หลินฟู่อินไม่รู้ถึงความคิดของทั้งสองที่อยู่้า หากรู้เข้านางคงได้ถ่มน้ำลายใส่หน้าพวกเขาเป็แน่
บ้าบอสิ้นดี!
บุรุษผู้นี้ไม่ใช่เ้านายของข้าเสียหน่อย แล้วเหตุใดเขาต้องบุกเข้าห้องนอนข้าในยามวิกาลแล้วสั่งให้ข้าทำอาหารให้เขากินด้วย?
พอบอกจะทำให้ก็มากวนโอ๊ยใส่กันอีก
อย่าได้คิดว่านางไม่เห็นประกายในสายตานั่นเชียว สายตานั่นมันชัดเจนว่าเขาจงใจแกล้งนาง!
แต่นางจะทำอะไรได้?
นางขัดขืนได้หรือ?
เขาเป็ชาวเป่ยหรง หากคนนอกรู้เข้าว่านางช่วยคนเป่ยหรงไว้ แล้วเ้าคนเป่ยหรงที่ว่านี้ก็ยังบุกเข้าบ้านนางกลางดึกเพื่อมาหาอะไรกินอีก นางจะโดนอะไรบ้างกัน?
การรู้จักกับชาวเป่ยหรงเป็การส่วนตัวมันแปลว่าอย่างไรน่ะหรือ?
ก็แปลว่าเมื่อเื่แพร่งพรายออกไป นางได้เข้าไปนอนคุกแน่ๆ อย่างไรล่ะ!
และอาจไม่จบแค่คุก แต่อาจไปถึงขั้นเงาหัวหายได้เลย!
เพราะบุรุษจากต่างแดนผู้นี้เป็สิ่งที่สามารถกล่าวได้ง่ายๆ ว่าเป็ ‘สายลับ’
แน่นอนว่าหวงฝู่จินเองก็เดาสิ่งที่หลินฟู่อินคิดอยู่ได้ เพราะแม้ต่างฝ่ายจะไม่กล่าวถึงสถานะของกันและกันแต่ก็เป็เื่ที่รู้กันดี
หวงฝู่จินเข้าใจดีว่านางกลัวอะไรอยู่ แต่เขาไม่สน เพราะอย่างไรก็มีคนของเขามากมายแทรกซึมอยู่หลายเมืองตามแนวชายแดนต้าเว่ยอยู่แล้ว
จะมีก็เพียงเมืองชิงเหลียนที่เขาค่อนข้างให้ความสำคัญมากกว่า
เพราะที่นี่เป็เมืองเดียวที่ต้าเว่ยและเป่ยหรงสามารถทำการค้าด้วยกันได้ และยังเป็เมืองที่หลินฟูอินอยู่ อีกทั้งยังมีวัตถุดิบทางการแพทย์มากมายไหลเวียนอยู่ในเมืองจากอิทธิพลของตระกูลหลี่
วัตถุดิบทางการแพทย์เ่าั้มีกำไรมหาศาล มหาศาลจนแม้แต่คนระดับหวงฝู่จินยังไม่อาจเมินเฉยได้
ในตอนนั้นที่เขาตัดสินใจมาตั้งฐานอยู่ใกล้หมู่บ้านหูลู่ก็เพื่อคอยตรวจสอบหาพวกหนูสกปรกและเป็ที่พัก
เป็ตอนนั้นเองที่หลินฟู่อินได้มาช่วยม้าของเขาเอาไว้ ทั้งยังช่วยชีวิตเขาด้วย
ในที่สุดหลินฟู่อินก็ยอมแพ้แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องเก็บของ ตัดเนื้อหมูมาส่วนหนึ่ง หยิบเอาไข่เยี่ยวม้ามาอีกสามฟองและแป้งละเอียด
หวงฝู่จินเดินตามนางไปด้วยอารมณ์ค่อนข้างดี จนได้รับสายตาแปลกๆ จากหลินฟู่อินมาอีก เมื่อเห็นสายตานั้นแล้ว เขาจึงยิ้มออกมา “ข้าไม่ได้มองคนทำเื่เล็กน้อยเช่นนี้มานานพอสมควรแล้ว ไม่เลวเลย”
ไม่เลว?
ถ้าอย่างนั้นไม่มาทำเองเสียล่ะ?
หลินฟู่อินกล่าวสิ่งที่คิดอยู่ออกมาตรงๆ ไม่ได้ และอยากถลึงตามองเขามากนักแต่ก็ต้องอดทนไว้
นางต้องทน อย่าได้ลืมว่านางเป็เพียงสาวชาวบ้านธรรมดา
จะเถียงไม่ได้…
สองมือและสองเท้าขยับอย่างคล่องแคล่ว เส้นก๋วยเตี๋ยวและผักทั้งหลายถูกหั่นเตรียมไว้รวดเดียว ในขณะที่หวงฝู่จินนั่งมองมณีเม็ดงามนี้ด้วยใจที่ระส่ำเล็กน้อย
สามัญชนใช้ชีวิตกันเช่นนี้ ใช้ทั้งน้ำมัน เจี้ยงถั่วเหลือง และน้ำส้มสายชูอย่างไม่นึกเสียดาย
แค่รู้ก็เื่หนึ่ง แต่เมื่อได้เห็นห้องครัวที่ฟุ้งไปด้วยไอร้อนเช่นนี้แล้ว หัวใจเขาก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมา
หลินฟู่อินหั่นเนื้อหมูป่าหมักเป็ชิ้นเล็กๆ แล้วนำไปผัดในกระทะ กลิ่นอันหอมหวนของเนื้อหมักคลุ้งแตะจมูก เมื่อผัดไปได้ครู่หนึ่ง นางก็ใส่พริกสับลงไป
ในใจคิดว่ากินแต่อาหารเช่นนี้ในตอนดึกคงไม่ดี จึงไปนำถั่วปากอ้าที่ย่าหลี่ปอกไว้มาทอดด้วย
จากนั้นจึงล้างกระทะ แล้วเริ่มทำเจียนปิ่ง แต่เพราะการออกไปเก็บหัวหอมจากสวนในยามวิกาลเช่นนี้ไม่ค่อยจะเหมาะนัก นางจึงขมวดคิ้ว แล้วไปเอาไข่สองฟองมาตีรวมกับแป้งแทน
จากนั้นก็นำลงกระทะ
หลินฟู่อินคิดว่าหากเขามากินข้าวตอนดึกๆ เช่นนี้ก็แปลว่าเข้าต้องหิวมากแน่ จึงทำเจียนปิ่งชิ้นใหญ่ออกมาหกชิ้น ต่อให้พรุ่งนี้ย่าหลี่ถามว่าถั่วปากอ้าที่ปอกไว้หายไปไหน นางก็แค่ตอบว่านางหิวขึ้นมากลางดึก จึงทำเจียนปิ่งและถั่วทอดกินก็พอ
นางลงมือทำอาหารอย่างจริงจัง หวงฝู่จินเองก็เห็นว่านางจริงจังอยู่ เขาจึงยิ่งรู้สึกดีมากขึ้น แต่เมื่อเห็นว่านางเริ่มปอกไข่ที่นำมาแล้ว สายตาของเขากลับเ็าลง
เ้าเจียงซานหลางนั่นนับว่าไร้วิสัยทัศน์อย่างแท้จริงที่มาพยายามหลอกลวงนางเพื่อชิงสูตรไข่เช่นนั้น!
ในขณะที่หวงฝู่จินกำลังคิดว่าจะบอกหลินฟู่อินอย่างไรดีอยู่นี่เอง หลินฟู่อินก็ส่งเสียงเรียกเขา
“คุณชาย เจียนปิ่งกับเนื้อผัดเสร็จแล้ว” พร้อมส่งตะเกียบที่เพิ่งล้างด้วยน้ำร้อนมาให้เขา “เชิญทานได้”
คำว่า ‘เชิญทานได้’ นั้นเจือไปด้วยความโกรธเล็กน้อย แต่หวงฝู่จินไม่ใส่ใจ
“อ้อ ข้ากลัวว่าหากไปทานในห้องโถงแล้วพวกผู้าุโในบ้านข้าจะตื่นเอาได้ ดังนั้นเชิญทานที่นี่ได้เลย” หลินฟู่อินพยายามหาวิธีอธิบายเพื่อให้เขายอมทานในครัว
หวงฝู่จินรับตะเกียบไปอย่างสงบแล้วพยักหน้า “ที่เ้ากล่าวมาก็มีเหตุผล แม้พวกผู้าุโของเ้าจะหลับลึก แต่น้องๆ ของเ้าอาจตื่นได้”
คำกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ใส่ใจเด็กทั้งสองนัก
เมื่อหวงฝู่จินกล่าวเช่นนี้ หลินฟู่อินก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย จึงเลือกที่จะสุภาพกับเข้ามากขึ้นอีกสักหน่อย
บุรุษผู้นี้ แม้จะเ็า แต่ก็ไม่ได้ไร้ความเห็นใจไปเสียทีเดียวสินะ…
หวงฝู่จินเห็นว่านางมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้น ก็คิดว่านางช่างรักน้องมากจริงๆ นับว่าหาได้ยาก
เขาก้มหน้าลงทานเจียนปิ่ง แต่เมื่อหลินฟู่อินเห็นว่าเขากินแต่เจียนปิ่งอย่างเดียว นางก็กล่าวออกมา “ทานเนื้อผัดด้วยสิเ้าคะ”
คำสั้นๆ นี้ไม่มีอะไรผิดแปลก แต่กลับสร้างคลื่นสะท้อนอันรุนแรงในใจหวงฝู่จิน
ความรู้สึกแปลกประหลาดนั้นพวยพุ่งออกมาจากภายในโดยที่หวงฝู่จินไม่ทันตั้งตัว และเมื่อรู้ตัวอีกที เขาก็หยุดมือแล้วเงยหน้ามองนางไปแล้ว
“เอ่อ ท่านต้องทานให้เยอะๆ หน่อย เพราะหากเหลือขึ้นมาจะให้ข้าอธิบายกับคนในบ้านอย่างไร?”
หลินฟู่อินหัวเราะแก้เก้อออกมาเพื่อปกปิดความไม่สบายใจ
ตอนนี้นางเกลียดตัวเองเป็อย่างมาก จะไปสนใจเขาทำไมกัน ทั้งเขาและนางต่างก็อยู่กันคนละโลก เอาความมั่นอกมั่นใจจากที่ไหนมาว่าจะสามารถต่อรองอะไรได้
ก่อนหน้านี้นางเคยคิดอยากทำกิจการกับตวนมู่เฉิงผู้เป็ลูกน้องของเขา แต่เมื่อคิดๆ ดูแล้วนางก็ล้มเลิกแผนไป
นางลงแรงค้าขายไข่เยี่ยวม้าและได้กำไรกลับมาเพียงร้อยตำลึงหลังจากที่ขายไปหลายพันฟอง เทียบกับตวนมู่เฉิงที่ได้รางวัลกลับมาหลายร้อยตำลึงแล้ว กิจการของนางก็คงเป็เพียงแค่เื่เล็กจ้อย
ต่อให้ในอนาคตนางได้เป็ใหญ่เป็โตในต้าเว่ย แต่ตัวนางในตอนนี้เป็ใครกัน? เหตุใดคนเช่นตวนมู่เฉิงถึงจะต้องมาหยุดรอให้นางเติบโตด้วย?
ดังนั้นหลินฟู่อินจึงวางแผนที่จะไปทีละขั้น ทีละขั้น โดยเริ่มทำกิจการกับพวกรายย่อยก่อนเพื่อหาเส้นสาย จากนั้นค่อยไประดับรายใหญ่ในเมือง ไม่ต้องรีบร้อน
“ไม่ต้องทำที หากเ้าอยากพูดอะไรก็พูดมา หากไม่อยากก็ไม่ต้องพูด” หวงฝู่จินกดดันนาง แล้วแสยะยิ้ม “ตัวเ้าตอนนี้มีทั้งกิจการส่วนตัว ทั้งเป็หมอ คงมีคนชั่วมากมายอยากหาเื่เ้าเป็แน่”
“หือ…” หลินฟู่อินกะพริบตาถี่ เขารู้เื่ได้อย่างไร? ไม่สิ จะมีทางไหนที่จะรู้ได้อีกนอกจากว่าจะแอบตามนางมาั้แ่ต้น?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้