เซวียเสี่ยวหรั่นกับซีมู่เซียงกระเพาะเล็ก อาหารเต็มโต๊ะพวกนางกินได้ไม่มาก
ท้ายที่สุดอาหารส่วนใหญ่ก็ลงท้องของอูหลันฮวาหมด
"หลันฮวา เ้าอย่าท้องเสียเชียวนะ" เซวียเสี่ยวหรั่นมองจานอาหารที่แม้แต่น้ำแกงสักหยดก็ไม่เหลือด้วยความเป็ห่วง กลัวว่านางกินเยอะเกินไปอาจท้องเสีย
อูหลันฮวากลืนน้ำแกงหยดสุดท้ายลงท้อง ก่อนเรอออกมาอย่างพึงพอใจ
"ไม่หรอก ต้าเหนียงจื่อ"
"ข้ากินข้าวสามชามกับอาหารทุกอย่าง ก็แน่นท้องจะแย่อยู่แล้ว" ซีมู่เซียงเองก็เป็ห่วง
ปรกตินางมักหิวโซ หากกินเยอะปุบปับ เกิดท้องเสียขึ้นมา ต้าเหนียงจื่อจะพลอยลำบากไปด้วย
"ไม่เป็ไรๆ" อูหลันฮวาลูบท้องด้วยสีหน้าชื่นบาน เล่าให้พวกนางฟังว่า หลายปีมานี้ตนเองอดอยาก ต้องแล่นขึ้นเขาไปล่าสัตว์แต่นางไม่มีทักษะในการล่า หยิบท่อนไม้ได้ก็วิ่งไปทั่ว พบกับสัตว์อะไรก็ตีดะไปหมด
มีครั้งหนึ่งนางตีโก่วฮวน [1] มาได้ น้ำหนักประมาณยี่สิบชั่ว เอามาย่างกินสองสามวันก็หมดแล้ว
ปริมาณที่กินเยอะกว่าตอนนี้มาก ตอนนั้นนางอิ่มจนท้องแทบแตกแต่ก็ยังไม่เป็อะไร
บางคราโชคดีตีไก่ป่าห่านป่าได้ก็เอามาย่าง กินรวดเดียวหมดยังรู้สึกไม่ค่อยอิ่มเลย
แต่โชคดีแบบนี้ไม่ได้มาบ่อยนัก การล่าสัตว์เป็เื่ของดวงและเวลาที่เหมาะสม ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จทุกครั้งที่ออกไป นางต้องทำงานหนักทุกวัน ไม่อาจออกไปล่าสัตว์มากินได้บ่อยๆ
ต่อมานางลอบไปขุดผักป่า อาศัยเงินจากการขายผักไปซื้อซาลาเปาบ้างหม่านโถวบ้างมาเติมท้องให้เต็ม
ดังนั้นนางจึงไม่ได้ขึ้นเขาไปล่าสัตว์มาพักใหญ่แล้ว
เซวียเสี่ยวหรั่นกับซีมู่เซียงฟังแล้วก็อ้าปากค้าง
มิน่าแม่นางผู้นี้ถึงถูกบ้านของลุงใหญ่ค่อนแคะว่าเหมือนโคเหมือนม้าตัวใหญ่ ที่แท้ก็เป็เช่นนี้เอง
"ต่อไปเวลาหิวก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ อย่างอื่นไม่ว่าแต่ข้าวต้องมีแน่นอน" เซวียเสี่ยวหรั่นตบบ่าของอูหลันฮวา
"ขอบคุณต้าเหนียงจื่อ" อูหลันฮวารับปากไปอย่างนั้นเอง หน้าของนางมิได้หนาขนาดที่ว่าจะยึดถือถ้อยคำตามมารยาทเป็จริงเป็จัง แม้ต้าเหนียงจื่อสกุลเหลียนจะเชื้อเชิญด้วยน้ำใจไมตรี แต่นางก็ทำเช่นนี้ไม่ได้
หลังอิ่มหมีพีมันไปหนึ่งมื้อ ดวงตะวันก็ลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว เหลือเพียงแสงสายัณห์สีแดงอ่อนจางประดับขอบฟ้า
อูหลันฮวาไม่อาจลอยชายอยู่นอกบ้านนานนัก หลังกล่าวขอบคุณเซวียเสี่ยวหรั่น ก็ลูบท้องกลมๆ จนขอบกระโปรงตึงเปรี๊ยะลาจากไป
พวกซีต้าเฉียงก็อิ่มหนำสำราญแล้ว ดื่มกันจนหน้าแดง จากนั้นก็อำลาตามไป
หลังส่งทุกคนกลับ ในเรือนหลังน้อยก็สงบเงียบลงทันควัน
เซวียเสี่ยวหรั่นเริ่มเก็บชามและตะเกียบ จานชามเต็มกะละมัง ถ้าใช้น้ำในโอ่งล้าง กว่าจะสะอาดน้ำก็คงแห้งถึงก้นโอ่ง
ทำงานเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน เธอยังต้องต้มน้ำร้อนให้พออาบน้ำสระผมสำหรับสองคน ดังนั้นจึงเอากระจาดทรงกลมมาครอบถ้วยชามที่สกปรกเ่าั้ไว้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยเอาไปล้างที่ตาน้ำพุ ประหยัดแรงและไม่ต้องตักน้ำหิ้วไปหิ้วมาอีกด้วย
พอต้มน้ำหม้อใหญ่เสร็จเรียบร้อย เซวียเสี่ยวหรั่นก็สระผมอาบน้ำอย่างมีความสุข แล้วผลัดเปลี่ยนเป็เสื้อผ้าใหม่ทั้งชุด
สวมเสื้อบังทรงกับกางเกงตัวในที่ตัดเย็บเอง เซวียเสี่ยวหรั่นลูบเสื้อบังทรงพอดีตัวอย่างพึงพอใจ
หน้าอกเล็กลงบ้างก็ดีเหมือนกัน ที่นี่ไม่มีบราแบบยุคปัจจุบัน หากหน้าอกใหญ่เกินไปจะหย่อนคล้อยง่าย แบบตอนนี้ไม่ใหญ่ไม่เล็กกำลังดี
เธอยิ้มร่าพลางกระตุกสายรัดบังทรงผูกให้แน่น ก่อนหมุนตัวสองรอบอย่างงดงาม
ชายกระโปรงบานพลิ้วเช่นเดียวกับอารมณ์ของเธอตอนนี้
"เหลียนเซวียน น้ำอาบเตรียมไว้ให้แล้ว ถึงตาท่านอาบแล้วล่ะ" เซวียเสี่ยวหรั่นขยี้ผมจนเกือบแห้งเดินเข้าไปหาเหลียนเซวียนในห้องปีกตะวันออก
"อืม..." เหลียนเซวียนตอบเสียงเรียบ ถอดรองเท้าผ้ากับถุงเท้าเปลี่ยนไปเป็รองเท้าฟาง แล้วหยิบไม้เท้าเดินไปทางห้องครัว
เซวียเสี่ยวหรั่นทำตาปริบๆ ดูเหมือนว่าอารมณ์ของเขาวันนี้จะไม่ค่อยปรกตินัก
"เหลียนเซวียน ท่านดื่มเยอะเกินไปหรือไม่"
เธอวิ่งมาข้างกายเขาพลางเอื้อมมือเข้ามาประคอง
"เปล่า" เหลียนเซวียนได้สติกลับมา กลิ่นหอมโชยมาจากข้างกาย นี่คือกลิ่นดอกกุ้ยจากเซียงอี๋ [2] ที่ซื้อมาจากในเมือง
กลิ่นหอมค่อนข้างฉุนของดอกกุ้ยไม่ใช่สิ่งที่เหลียนเซวียนชมชอบมาแต่ไหนแต่ไร
ทว่าหญิงสาวข้างกายประคองแขนเขาอยู่ แม้กลิ่นหอมจะแรงอยู่บ้าง แต่เขากลับไม่ได้รังเกียจขนาดนั้น
แววตาเ็าของเหลียนเซวียนค่อยๆ อ่อนโยนลงมา
"วันนี้อารมณ์ของท่านเหมือนไม่ค่อยปรกติเท่าไรเลย" เซวียเสี่ยวหรั่นประคองเขานั่งบนม้านั่งเตี้ยในห้องครัวที่ตั้งไว้ให้โดยเฉพาะ
เหลียนเซวียนปรายตามา แม่นางผู้นี้ความรู้สึกไวแท้ๆ
"แฮ่ม ไม่มีอะไร ข้าสบายดี"
เขาก็สบายดีจริงๆ "ให้ข้าช่วยสระผมให้หรือไม่ เหตุใดท่านถึงไม่ใช้เซียงอี๋สระผมเล่า ใช้แต่น้ำเปล่าจะสะอาดได้อย่างไร" เซวียเสี่ยวหรั่นเริ่มบ่นจุกจิก
"ไม่ต้องให้เ้าช่วย เซียงอี๋กลิ่นฉุนเกินไป"
แม้วขาจะไม่รู้สึกรังเกียจกลิ่นดอกกุ้ยจากเรือนกายของนาง แต่ก็ไม่อยากให้ร่างกายของตนเองมีแต่กลิ่นของดอกกุ้ย
"กลิ่นดอกกุ้ยของเซียงอี๋แรงไปหน่อย หลังสระผมเสร็จ จมูกข้าก็ถูกรมจนด้านชา เคราะห์ดีที่กลิ่นจางเร็ว พรุ่งนี้ก็คงอ่อนลงมากแล้วกระมัง" เซวียเสี่ยวหรั่นดมกลิ่นเรือนผมของตนเอง
"อื้อ ชุดใหม่ของท่านวางอยู่บนโต๊ะเตี้ยด้านข้าง เอาล่ะ รีบอาบนะ เดี๋ยวน้ำจะเย็นเสียหมด"
เซวียเสี่ยวหรั่นเดินออกมาจากห้องครัวแล้วปิดประตูให้สนิท
นางกลับมาห้องของตนเอง หยิบเข็มกับด้ายมาเย็บชุดบังทรงตัวที่สองของตนเอง
รอจนกระทั่งได้ยินความเคลื่อนไหวมาจากห้องครัว เซวียเสี่ยวหรั่นถึงวางเข็มและด้ายในมือ
"ไอ้หยา เหตุใดท่านถึงไม่เช็ดผมให้แห้ง ดูสิคอเสื้อเปียกหมดแล้ว"
"เดี๋ยวค่อยเช็ด" นึกแล้วว่านางต้องบ่น เหลียนเซวียนยกมุมปาก เดินไปที่ห้องของตนเองอย่างรวดเร็ว
เซวียเสี่ยวหรั่นวิ่งมาจัดการในห้องครัวให้เรียบร้อย นำเสื้อผ้าสกปรกกองไว้ด้วยกัน พรุ่งนี้ค่อยเอาไปซักที่หลังเขาพร้อมกันทีเดียว
หลังจากนั้นก็หยิบตะเกียงน้ำมัน ปิดประตูห้องครัว แล้วไปที่ห้องของเหลียนเซวียน
ในบ้านยังมีผ้าเหลืออยู่มากมาย เซวียเสี่ยวหรั่นตัดผ้าฝ้ายเนื้อดีสีขาวมาเป็ผ้าเช็ดตัวสองผืนสำหรับเช็ดผม
"ให้ท่าน นี่เป็ผ้าที่เพิ่งตัดมาใหม่ ใช้เช็ดผม"
เหลียนเซวียนรับมาเช็ดผมที่ยังเปียกชื้น
"เ้าอยากช่วยอูหลันฮวาผู้นั้นหรือไม่" เขาพูดถึงสิ่งที่สังเกตได้เมื่อกลางวัน
"อยากสิ แม่นางที่แสนดีขนาดนั้นกลับต้องถูกญาติใจร้ายใจดำกดขี่ข่มเหง" พูดถึงอูหลันฮวา เซวียเสี่ยวหรั่นก็โมโหขึ้นมาอีก "แต่ถึงคิดไปก็ไร้ประโยชน์พวกเราจะช่วยหาสามีให้นางได้หรือ"
เหลียนเซวียนอับจนวาจา แม่นางผู้นี้บางคราก็หัวไวราวกับจิ้งจอก แต่บางคราก็ปัญญาทึบเหมือนท่อนไม้ เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดกับนางอย่างไรดี
"ใครบอกว่าจะช่วยหาสามีให้นาง"
"อ้าว ไม่ใช่หรอกหรือ" เซวียเสี่ยวหรั่นมองเขาอย่างกังขา
ไหนบอกว่าสตรีของที่นี่หากอายุเท่านี้แล้วยังไม่แต่งงาน ต่อไปจะยิ่งลำบากไม่ใช่หรือ
หากอายุเท่ากับเธอตอนนี้ แล้วยังไม่ออกเรือน เกรงว่าคงถูกผู้คนติฉินนินทาลับหลัง
เซวียเสี่ยวหรั่นคิดแล้วก็อารมณ์เสีย
....
[1] โก่วฮวนหรือแบดเจอร์ เป็สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตระกูลเดียวกับพังพอน ลักษณะคล้ายกับนาก เป็สัตว์ที่เขี้ยวเล็บแหลมคม และหนังหนาของมีคม เขี้ยวสัตว์ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นวิธีการเดียวที่มันจะตายคือใช้กระบองทุบตี
[2] เซียงอี๋คือสบู่หอมแบบโบราณ
