"มือซ้าย" เหอตังกุยเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม จากนั้นนางก็รินเหล้าให้เลี่ยวชิงเอ๋อร์ ดูเหมือนว่านางมั่นใจกับการตัดสินใจของตนเองเป็อย่างมาก
เลี่ยวชิงเอ๋อร์ผายมือออกด้วยความเหลือเชื่อ รูปปั้นเด็กขนาดเท่าเมล็ดถั่วนอนนิ่ง อยู่บนฝ่ามือ นางเอ่ยขึ้นมาอย่างจนใจว่า “เ้าทำได้อย่างไร เหตุใดเ้าทายถูกทุกครั้ง หรือว่าเ้ามีพลังวิเศษ? เอ๊ะ! ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปบ่อนพนันกันเถอะ”
เหอตังกุยหยิบรูปปั้นเด็กเครื่องลายครามตัวเล็กขึ้นมาด้วยนิ้วเรียวยาวท่วงท่าสง่างาม ก่อนจะวนนิ้วลูบไล้พลางอธิบายว่า “ก็เ้าซ่อนมันไม่มิด ทุกครั้งที่เ้าซ่อนมันไว้ในมือซ้ายสายตาของเ้าจะเหลียวมองไปทางด้านขวา แต่นิ้วกลางในกำปั้นด้านซ้ายของเ้าจะเว้าโค้งกว่าทางด้านขวาเล็กน้อย ราวกับว่าเ้ากลัวรูปปั้นเด็กในมือหนีไปอย่างไรอย่างนั้น จะให้ข้าดูไม่ออกได้อย่างไร? ความหมายของเ้าจะบอกว่าข้ามีความสามารถในการเดาสิ่งของหรือไม่? เฮอะ ข้ารู้จักคนที่มีความสามารถเช่นนี้ แต่ทุกครั้งที่เขาเข้าไปเล่นพนัน พอเขากลับมาจมูกจะช้ำใบหน้าจะบวมเป่ง สองมือจะเืออก เห็นได้ชัดว่าบ่อนพนันนั่นกินเงินของเขาไป เ้าคิดว่าพวกเขาจะปล่อยให้เ้าชนะงั้นหรือ? ถ้าเ้าชนะหกครั้งติดต่อกันก็จะมีคนมา ‘พูดความในใจ’ กับเ้า”
“สุดยอด” เลี่ยวชิงเอ๋อร์หยิบใบไม้ที่ร่วงหล่นลงบนมวยผมของเหอตังกุยและกล่าวด้วยความชื่นชมว่า “ข้าคิดไม่ถึงว่าเ้าจะมีวิชาอ่านใจคน ทั้งที่ไม่มีอาจารย์สั่งสอนวิชานั้น อาศัยแค่การกระทำและสายตาเ้าก็สามารถรู้ความคิดของคนอื่นได้ ข้าว่าพวกเราควรจะไปลงทุนที่บ่อนพนันสักหน่อย ถึงอย่างไรเ้าก็มีวรยุทธ์ นักเลงไม่กี่คนคงไม่ใช่เื่ใหญ่สำหรับเ้า เมื่อถึงตอนนั้นหากพวกเราชนะได้กำไรสักร้อยตำลึงก็ออกจากที่นั่นให้เร็วที่สุด ข้าจะไปเบิกเงินที่ร้านเงิน ส่วนเ้าก็เป็คนจัดการมัน เป็อย่างไร?”
“ชู่…” เมื่อเหอตังกุยเห็นกวนจัน อู่ยวี่อิ๋ง หนิวเหวินเป่าและฉีมู่เอ๋อร์สี่คนนั่งอยู่บนแท่นหินไม่ไกลจากพวกนาง เลี่ยวชิงเอ๋อร์จึงหยุดพูดทันที “ชิงเอ๋อร์เ้าอย่าพูดเื่ที่ข้ามีวรยุทธ์บ่อยๆ ข้าฝึกวรยุทธ์เพื่อรักษาร่างกายและป้องกันตัว คนในตระกูลหลัวไม่รู้ว่าข้าฝึกวรยุทธ์ เ้าอย่าได้นำความลับของข้ามาพูดในที่สาธารณะ”
"ข้าเข้าใจแล้ว" เลี่ยวชิงเอ๋อร์พูดติดตลกว่า “หลังจากเมิ่งเซวียน ต้วนเสี่ยวโหลว เฒ่าประหลาดจูเป็คำต้องห้ามแล้วก็ยังมีคำว่า... มีวรยุทธ์อีก นี่! พวกเรามาเปิดจดหมายคุณชายซ่งอ่านกันเถอะ เขาบอกเ้าอย่างมีเลศนัยว่าให้อ่านมันอย่างละเอียด ด้านในนี้เขียนอะไรเอาไว้กันแน่”
เหอตังกุยดื่มสุราพลางเอ่ยว่า “ไม่ได้ หากอยากจะอ่านกลับไปค่อยอ่าน ทุกครั้งที่เ้าอ่านจดหมายเ้าจะอ่านออกเสียง คนอื่นเขาก็ตั้งใจเขียนจดหมายออกมาอย่างจริงใจ เราไม่สามารถเหยียบย่ำความตั้งใจดีของพวกเขาได้”
เลี่ยวชิงเอ๋อร์โค้งริมฝีปากของนางแล้วเอ่ยว่า “เฮอะ ความตั้งใจดีอะไรกัน? เนื้อหาของจดหมายทุกฉบับล้วนเป็การยกย่องใบหน้าเล็กๆ ของเ้าที่งดงามมากจนทำให้ปลาและห่านป่าใจนตาย พวกเขาบอกว่าชื่นชมเ้ามากแค่ไหนและจริงใจกับเ้าแค่ไหน และในที่สุดพวกเขาทั้งหมดก็ขอเ้าแต่งงานเป็อนุชายาของพวกเขา คนสมัยโบราณมีแต่ความโลภ ตัวอย่างเช่นชายที่ชื่อเหวินฮั่น้าแต่งงานกับหญิงสูงศักดิ์ในชนชั้นของตนเองและ้าหญิงงามหลายคนไปอยู่ในจวนของเขาเพื่อได้เชยชมให้ชื่นใจ การมีเมียน้อยแบบโจ่งแจ้งเช่นนี้ถือเป็เื่ที่น่ารังเกียจ ข้าว่าต้วนเสี่ยวโหลวคือคนที่ดีที่สุดในบรรดาคุณชายทั้งหลาย เขาเต็มใจที่จะแต่งงานกับเ้าในฐานะชายาที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่เขากลับเข้ามาพัวพันกับกวนอวิ๋นลูกพี่ลูกน้องของข้าเป็ระยะๆ ข้าไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ทั้งที่เขารักเ้ามากจนยอมทำทุกอย่างเพื่อเ้าทันที ดังนั้นข้าจึงอยากแนะนำให้เ้ายอมรับคำขอแต่งงานของเขา แต่ข้าก็ไม่รู้ว่าพอผ่านเวลาไป่หนึ่งข้าจะเห็นเขาเข้าไปเช็ดน้ำตาให้กวนอวิ๋นหรือไม่...”
“การขอสมบัติล้ำค่านั้นเป็เื่ง่าย แต่หาคนที่รักเ้าอย่างจริงใจนั้นยาก คุณชายต้วนเป็คนดี ข้าเองก็ชอบคุณหนูกวน และเชื่อว่านางจะเข้ากันได้ดีกับคุณชายต้วน อย่าพูดถึงเื่นี้อีกเลย” เหอตังกุยรีบจบบทสนทนานี้อย่างรวดเร็ว และหันกลับไปถามว่า “เมื่อครู่นี้เ้าบอกว่า ‘เก็บหญิงงามไว้ในจวนหลายคน’ หรือว่าคุณชายเหวินยังส่งจดหมายให้คนอื่นอีกหรือ?”
เลี่ยวชิงเอ๋อร์เหลียวไปทางซ้ายเพื่อมองกลุ่มคนและกระซิบว่า “ก็เ้ากระต่ายขาวตัวน้อยฉีมู่เอ๋อร์ที่เพิ่งเข้ามาในสำนักศึกษาของพวกเราอย่างไรเล่า นางเป็ลูกสาวนอกสมรสของพ่อค้าเกลือรายใหญ่ ตอนเที่ยงของวันก่อนข้าเห็นเหวินฮั่นขวางนางอยู่ที่สนามแข่งม้าทีู่เาด้านหลัง พอนางจะเดินก้มหัวไปทางซ้าย เหวินฮั่นก็จะเข้ามาขวางนางทางด้านซ้าย พอนางจะเดินไปทางขวาด้วยใบหน้าแดงเรื่อ เหวินฮั่นก็เข้ามาขวางนางทางด้านขวา ดูพวกเขาจะเล่นจนสนุกเลยทีเดียว… เฮ้อ เป็วัยรุ่นนี่ก็ช่างดีจริงๆ”
สีหน้าของเหอตังกุยไม่เปลี่ยนแปลง ในแววตาของนางมีรอยยิ้มพาดผ่านครู่เดียว “เหตุใดเ้าถึงมีอคติกับคุณหนูฉีขนาดนั้นเล่า? นางก็ไม่ได้ทำอะไรให้เ้าขุ่นเคืองไม่ใช่หรือ”
เลี่ยวชิงเอ๋อร์กล่าวด้วยความหงุดหงิดว่า “ข้าบอกเ้าแล้วว่าก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ ข้านั่งยองๆ ในห้องน้ำสาธารณะและร้องไห้อย่างหนัก เพราะลูกสาวของเมียน้อยพ่อข้าแย่งคู่หมั้นของข้าไป แล้วบังเอิญข้ามเวลามาที่นี่ ต่อมาข้าก็พยายามร้องไห้ในห้องน้ำสาธารณะที่นี่ แต่ข้าก็กลับบ้านไม่ได้ เฮ้อ แม่ของข้ากับเงินฝากของข้าที่อยู่ที่นั่นจะเป็อย่างไรบ้าง... ดังนั้นข้าจึงเกลียดลูกอนุเป็ที่สุด และฉีมู่เอ๋อร์ผู้นั้นข้ามองปราดเดียวก็รู้ว่านางเสแสร้ง”
เมื่อนางเห็นสีหน้าครุ่นคิดของเหอตังกุย เลี่ยวชิงเอ๋อร์จึงรีบโบกมืออย่างรวดเร็ว และอธิบายว่า “อย่าเข้าใจข้าผิด ข้าไม่ได้หมายถึงเ้า ในความคิดของข้า เ้าไม่ใช่ลูกสาวของอนุ แต่เป็ลูกสาวที่ชอบธรรมของตระกูลเหออย่างแท้จริง ส่วนเื่แต่งงานใหม่ของแม่เ้ามันก็เป็เื่ปกติมากสำหรับข้า ในชีวิตก่อนข้าก็มักจะคอยสนับสนุนให้แม่ของข้ามองหาคู่ชีวิตในอินเทอร์เน็ต”
เหอตังกุยได้สติกลับมาจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า "ข้าไม่เป็ไร ข้ากำลังคิดเื่อื่นอยู่ จริงสิ เ้ายังจำสตรีสองคนนั้นได้หรือไม่ พวกนางสวมชุดกระโปรงลายดอกไม้และมีผ้าไหมพรมพันรอบแขน”
“อ่อ ดูเหมือนว่าพวกนางจะเป็พี่น้องในตระกูลเฉียน ข้าไม่แน่ใจว่าพวกนางชื่อเถาฮัวซิ่งฮวาหรือมู่ตัน แต่การค้าของพวกเราก็สนิทมักคุ้นกับตระกูลเฉียนดี เพราะตระกูลเฉียนเปิดกิจการร้านอาหารเฟิงฝูกับหอนางโลมเฟิงฝูบนถนนใหญ่ทางตอนใต้ ความสัมพันธ์ของพวกข้ากับพวกเขาเรียกได้ว่าเป็คู่ค้าและคู่ศัตรูกันสามส่วน พวกเขามักจะขโมยความคิดของหอนางโลมอี้หงของพวกเราไป ข้าล่ะอยากจะต่อสู้กับพวกเขาจริงๆ เ้าก็รู้ใช่หรือไม่ว่าตระกูลเฉียนเริ่มต้นด้วยอะไร? ตอนนั้นที่เมืองเจิ้นเจียงพวกเขาซื้อร้านอาหารและจวนจากพี่เจินจู จากนั้นก็ขายให้คนอื่นกำไรถึงแปดร้อยตำลึง”
เลี่ยวชิงเอ๋อร์เอานิ้วแคะจมูกพลางเอ่ยอย่างหงุดหงิด เหอตังกุยคว้าพัดที่อยู่ข้างๆ นางไปปิดใบหน้าของชิงเอ๋อร์อย่างรวดเร็ว เหอตังกุยกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “มีคุณชายเกือบร้อยคนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเบิกตากว้างมองมาที่พวกเรา เ้าแสร้งทำเป็กุลสตรีสักหน่อยก็ได้ ตอนที่เ้าอยู่บ้านของเ้า เ้าเป็ ‘นักเรียนปริญญาโท’ อะไรนั่นไม่ใช่หรือ? ไม่ได้บอกว่ามันก็เหมือนกับการเรียนในวิทยาลัยของที่นี่หรือ? เ้าควรจะวางท่าให้เป็เหมือนขุนนางหน่อย เ้าไม่อยากมี ‘คนรัก’ หรืออย่างไร”
เลี่ยวชิงเอ๋อร์หัวเราะเบาๆ และพูดอย่างมีความสุขว่า “ข้าสับสนเอง ปริญญาโทไม่ใช่ขุนนาง ป้าที่เฝ้าห้องน้ำยังมีปลอกแขนสามขีด ข้าก็เป็หัวหน้ากลุ่มที่มีปลอกแขนขีดเดียว และอยู่ในห้องปฏิบัติการชีวเคมีตลอดทั้งปี ครั้งที่แล้วเ้าพูดถึงนักเรียนในวิทยาลัย ข้าก็เลยบอกว่าระดับความรู้ทางวิชาชีพของข้าเทียบเท่ากับนักเรียนในวิทยาลัยของที่นี่ โดยพื้นฐานแล้วข้ายังคงเป็ประชาชนรากหญ้า จะว่าไปพวกที่มีความสามารถและบทกวีที่ยอดเยี่ยมที่อยู่ฝั่งตรงข้ามต่างก็มองมาที่เ้า ข้าเดาว่าพวกเขาคงมองข้าเป็ก้อนหินก้อนโตที่อยู่ใต้บั้นท้าย ไม่มีใครสนใจใบหน้ากลมๆ ของข้า... เอ่อ เสี่ยวอี้เ้าไม่ต้องรู้สึกผิด ข้าน่ะเป็ใบไม้สีเขียวที่ชินชาไปแล้วล่ะ อีกอย่างประสบการณ์ของพี่เจินจูก็เป็แรงบันดาลใจของข้า สตรีที่แข็งแกร่งก็สามารถมีสามีได้เช่นกัน สามีของข้าไม่ช้าก็เร็วพวกเราจะได้พบกัน ข้าแค่อยากจะหาใครสักคนที่ซื่อสัตย์เหมือนข้าหลวงลู่ ไม่ว่าภรรยาพูดอะไรผู้เป็สามีก็จะไม่คัดค้านและยอมทำตาม”
‘เจินจู’ ผู้นี้ก็คือแม่ชีเจินจูในวัดสุ่ยซาง เมื่อสองปีก่อนนางยังมาที่เมืองหยางโจวเพื่อใช้ชีวิตแบบคนธรรมดา ทำงานเป็แม่ครัวในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าของทางราชสำนัก ต่อมาเมื่อนางพาเด็กกำพร้าไปหาหมอที่ ‘ร้านยาฉวนจี๋’ นางก็ได้พบกับเลี่ยวชิงเอ๋อร์โดยบังเอิญ
เหอตังกุยและเจินจูเป็เพื่อนเก่ากัน เมื่อเลี่ยวชิงเอ๋อร์ได้พบกับนางก็รู้สึกเหมือนคนคุ้นเคย ทั้งสามคนพูดคุยกันได้สักพัก ‘ฉินเจินจู’ ชื่อที่เจินจูเปลี่ยนเมื่อนางออกมาใช้ชีวิตเป็คนธรรมดา นางได้พูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ของนางก่อนที่นางจะกลายเป็แม่ชีและบอกว่านางคิดถึงคำตักเตือนของเหอตังกุยก่อนที่เหอตังกุยจะจากไปไม่กี่เดือน นางตระหนักว่าไม้ที่แห้งเหี่ยวเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิก็จะฟื้นกลับมา นางควรออกไปัักับแสงสว่าง เมื่อนางได้ยินว่าเหอตังกุยและเลี่ยวชิงเอ๋อร์กำลังทำการค้าร่วมกัน และกำลังหาผู้ร่วมลงทุน เจินจูจึงนำเงินหนึ่งพันตำลึงของนางมาร่วมลงทุนด้วย เพื่อให้พวกเลี่ยวชิงเอ๋อร์และเหอตังกุยมีเงินมากพอสำหรับลงทุนร้านอาหารจุ้ยเซียงโหลว และเปิดกิจการหอนางโลมอี้หงได้อย่างราบรื่น
หลังจากกลายเป็ ‘ผู้ถือหุ้นรายใหญ่’ ในเวลาปกติเจินจูยังคงทำงานอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทำซุปร้อนๆ และอาหารจานร้อนปกติ จนกระทั่งหนึ่งปีที่ผ่านมานางได้พบกับผู้พิพากษาลู่ซึ่งเป็ผู้รับผิดชอบ ‘คดีฟ้องร้องสามี’ นับั้แ่ผู้ว่าการเว่ยหลบหนีด้วยข้อหาคดโกง ผู้พิพากษาลู่ที่มีชื่อเสียงในทางที่ดีก็ได้ย้ายไปที่เมืองหยางโจวเพื่อเติมเต็มตำแหน่งที่ว่าง ดังนั้นตอนนี้เขาก็ได้กลายเป็ผู้ว่าการลู่ที่มียศขุนนางระดับห้า
ผู้ว่าการลู่ยังไปเยี่ยมเด็กๆ ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และเขาได้พบกับชิวผิงที่หายตัวไปเป็เวลาเจ็ดปีโดยบังเอิญ นอกจากความประหลาดใจแล้วเขายังเล่าเื่เก่าๆ ที่เขาตกม้าและขาหักขณะไล่ตามรถม้าของนาง เขากลัวว่านางจะไม่เชื่อ จึงยกเสื้อคลุมขึ้นและพับขากางเกงขึ้นไปตรงจุดที่เคยาเ็ของเขา
เขาสารภาพความรักอันลึกซึ้งของเขา เป็เวลากว่าสองเดือนในการทำคดีนั้น นางอาศัยอยู่ในห้องพักที่ราชสำนักจัดให้ ทุกคืนนางจะนั่งข้างบ่อน้ำและสางผมท่ามกลางแสงจันทร์ เขายืนพิงกำแพงอย่างเงียบๆ และมองไปที่นาง เขาหวังว่าคดีจะสิ้นสุดก่อนเวลาอันควร เมื่อเขาและนางหลุดพ้นจากคดีนี้และสามีคนแรกของนางเขาจะสารภาพรักกับนาง แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเมื่อคดีสิ้นสุดลงนางก็ได้ทิ้งจดหมายขอบคุณและจากไปโดยไม่บอกลาเขาสักคำ เขาไม่สามารถติดต่อกับนางได้และตามหานางทุกที่แต่ก็ไม่พบ เขามักจะมองไปที่ดวงจันทร์และคิดถึงนาง จนเวลาผ่านไปกระทั่งถึงตอนนี้... เขาก็ยังคงรอนาง ขุนนางที่อายุใกล้จะสามสิบปีกลับยังไม่มีชายาหรืออนุเลยสักคน
เจินจูที่อายุมากกว่าผู้ว่าการลู่สามปี นางเป็สตรีธรรมดาคนหนึ่งและเคยแต่งงานกับชายอื่นมาแล้วเจ็ดปี แม้ว่านางจะแอบชื่นชมผู้ว่าการลู่ แต่วิสัยทัศน์ทางโลกมนุษย์ก็ทำให้นางหยุดชะงักไม่เดินหน้าต่อ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่จึงต้องหยุดชะงักลงเหมือนเมื่อเจ็ดปีก่อน
ในที่สุดเลี่ยวชิงเอ๋อร์ก็ได้รู้เื่นี้ นางและเหอตังกุยได้ร่วมมือกันวางแผนบางอย่างเพื่อให้พี่เจินจูกอด ‘ศพ’ ของผู้ว่าการลู่และร้องไห้บอกความรู้สึกของนางทั้งหมดที่มีต่อเขา ผู้ว่าการลู่ที่ถูกเหอตังกุยผนึกจุดฝังเข็มเอาไว้ก็มีความสุขมากที่ได้ยินดังนั้น หลังจากจุดฝังเข็มคลายตัวลง คู่รักคู่นี้จึงทำลายคำว่าธรรมเนียมปฏิบัติที่ถูกพันธนาการไว้ลงและได้แต่งงานกันในที่สุด ตอนนี้เจินจูตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว และนางก็นั่งอยู่ที่บ้านเฉยๆ เพื่อป้องกันการแท้งลูก
“ชิงเอ๋อร์บางครั้งเ้าก็บอกว่าอยากแต่งงานกับบุรุษร่ำรวย บางครั้งเ้าก็บอกว่าอยากแต่งงานกับบุรุษรูปงาม บางครั้งเ้าก็บอกว่าอยากหาสามีดีๆ สักคน ยากที่จะจินตนาการว่าจะมีผู้ชายที่มีลักษณะทั้งสามอย่างนี้อยู่ในโลก ข้าขอแนะนำเ้าให้ลดมาตรฐานในการมองหาสามีของเ้าลงซะ”
เหอตังกุยกล่าวติดตลกว่า “หลังจากสตรีอายุยี่สิบสองปีแล้วแต่ยังมิได้หมั้นหมายเื่เช่นนี้มันเป็เื่ที่แปลกประหลาดสำหรับโลกของพวกข้า ถ้าอายุยี่สิบปีแล้วแต่ยังไม่ออกเรือนสตรีผู้นั้นต้องจ่ายภาษีรายหัวให้ทางราชสำนักถึงสามเท่า และทุกคนจะมองคนที่จ่ายภาษีราคานี้เหมือนสัตว์ประหลาด ตอนนี้เ้าก็อายุสิบเก้าปีแล้ว ก็อย่าเลือกให้มันมากเลย เพราะสุดท้ายบุรุษที่เลือกก็ ‘ไม่มีบุรุษทั้งสามข้อ’ ที่เ้ากล่าวอ้างมา”
“ใครบอกว่าข้า้าหาสามีลักษณะทั้งสามนี้? ข้าบอกว่าข้าจะไปหาสามีสามคนต่างหาก คนแรกคือคิดเงิน คนที่สองมีหน้าที่ปรนนิบัติข้าตอนเข้านอนและพาข้าออกไปซื้อของ คนที่สาม... คนที่สามใช้เป็กระสอบทรายเพื่อคลายความโกรธของข้า”
เลี่ยวชิงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นและครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เมื่อเห็นเหอตังกุยชักสีหน้านางก็ทักท้วง “นี่ เ้ากำลังหัวเราะข้าหรือ? อย่าลืมว่าตอนนี้ข้าเป็สตรีที่ร่ำรวยมีเงินมากกว่าสองหมื่นตำลึง แน่นอนว่าข้าก็อยากเป็เหมือนบุรุษที่ร่ำรวยที่มีเมียน้อยหลายคนในเวลาเดียวกัน และทำให้สตรีอย่างพวกเรารู้สึกอิ่มเอมใจและภาคภูมิใจ ดูสิๆ"
เลี่ยวชิงเอ๋อร์มุ่ยปากไปที่ฝั่งตรงข้ามอย่างเดือดดาลเป็เชิงบอกว่าให้เหอตังกุยหันกลับไปมอง
“เหวินฮั่นที่เล่นหูเล่นตากับกระต่ายน้อยฉีมู่เอ๋อร์ ตอนนี้กำลังใช้สายตาคลุมเครือมองมาที่เ้า ช่างหน้าไม่อายอะไรขนาดนี้ บอกตามตรงข้าล่ะอิจฉาเ้าอยู่บ้าง แม้ว่าเ้าจะแต่งหน้าสีเหลือง ตาของเ้าก็ทำให้เล็กลงและริมฝีปากของเ้าก็ดูหนาขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นเ้าก็ยังคงเป็คนสวย เฮ้อ ถ้าความงามของเ้ายังคงพัฒนาเหมือนปีศาจเช่นนี้ต่อไป ในปีหน้าแม้ว่าเ้าจะทาหน้าแดงเหมือนกวนกงหรือทาหน้าดำเหมือนจางเฟย เ้าก็ไม่สามารถซ่อนความงามของเ้าที่อาจจะทำให้ปลาและห่านป่าใจนตายได้ ให้ข้ากรีดหน้าเ้าสักแผลสองแผลดีหรือไม่ แล้วบอกว่าเ้าถูกคนทำร้ายจนเสียโฉม”
"ได้สิ" เหอตังกุยพยักหน้าและกล่าวว่า “ถ้าเป็อย่างที่ว่ามา ซุนเหม่ยเหนียงก็คงมีความสุขจนนอนไม่หลับเลยล่ะ”
เลี่ยวชิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วและพูดว่า “น่าแปลก เหตุใดป้าสะใภ้รองของเ้าถึงได้เกลียดเ้าเพียงคนเดียวขนาดนี้? หากข้าไม่ได้ซ่อนอยู่หลังฉากบังลมวันนั้น แล้วเห็นใบหน้าที่มืดทะมึนเมื่ออยู่กับเ้าเพียงลำพังด้วยตาของข้าเอง ข้าก็ยังนึกว่านางก็เป็คนที่ไม่เลวคนหนึ่งเลย นางมีบุคลิกเหมือนกับแม่ค้าที่ชาญฉลาด เป็มิตรกับคนรอบข้าง และมีความพิถีพิถันในทุกๆ ด้าน”
เหอตังกุยไม่้าเปิดเผยความจริงด้านมืดที่น่ารังเกียจ เพียงเอ่ยด้วยถ้อยคำเรียบง่าย “นางถือเป็ศัตรูของข้ามาโดยกำเนิด ข้าเกลียดชังนางเข้ากระดูก เมื่อเผชิญกับความเกลียดชังเช่นนี้เหตุผลของทุกสิ่งก็มลายหายไปจนหมดสิ้น”
“นี่ พวกเ้าสองคนห้ามพูดคุยกัน” เสียงของอาจารย์เจิ้งดังมาแต่ไกล “ถึงตาพวกเ้าสองคนแล้ว” นิ้วของนางชี้มาที่เหอตังกุยและเลี่ยวชิงเอ๋อร์
พวกนางสังเกตเห็นว่าจอกสุราไม้ได้หยุดอยู่ตรงหน้าพวกนางตามกระแสน้ำ ดังนั้นเลี่ยวชิงเอ๋อร์จึงจัดการตามข้อตกลงก่อนหน้านี้นางหยิบจอกที่ใส่สุราแล้วยกขึ้นดื่ม ในขณะที่เหอตังกุยกำลังจะแต่งบทกวีสองประโยคออกมาเพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ เลี่ยวชิงเอ๋อร์ก็ได้ยินว่าเป็หัวข้อ "เกล็ดหิมะ" และ "ดอกไม้ที่ร่วงหล่น"
ทันใดนั้นดวงตาของนางก็เป็ประกายทันที จากนั้นนางก็ยกมือขึ้นแล้วกล่าวว่า “ข้าคิดออกแล้ว ข้าคิดออกแล้ว ข้าเอง ‘ทัศนียภาพในชนบทตอนเหนือ ถูกขังอยู่ในน้ำแข็งเป็ร้อยจั้ง หิมะพัดโชยเป็หมื่นลี้...’
อ่อ คิดออกแล้ว... ''ูเาร่ายรำดั่งงูสีเงิน แผ่นดินล้ำค่าประดุจดั่งงาช้างสีขี้ผึ้ง ปรารถนาหยั่งเชิงกับสรวง์...''
เอ่อ ''ดินแดนแห่งนี้อุดมไปด้วยความงดงาม ทำให้วีรบุรุษผู้กล้านับไม่ถ้วนโค้งคำนับ... ''
นี่คือบทกวีเกี่ยวกับเกล็ดหิมะ และบทกวีเกี่ยวกับดอกไม้ที่ร่วงหล่น ''ดอกไม้ที่ร่วงโรยและร่วงหล่นเต็มอากาศกลิ่นหอมและสีสันสดใสไร้คนแยแส... เหล่าข้าทาสบริวารขุดหลุมเพื่อฝังมัน เมื่อเวลาร่วงเลยผู้ใดจะขุดหลุมฝังข้า... เอ่อ จบแล้ว ขอบคุณ” หลังจากสิ้นประโยคนางก็โค้งคำนับให้กับผู้คนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ในขณะที่นางลุกขึ้นนั้น เหอตังกุยก็โดนก้นของนางชนจนร่างโงนเงน หลังจากที่นางกลับมานั่งลงอีกครั้ง หน้าผากของเหอตังกุยก็ผุดเหงื่อชั้นบางๆ ออกมา นี่... นี่เหตุใดถึงได้เงียบขนาดนี้เล่า
เลี่ยวชิงเอ๋อร์รินสุราขวดสุดท้ายของพวกนางลงไปในจอกไม้โดยไม่สังเกตบรรยากาศรอบข้าง เมื่อนางรินเหล้าออกมาก็พบว่าในนั้นมีเพียงกากบ๊วย ดังนั้นนางจึงโบกมือให้กวนจัน อู่ยวี่อิ๋งและพวกพลางะโว่า "โทษที สุราขวดสุดท้ายของพวกข้าดื่มจนหมดเกลี้ยงแล้ว ตอนที่พวกเ้าดื่มก็เทเหล้าของเ้าใส่เองแล้วกัน ข้าจะล้างจอกให้พวกเ้าสะอาดๆ”
ในขณะที่นางเอ่ยนั้น นางก็เทกากบ๊วยและน้ำครึ่งถ้วยออกมาก่อนจะล้างจอกไม้ในลำธาร แล้วปล่อยจอกให้ไหลไปตามน้ำ
เลี่ยวชิงเอ๋อร์นั่งพิงก้อนหินอย่างมีความสุขและถามเหอตังกุยว่า “ผู้มีพร์เหอ บทกวีที่ข้าแต่งขึ้นเมื่อครู่นี้เป็เช่นไรบ้าง ข้าเก่งหรือไม่?”
เหอตังกุยรู้สึกละอายใจพลางเอ่ยว่า “เมื่อครู่นี้ข้าถูกเ้าชนจนล้มลง ก็เลยไม่ทันได้ตั้งใจฟัง เ้าอยากดื่มเหล้าอีกหรือไม่? ข้าจะไปเอามาให้อีกสักขวด ดูเหมือนทางนั้นมีคนแจกขนมอยู่”
ไม่รู้ว่านางคิดไปเองหรือไม่ ตอนนี้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่มีตาข้างลำธารรวมทั้งคน นก กบ และลูกแมวกำลังจับจ้องมาที่พวกนาง และคราวนี้ก็ดูเหมือนว่านางจะเป็ใบไม้สีเขียวของชิงเอ๋อร์ไปแล้ว
เลี่ยวชิงเอ๋อร์โบกมือและหัวเราะเสียงดัง “ขนมงั้นหรือ? ข้าไม่อยากกินแล้ว เ้าเองก็เก็บท้องเอาไว้ไม่ต้องกินเหมือนกัน เ้าลืมไปแล้วหรือว่า คืนนี้ ''หอนางโลมอี้หง'' พวกเราจะแสดงหญิงคณิกางดงามคนใหม่ พวกเรายังต้อง ''แต่งตัวเป็บุรุษ'' เพื่อไปยกย่องความงามของนาง”
เหอตังกุยใจนเข้าไปปิดปากของนางถึงสองครั้ง เพื่อปิดกั้นคำสำคัญไม่ให้เปล่งออกมา พวกนางคือเ้าของที่อยู่ ‘เื้ั’ของหอนางโลมอี้หง เื่นี้เป็ความลับสุดยอด และคนในที่นี้ต่างก็สามารถได้ยินเสียงที่นางเปล่งออกมา
เลี่ยวชิงเอ๋อร์โบกมือให้ฝูงชนราวกับคนมีชื่อเสียงและะโว่า “ขอบคุณสำหรับความสนใจของทุกท่าน ข้าเป็คนเงียบๆ ถ้าพวกเ้าอยากขอลายเซ็นของข้าก็ค่อยมาหาข้าเป็การส่วนตัว พวกเ้าต่อได้เลย”
หลังจากนั้นไม่นานทุกอย่างก็ดำเนินไปตามปกติ เลี่ยวชิงเอ๋อร์เอ่ยต่อหัวข้อสนทนาเมื่อครู่นี้ว่า “เสี่ยวอี้ครอบครัวของปู่เ้าทำไม่ดีกับเ้าเลย เ้ามีบิดาผู้ให้กำเนิด เหตุใดเ้าไม่ไปขอพึ่งพิงเขาเล่า ข้ารู้จักตระกูลของเขาในเมืองหลวง ตระกูลของเขาเป็กิจการร้านขายยาเหยาซื่อถัง ตระกูลของเขาร่ำรวยใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ท่านป้าของเ้าแต่งงานกับตระกูลหลิงและเสียชีวิตไปนานแล้ว ป้าอีกคนของเ้าก็เข้าวังไปเป็สนมของเฒ่าประหลาดจู นอกจากนางสองคน ตระกูลเหอของเ้าก็เหลือเพียงย่ากับพ่อของเ้า อ้อ พูดผิด ยังมีแม่เลี้ยงกับน้องชายน้องสาวเลี้ยงของเ้า สภาพแวดล้อมดูเรียบง่ายกว่าตระกูลหลัวตั้งเยอะ ชีวิตของเ้าก็จะเรียบง่ายขึ้นมาบ้าง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเ้าควรไปหาพ่อและขอฐานะของลูกสาวชอบธรรมของเ้ากลับมา แม่ของเ้าเคยเป็ชายาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเขา เ้าจะเป็ลูกสาวนอกสมรสได้อย่างไร? เมื่อมีคำว่าลูกนอกสมรสติดอยู่บนหัวของเ้าเช่นนี้ เ้าอาจจะได้ออกเรือนกับบุรุษที่ฐานะต่ำต้อยก็เป็ได้”
เหอตังกุยลูบรูปปั้นคนลายครามขนาดเท่าเมล็ดถั่ว แล้วส่ายหน้าเบาๆ พลางเอ่ย “ข้าชอบอยู่ตระกูลหลัว ข้าอยากเห็นคนในตระกูลหลัวทุกวัน ข้าไม่อยากไปไหน”
"เพราะเหตุใดเล่า?" เลี่ยวชิงเอ๋อร์เอ่ยอย่างประหลาดใจ “เหตุใดเ้าถึงได้หาเื่ใส่ตัว? หรือว่าเ้ากับพ่อของเ้ามีเื่บาดหมางอันใดในใจจนไม่อยากบากหน้าไปหาเขาหรือไม่?
เ้าวางใจเถิด เื่เช่นนี้ข้าเองก็เคยมีประสบการณ์เมื่อชาติที่แล้ว พ่อของข้าทิ้งข้ากับแม่ไปตอนที่ข้ายังเป็เด็ก เขาเป็เ้าของที่ดินมากมาย ในเวลานั้นก่อนที่พวกเขาจะหย่าร้างกัน เขาก็มีเมียน้อยหลายสิบคน และที่นั่นเื่เช่นนี้ถือว่าเป็เื่ผิดศีลธรรม
แม่ของข้าโกรธและไม่้าเงินจากเขา นางจึงพาข้าออกไปใช้ชีวิตอย่างยากลำบากท่ามกลางสังคมที่วุ่นวาย และเขาก็ไม่เคยมาหาพวกข้าสองแม่ลูก ต่อมาข้าเก็บเงินได้มากพอสำหรับค่ารถเดินทางไกล ดังนั้นข้าจึงนั่งรถไปยังเมืองหลวงคนเดียว ตอนนั้นข้าอายุแค่สิบสองปี หลังจากลงจากรถ ข้าก็ไม่เหลือเงินติดตัวสักแดง ข้าไปหาตำรวจและบอกเขาว่าข้าเป็ลูกแกะหนีออกจากบ้าน และกำลังจะทำเื่ไม่ดี แต่จู่ๆ ข้าก็รู้ว่าข้าหลงผิด ตอนนี้ข้าอยากกลับบ้านแต่กลับไม่รู้ว่าจะกลับได้อย่างไร ข้าให้ที่อยู่ของพ่อกับพวกเขา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงให้คนไปส่งข้าที่นั่น”
“แล้วต่อมาเล่า พ่อของเ้ามีปฏิกิริยาอย่างไร” เหอตังกุยเอ่ยถามและลูบรูปปั้นคนตัวน้อย
เลี่ยวชิงเอ๋อร์เลิกคิ้วและพูดว่า “เขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรได้เล่า? เขาย่อมมีความสุขแน่นอน แม้ผู้ใหญ่จะทะเลาะกัน ความสัมพันธ์ทางสายเืระหว่างพ่อลูกจะถูกตัดขาดได้อย่างไร? แม้ว่าข้าจะไม่มีความรู้สึกใดๆ กับเขา แต่เมื่อเขาเห็นดวงตาและคิ้วของข้าที่คล้ายกับเขามาก ทั้งยังเห็นข้าแต่งตัวเหมือนขอทาน เขาก็แทบจะหลั่งน้ำตาออกมาทันที ตอนที่ข้าเรียกเขาว่าพ่อ เขาก็ให้บ้านหลังใหญ่แก่ข้าและให้เงินข้าใช้จ่าย ต่อมาพอข้าเก็บเงินได้หนึ่งหมื่นหยวน ข้าก็เอาเงินจำนวนนี้กลับไปหาแม่ของข้า พอข้ากลับไปเยี่ยมเขาใน่ปิดเรียนฤดูร้อนปีต่อมาข้าก็ได้เงินอีกก้อนหนึ่ง ข้าใช้เงินของเขาเข้าเรียนในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท... เงินของพ่อตัวเองเหตุใดจะไม่ใช้เล่า? ถ้าข้าไม่ใช้เขาจะมอบเงินทั้งหมดให้กับเหล่าเมียน้อยของเขา ตราบใดที่เ้าบากหน้าไปหาเขาและเรียกเขาว่าพ่อหลายๆ ครั้ง ไม่ว่าจะฐานะ เงินทอง ท่านลุงเหอจิ้งเซียนรูปงามผู้นั้นก็จะมอบให้เ้าอย่างแน่นอน”
เหอตังกุยยังคงส่ายหัวและพูดว่า “สถานการณ์ของข้านั้นแตกต่างจากของเ้าอย่างสิ้นเชิง คนในตระกูลหลัวไม่ชอบข้า แต่ทัศนคติของตระกูลเหอที่มีต่อข้าอาจจะใช้คำว่า ‘รังเกียจ’ มาอธิบายได้เลยก็ว่าได้ ตระกูลเหอไม่มีทางยอมรับข้า”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้