว้แล้วเ้าค่ะ”เหมยเซียงรับคำพลางชะโงกหัวมาดูดอกไม้นั้น แล้วเดินตามฮูหยินใหญ่เข้าไปในห้องนอน
“ข้าเหนื่อยแล้ว จะพักผ่อนสักหน่อยก่อน เ้าไปแจ้งที่เรือนท่านแม่ทัพทีบอกว่าฮูหยินผู้เฒ่าอนุญาตตามความประสงค์ของท่านแม่ทัพแล้ว”
ฮูหยินใหญ่พูดพลางถอดรองเท้าไม่ได้ถอดเสื้อตัวนอกออกก็เอนตัวลงบนเตียงบรรยากาศในเรือนของฮูหยินผู้เฒ่าเมื่อครู่ดึงเครียดเกินไปทำให้ตอนนี้นางไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแล้ว
“เ้าค่ะฮูหยินใหญ่ บ่าวจะไปแจ้งที่เรือนท่านแม่ทัพเดี๋ยวนี้เ้าค่ะ”เหมยเซียงรับคำอย่างยินดี กำลังจะเปิดม่านออกไป
“เอาเถิด เหมยเซียงเ้ามาประคองข้าไปที่เรือนท่านแม่ทัพด้วยกันเถิดยามนี้จะได้พบหน้าท่านแม่ทัพสักคราช่างยากเสียยิ่งกว่ายาก พอดีว่าเื่นี้เป็สิ่งที่ท่านแม่ทัพอยากฟังเป็ที่สุดเขาจะต้องยอมพบข้าด้วยความเต็มใจเป็แน่”
นางจ้าวพูดพลางใช้มือดันตัวขึ้น หมายจะมาสวมรองเท้า
“ฮูหยินใหญ่อย่าออกไปเลยดีกว่าเ้าค่ะ เมื่อครู่บ่าวเพิ่งดูอากาศข้างนอกไม่แน่ว่าฝนอาจตกลงมายามใดก็ได้นะเ้าคะ” เหมยเซียงรีบวิ่งเข้าไปประคองฮูหยินใหญ่
นางจ้าวนิ่งไปสักพัก แต่แล้วก็สวมรองเท้าต่อ“คิดว่าท่านแม่ทัพต้องกำลังรอฟังข่าวอยู่ เื่ที่ทำให้ท่านแม่ทัพดีใจถึงเพียงนี้หากข้าไม่ไปยามนี้แล้วจะไปยามใดเล่า ห้องหนังสือก็มิใช่ว่าไกลจากเรือนเฉินจื่อระวังให้มากหน่อยก็มิเกิดเื่หรอก ไปกันเถิด”
เมื่อนางจ้าวสวมรองเท้าเรียบร้อยแล้วก็เดินนำหน้าออกไปโดยไม่ได้สนใจเหมยเซียง
“ฮูหยินเ้าคะ รอบ่าวด้วยเ้าค่ะ บ่าวจะไปเอาร่มก่อน” เหมยเซียงเห็นว่าฮูหยินใหญ่ตัดสินใจแน่วแน่แล้วจึงรีบวิ่งตามไป
ข้างนอกลมพัดมาเบาแรงสลับกัน ยามลมพัดผ่าน แม้เวลานี้จะเป็ฤดูร้อนแต่ก็ยังมีความเย็นโชยมา
เพราะลมฝนกำลังจะมา เมฆดำพัดผ่านบนท้องฟ้าก้อนแล้วก้อนเล่ากลับทำให้มองเห็นทัศนียภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เพียงแต่ยามนี้จิตใจทั้งหมดของนางจ้าวล้วนมิได้อยู่ที่การชื่นชมทิวทัศน์งดงามใจนางโบยบินไปหาท่านแม่ทัพนานแล้ว นางไม่เคยทำเื่ใดที่ทำให้ท่านแม่ทัพพึงพอใจได้มาก่อนเลยวันนี้อุตส่าห์ทำสำเร็จเื่หนึ่ง คิดว่าท่านแม่ทัพจะต้องดีใจอย่างมากกระมัง
นางจินตนาการว่าเมื่อท่านแม่ทัพได้ยินข่าวจะเห็นความดีของนางมากขึ้นหรือไม่ จะคิดว่านางเป็คนที่สามารถจัดการเื่ใหญ่ในจวนได้หรือไม่
แม้จะรู้ว่าเื่นี้เป็สิ่งที่ท่านแม่ทัพเสนอออกมาเองแต่ในยามที่ต้องแก้ปัญหาเื่ต่างๆ ก็ยังต้องให้นางออกหน้ามิใช่หรอกหรือ? มิเช่นนั้นท่านแม่ทัพก็จะไม่มาหารือกับนาง
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ฝีเท้าของนางจ้าวก็ฉับไวขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
“ฮูหยินใหญ่โปรดเดินช้าลงหน่อย ระวังร่างกายท่านด้วยเ้าค่ะ”เหมยเซียงเห็นว่าจู่ๆ ฮูหยินใหญ่ก็เดินอย่างเร่งรีบ นางตื่นใจนใบหน้าน้อยๆซีดขาวไปหมด หากฮูหยินใหญ่มาหกล้มด้วยเหตุนี้และกระเทือนต่อครรภ์คนแรกที่ฮูหยินผู้เฒ่าจะไม่ละเว้นก็คือตัวนางแล้ว
นางจ้าวได้ยินคำก็เดินช้าลงเล็กน้อย เพียงแต่จิตใจที่อยากจะไปพบท่านแม่ทัพโดยเร็วกลับเร่งร้อนขึ้นมาเป็พักๆดีที่มองเห็นห้องหนังสืออยู่ไกลๆ ข้างหน้าแล้ว เดินอีกไม่กี่ก้าวก็ถึงที่หมาย
ในห้องหนังสือหั่วอี้กำลังเขียนเอกสารราชการของกองพิทักษ์เมืองอยู่ เดิมทีพอตื่นมาเขาก็คิดจะนัดองค์หญิงทานอาหารเช้าด้วยกันแต่กลับนึกขึ้นมาได้ว่าคืนวานนี้เอาแต่ห่วงเื่ช่วยองค์หญิงออกมาจากห้องเก็บฟืนจนหลงลืมไปว่ายังมีงานราชการที่ยังทำไม่เสร็จจึงรีบมาที่ห้องหนังสือั้แ่เช้าตรู่
เมื่อหั่วอี้เขียนบรรทัดสุดท้ายเสร็จก็ยืดแขนทั้งสองข้างออกเพื่อผ่อนคลายกระดูกเส้นเอ็นคิดว่าในที่สุดก็เขียนเสร็จ กลับไปหาองค์หญิงได้เสียที ใจเขาก็ยิ้มขึ้นมา
เขาอยากทำงานให้เสร็จโดยไวจะได้รีบกลับไปอยู่เป็เพื่อนองค์หญิงจึงทำงานอย่างรีบเร่งจนดวงตาเมื่อยล้าไปหมด ชายหนุ่มนวดคลึงดวงตาที่เมื่อยล้า ทันใดนั้นเองก็เห็นดวงตาที่สื่อความได้ขององค์หญิงคล้ายกำลังอมยิ้มจ้องมองเขาแย้มยิ้มมาให้
“องค์หญิง ท่านมาได้อย่างไร”หั่วอี้ก้าวเข้าไปหาอย่างตื่นเต้นยินดี จับมือองค์หญิงหมายจะดึงนางเข้ามาในอกที่หูกลับได้ยินเสียงเอ่ยอย่างน้อยใจของนางจ้าวว่า “ท่านแม่ทัพ…”
ไม่ใช่เสียงขององค์หญิง น้ำเสียงขององค์หญิงแจ่มใส่เสนาะหูฟังแล้วชวนให้สดชื่นมีชีวิตชีวา มิได้ขมขื่นขลาดกลัวเช่นนี้
หั่วอี้จึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าคนที่มามิใช่องค์หญิง เขาได้แต่หัวเราะเยาะตนเองไม่เข้าใจเช่นกันว่าเขาเป็อะไร ถึงกับตาลายมองผิดคน เขาไม่เคยเป็เช่นนี้มาก่อน
“โอ้ เป็ไฉ่เอ๋อร์หรอกหรือ ตัวเ้าก็หนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วเหตุใดยังเดินไปทั่ว หากใหรือเหนื่อยจนเป็ลมไปเหมือนเมื่อวานแล้วจะทำอย่างไรคราหน้าหากมีเื่ใดอีกก็ฝากความกับสาวใช้มาเป็พอแล้ว ข้าย่อมต้องไปหาเ้า”
หั่วอี้พูดไปกลับไม่ได้มีสีหน้าไม่พอใจแต่พาจ้าวไฉ่เอ๋อร์ไปนั่งที่เก้าอี้
ทีแรกนางจ้าวได้ยินหั่วอี้นึกว่าตนเป็องค์หญิงนางก็รู้สึกขัดเคืองอย่างหนัก พลันอยากหันหน้ากลับออกไปหาฮูหยินผู้เฒ่า แล้วบอกให้ฮูหยินผู้เฒ่าไล่องค์หญิงออกจากจวนไปเสียเป็ดี
เมื่อครู่ที่นางมาถึงห้องหนังสือเดิมทีคิดจะให้คนเข้าไปแจ้งก่อนจึงค่อยเข้าไปในห้องแต่เพราะประตูห้องหนังสือเปิดอยู่ เพียงยืนอยู่ที่ประตูก็มองเห็นหั่วอี้แล้วนางยืนมองตาปริบๆ อยู่พักใหญ่ ที่สุดก็ส่งสัญญาณให้เหมยเซียงรออยู่นอกห้อง ส่วนตัวนางก็ก้าวเข้าข้างในอย่างไม่อาจควบคุมตนเองแต่กลับไม่คิดว่าท่านแม่ทัพจะเห็นนางเป็คนอื่นไปเสียได้
นางพยายามอดกลั้นไม่แสดงอาการไม่พอใจดีที่พอท่านแม่ทัพเอ่ยปากอีกคราก็กลับอ่อนโยนนัก จึงลดทอนไฟโทสะในใจเมื่อครู่ลงไปได้มาก
นางจ้าวเงยหน้ามองหั่วอี้ด้วยความคับแค้นคล้ายอยากมองทะลุเข้าไปถึงหัวใจเขา
“เื่นั้นคงจะได้ข้อสรุปแล้วกระมังไฉ่เอ๋อร์มาเพราะเื่ขององค์หญิงใช่หรือไม่? ฮูหยินผู้เฒ่าว่าอย่างไรบ้าง”
หั่วอี้ขยับเก้าอี้เข้ามานั่งลงตรงหน้านางจ้าว
“เ้าค่ะ ท่านแม่ทัพฮูหยินผู้เฒ่าอนุญาตให้ปล่อยองค์หญิงออกมาแล้วเ้าค่ะเพียงแต่ฮูหยินผู้เฒ่าบอกว่าให้ระยะนี้องค์หญิงอยู่อย่างสงบเสงี่ยมสักหน่อยอย่าเพ่นพ่านไปทั่วเ้าค่ะ”
_____________________________
