“แหะๆ รอเ้าหยุดเรียนพรุ่งนี้ ข้าจะพาเ้าไปขี่ม้า” เจินจูรีบยิ้มปลอบเขา
ผิงอันดวงตาเป็ประกาย “จริงนะ ท่านกล่าวแล้วนะ?”
“อื้มๆ พี่กล่าวแล้วเชื่อถือได้”
ขณะที่กล่าวทั้งสองคนก็เดินเข้ามาและปิดประตูลง
“ท่านพี่ เมื่อสักครู่พี่รองมาหาท่าน ท่านไม่อยู่ นางเลยกลับไปแล้ว” ผิงอันเอ่ย
“เอ๋ นางมาหาข้าทำไมหรือ?”
“ไม่ทราบได้ ถามไปหนึ่งที ข้าถามว่านางมีอะไร แต่นางไม่ได้บอก เพียงกล่าวว่าตอนบ่ายจะมาอีก”
เจินจูพยักหน้า ในเมื่อไม่ใช่เื่รีบร้อน เช่นนั้นก็รอนางมาแล้วค่อยว่ากัน
ตอนที่ชุ่ยจูมาหาอีกครั้ง เจินจูกำลังช่วยหลี่ซื่อเย็บปลอกผ้านวมอยู่ นี่เป็ของขวัญที่เตรียมมอบให้แก่ท่านอาหงยู่
“พี่รอง มาแล้ว ท่านรอเดี๋ยว ข้าจะเสร็จตรงนี้แล้ว” เจินจูเรียนรู้งานเย็บปักถักร้อยอยู่สองสามปี งานปักอันประณีตฝึกได้ยังไม่ค่อยดีนัก แต่พวกเย็บปะเสื้อธรรมดา ไม่ใช่เื่ยากลำบากสำหรับนาง
ชุ่ยจูรีบโบกไม้โบกมือ “ไม่รีบเลย ให้ข้าช่วยไหม?”
“ไม่ต้องหรอก จะเสร็จแล้ว”
เย็บเข็มสุดท้ายเสร็จ ทำการมัดปมและใช้กรรไกรตัดด้ายให้ขาด
“เสร็จแล้ว ท่านแม่ ข้าไปพักก่อนนะ อีกเดี๋ยวจะมาช่วยอีกเ้าค่ะ” นางลงจากเตียงอิฐ และสวมรองเท้า
“ไปเถอะ ที่เหลือแม่ทำเองได้ เ้ากับชุ่ยจูไปเล่นกันได้เลย” หลี่ซื่อเงยหน้าขึ้นพลางยิ้มอย่างอ่อนโยนไปทางพวกนาง
เจินจูนำทางชุ่ยจูกลับไปในห้องของตนเอง แล้วไปห้องครัวชงชาดอกกุหลาบขึ้นสองถ้วย
“พี่รอง ท่านดื่มชาก่อน” เจินจูวางชาลงบนโต๊ะเตี้ยที่อยู่บนเตียงอิฐ จากนั้นขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนเตียง
“เป็อะไรไป เกิดเื่อะไรขึ้นหรือ?”
สีหน้าของชุ่ยจูกลัดกลุ้ม นางลังเลเล็กน้อย “เจินจู ข้าได้ยินมาว่าจ้าวไฉ่สยาแท้งลูกแล้ว”
เจินจูเลิกคิ้วขึ้น ที่แท้ก็เป็เื่นี้นี่เอง “อื้ม ข้าก็ได้ยินแล้ว ว่ากันว่าเดิมทีตัวอ่อนไม่มั่นคงอยู่แล้วด้วย แล้วยังวิ่งกลับมาบ้านบิดามารดาของนางอีก เลยแท้งลูกไป”
ชุ่ยจูเม้มปาก ในส่วนลึกของดวงตามีความไม่สบายใจอยู่บางๆ
“เ้าว่า เป็เพราะเื่ที่ข้าจะแต่งกับพี่ไป่ิหรือไม่ ที่ไปเร้าจิตใจนางมากจนเกินไป ดังนั้นนางเลยแท้งลูก?”
สีหน้าของเจินจูที่แต่เดิมผ่อนคลายได้เริ่มสำรวมขึ้นอย่างช้าๆ รู้สึกว่าหน้าผากวาดผ่านเป็เส้นดำสามขีด พี่รองของนางเป็ร่างจำแลงของพระแม่ดอกบัวขาวหรือ? เหตุใดไม่ว่าเื่อะไรก็โทษที่ตัวเองทุกเื่เลย
นางข่มความรู้สึกที่อยากประคองศีรษะไว้ แล้วกล่าวด้วยความอดทน “พี่รอง ท่านรู้สึกว่าพี่ไป่ิสมควรไม่แต่งภรรยาไปชั่วชีวิตหรือ?”
“…เอ่อ แน่นอนว่าไม่ใช่” ชุ่ยจูรีบส่ายหน้า
“ไม่ว่าพี่ไป่ิจะขอผู้ใดแต่งงาน จ้าวไฉ่สยาก็ไม่มีคุณสมบัติกล่าวสามว่าสี่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการใส่ร้ายป้ายสีและวางแผนการใส่ผู้อื่นเลย แต่ไหนแต่ไรมาพี่ไป่ิก็ไม่ได้คลุกคลีกับนาง ดังนั้นท่านอย่าเอาพี่ไป่ิไปโยงความสัมพันธ์เข้าด้วยกันกับจ้าวไฉ่สยา ไม่เช่นนั้นคงทำให้พี่ไป่ิชื่อเสียงแปดเปื้อนเอาได้ พี่รอง ท่านจำคำที่ข้าเคยพูดได้ใช่หรือไม่ หากท่านไม่สามารถจัดการความรู้สึกตัวเองออกไปได้ เช่นนั้นทางที่ดีที่สุดอย่าแต่งให้กับพี่ไป่ิเลย วันข้างหน้าจะได้ไม่ทำให้เขาต้องเดือดร้อน” คำพูดของเจินจูกล่าวอย่างเน้นหนัก ที่จริงแล้วสำหรับนิสัยของนางที่ยึดเอาภาระมาไว้กับตัวเองเช่นนี้ เจินจูหมดคำจะพูดอย่างมาก
ชุ่ยจูสีหน้าซีดเผือด กลีบปากสั่นระริก น้ำตากำลังจะไหลหล่นลง “…ข้า …ข้า ไม่ได้หมายความแบบนั้น”
“เช่นนั้นท่านกล่าวมาสิ คำพูดของท่านหมายความว่าอย่างไร?” เจินจูถามออกไปทื่อๆ
“ข้า แค่รู้สึกว่า... จ้าวไฉ่สยาน่าเวทนานิดหน่อย” ชุ่ยจูมองไฉ่สยาด้วยความน่าสงสาร แต่ท่าทางโมโหของเจินจูในตอนนี้ช่างน่ากลัวนัก
“…น่าเวทนากับผายลมสิ! นั่นเป็สิ่งที่นางทำ นางก็ต้องรับเอาไว้เอง หากนางรู้จักรักใคร่ทะนุถนอมลูกของตัวเองจะวิ่งมาบ้านบิดามารดาของนางท่ามกลางอากาศหนาวเย็นทำไม เพียงเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของนางแล้ว เลยไม่ให้ความสำคัญกับท้องของตัวเองเช่นนั้นหรือ” เจินจูกลอกตา แฝงไว้ด้วยเนื้อแท้ของแม่พระจริงๆ คนเขาคิดร้ายกับนาง แต่นางกลับยังรู้สึกว่าจ้าวไฉ่สยาน่าเวทนาอยู่อีก
“ท่านถูกนางคิดร้ายใส่ ท่านยังเวทนานางอีก หากวันนั้นท่านไปป่านั่น แล้วถูกพวกนางใส่ร้ายว่าแอบลักลอบพบชู้กับหลิวเหล่าซาน เช่นนั้นชีวิตนี้ของท่านคงถูกทำลายไปแล้ว ะโลงแม่น้ำเหลืองก็ล้างจุดด่างพร้อยนี้ไปจากร่างกายให้สะอาดไม่ได้ เมื่อชื่อเสียงเสียหายป่นปี้ ต่อให้ไม่ยินดีก็ต้องแต่งให้กับหลิวเหล่าซาน สรุปว่าท่านรู้ความร้ายแรงของเื่หรือยัง!”
กล่าวจนถึงสุดท้าย นางเกือบจะกล่าวออกมาอย่างคำรามเสียงต่ำอยู่แล้ว เกลียดเหล็กไม่เป็เหล็กกล้าเลยจริงเชียว
ชุ่ยจูคล้ายกับว่าถูกทำให้ใกลัว น้ำตาพรั่งพรูไหลพราก ใบหน้าเล็กทั้งดวงขาวซีด สีหน้าท่าทางเปราะบางราวกับแตะโดนนิดก็พร้อมล้มลงได้
“เฮ้อ” เจินจูถอนหายใจยาว “พี่รอง เื่ที่ประสบอยู่ อย่ามองแค่เปลือกนอกอย่างเดียว ต้องพิจารณาหลายๆ ด้าน ท่านเห็นแค่นางแท้งลูกก็รู้สึกสงสาร เช่นนั้นนาง้าทำลายท่านอย่างโหดร้ายเช่นนี้ ทำไมท่านไม่เวทนาตัวเองบ้าง ทำไมท่านไม่สงสารพี่ไป่ิสักหน่อยบ้าง เขาถูกสตรีที่มีเจตนาโเี้เพียงนั้นชื่นชอบ ท่านคิดว่าพี่ไป่ิจะดีใจได้หรือ?”
“…ข้า ข้ารู้ เจินจู ข้าแค่รู้สึกว่าอย่างไรเสียชีวิตน้อยๆ หนึ่งชีวิตก็น่าสงสารเกินไปแล้ว” ชุ่ยจูกล่าวร้องไห้สะอึกสะอื้น
“หยุดๆๆ! พี่รอง สตรีที่หลั่งน้ำตาเป็บางครั้งบางคราว เป็ความโศกเศร้าที่งดงาม แต่ร้องไห้อยู่บ่อยๆ นั่นเป็การแสดงออกอย่างอ่อนแอและไร้ความสามารถ” เจินจูมองชุ่ยจูที่น้ำตาเปรอะเปื้อนไปทั่วทั้งดวงหน้าอย่างปวดศีรษะ
อาจเป็เพราะการแสดงออกของนางน่ารังเกียจจนเกินไป ชุ่ยจูจึงล้วงเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาขึ้นเช็ดน้ำตานองสองแก้มออกให้แห้ง พร้อมกับกลั้นร้องไห้สะอึกสะอื้นและนั่งตัวเหยียดขึ้นตรง
เจินจูจึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “เด็กนั่นกับจ้าวไฉ่สยาไร้วาสนาต่อกัน จะต้องกลับชาติมาเกิดกับครอบครัวที่ดีกว่านี้ได้แน่ ท่านอย่ากลุ้มใจไปเปล่าๆ เลย ข้าเคยบอกกับท่านแล้วนี่ อย่ายึดเอาเื่ผายลมสุนัขมารับผิดชอบไว้ที่ตัวเอง หากวันข้างหน้าท่านเป็เช่นนี้อีก จะเป็การหาเื่ให้พี่ไป่ิ เพิ่มความยุ่งยากลำบากให้แก่เขา ท่านชอบเขา ทว่าทำได้เพียงนำเอาความยุ่งยากไปให้ ท่านจะสบายใจได้หรือ?”
เบ้าตาของชุ่ยจูเริ่มแดงรื้นขึ้นมาอีกรอบ ทว่านางก็เม้มปากแน่นพยายามข่มน้ำตากลับเข้าไป
“ข้า... ข้าจะเปลี่ยนแปลง”
เจินจูมองใบหน้าบิดเบี้ยวที่กลั้นความรู้สึกอัดอั้นของนาง อดเผลอยิ้มออกมาไม่ได้ “พอแล้ว ดื่มชาก่อน ไม่เข้าใจท่านจริงๆ เห็นกันอยู่ว่าตอนเป็เด็กรู้จักเหตุผลและฉลาดเฉียบแหลมดีแท้ๆ ทำไมโตขึ้นมาแล้วถึงเอนเอียงไปทางดอกบัวสีขาว [1] ได้ล่ะนี่”
ชุ่ยจูดื่มชาดอกกุหลาบกลิ่นหอมเข้มข้น รู้สึกผ่อนคลายลงมาก นางถามด้วยความประหลาดใจ “เติบโตแล้วเอนเอียงไปทางดอกบัวขาวหรือ?”
เจินจูเม้มปากหัวเราะ “ดอกบัวสีขาวสวยและนิ่มนวล เปราะบาง จิตใจดีงาม บริสุทธิ์ เรียบร้อยและน่าสงสาร”
ชุ่ยจูกะพริบตาที่ชุ่มชื้นไปด้วยน้ำตาเมื่อสักครู่ “คุณลักษณะเช่นนี้ไม่ใช่ว่าดีทั้งนั้นหรอกหรือ?”
“…เอ่อ ท่านรู้สึกว่าดี แต่ความบริสุทธิ์ จิตใจดีงามและเรียบร้อยน่าสงสารนี้ สามารถกระตุ้นความเห็นอกเห็นใจจากผู้อื่นได้ง่ายมาก ความสวยความนิ่มนวลและความเปราะบางก็เป็ข้ออ้างเอาไว้พึ่งพิงผู้อื่นได้ดีที่สุด สิ่งเหล่านี้ล้วนเทียบไม่ได้เลยกับการหยิ่งในศักดิ์ศรี มุมานะบากบั่นด้วยตัวเอง ยืนให้ได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง และมั่นใจในตัวเอง ทั้งหมดจะยิ่งทำให้ตัวเองมีความกล้าหาญมากขึ้น ทั้งให้เกียรติตัวเองไม่ทำให้ผู้อื่นลำบากและยังทำเื่ราวให้สำเร็จลุล่วงไปได้ หากเข้มแข็งและทะเยอทะยานด้วยตนเอง ไม่พึ่งพิงผู้อื่น เราก็จะเชื่อมั่นในความสามารถและคุณค่าของตนเอง”
แม่เ้าโว้ย... คาดไม่ถึงเลยว่านางจะเริ่มหลักสูตรเชิงอุดมการณ์การเมือง [2] ให้กับชุ่ยจูแล้ว ช่างไม่สบอารมณ์เลยจริงๆ
ชุ่ยจูฟังจนตะลึงแล้วตะลึงอีก แม้ไม่เข้าใจความหมายอย่างละเอียดกระจ่างแจ้ง แต่เนื้อความที่เจินจู้าจะสื่อนางฟังเข้าใจ ก็คือการจะบอกเป็นัยว่า นางเป็คนที่ชอบร้องไห้ อ่อนแอ ไม่รับผิดชอบในเื่ที่ควรรับผิดชอบ ต้องใช้ประโยชน์จากความเห็นอกเห็นใจของผู้อื่นทุกเื่ อาศัยผู้อื่นมาแก้ปัญหาให้
ชั่วพริบตาเดียว นางก็ไม่สบายใจจนอยากจะร้องไห้ขึ้นมาอีกรอบ นางไม่ได้คิดแบบนั้น แค่ไม่ทันได้รู้สึกตัวเื่ราวก็เปลี่ยนไปจนกลายเป็เช่นนี้แล้ว
…นี่เป็คุณสมบัติพิเศษ ของดอกบัวสีขาวที่เจินจูกล่าวหรือ? นางไม่อยากเปลี่ยนไปเป็ดอกบัวสีขาว
ชุ่ยจูพยายามกลั้นน้ำตาไว้ ตั้งมั่นว่าจะไม่เอียงไปทางดอกบัวสีขาวอย่างเด็ดขาด
เฮ้อ... ยังนับว่าเป็เด็กมีอนาคตพอที่จะสอนได้ เจินจูมองใบหน้าที่ข่มกลั้นความรู้สึกไว้ของชุ่ยจูอย่างมีความสุข
นางกับชุ่ยจูพูดคุยกันในห้องอยู่นาน ระหว่างนั้นก็ล้างสมองเปลี่ยนแปลงความคิด ให้นางออกห่างจากคุณสมบัติพิเศษของดอกบัวสีขาวเสีย
จนกระทั่งชุ่ยจูจากไป บนใบหน้าประดับไว้ด้วยความมุ่งมั่นเล็กน้อย เจินจูแสดงออกมาว่า ที่แท้นางก็มีคุณสมบัติในการแพร่ขยายความคิดแฝงอยู่นี่เอง ฮ่าๆ!
...วันถัดมาท้องฟ้ามืดครึ้มไร้หิมะ
เมื่อเจินจูกับผิงอันทานอาหารเช้าเสร็จก็ไปจูงม้าสองตัวที่บ้านอาชิงออกมา
พาเสี่ยวหวงกับเสี่ยวเฮยไปด้วย พากันเดินไปยังเส้นทางด้านหลังูเา
“ว้าว เป็ท่านพี่ที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก เดิมทีนิสัยของช่านเตี้ยนกับจุยเฟิงดุร้ายมาตลอด แต่พอท่านจูงพวกมันก็เชื่องอย่างกับกระต่ายเลยเชียว” ผิงอันขี่อยู่บนหลังม้า ส่งเสียงร้องเอะอะออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ
เจินจูมองเขาปราดหนึ่ง “เ้าหยุดโหวกเหวกได้แล้ว อีกเดียวก็ดึงดูดสุนัขป่ามาหรอก ดูสิว่าเ้าจะทำอย่างไร”
ผิงอันใบหน้าหยุดชะงัก มองไปที่นางด้วยความคับแค้นใจ แต่สุดท้ายก็เงียบลงแต่โดยดี
“ท่านพี่ ทำไมเสี่ยวเฮยอยู่บนหลังม้าได้ แต่เสี่ยวหวงกลับต้องวิ่งเองล่ะ?” ผิงอันปวดใจแทนเสี่ยวหวงที่วิ่งมาตลอดทาง
“เสี่ยวหวงอ้วน ควรขยับมากหน่อย เสี่ยวเฮยตลอดทั้งวันจรดเย็นวิ่งเล่นไปทั่ว เคลื่อนไหวมากพอแล้ว” เจินจูกล่าวด้วยความสงบนิ่ง
ผิงอันทำได้เพียงมองเสี่ยวหวงแวบหนึ่งอย่างหมดหนทางช่วยเหลือ
ระดับความเร็วที่สองคนขี่ม้าเดินไปตามทางไม่เร็วมาก อย่างไรเสียก็ล้วนเป็มือใหม่ พยายามฝึกอย่างเต็มที่เป็หลักก่อน
“ไม่กี่วันมานี้สภาพจิตใจของจ้าวขุยเป็อย่างไรบ้าง?”
“ตกต่ำเล็กน้อย จ้าวไฉ่สยาถูกเซียงกงของนางรับไปแล้ว ท่านแม่กับท่านพ่อของเขาก็ทะเลาะกันอย่างรุนแรงขึ้นอีก”
“ทะเลาะกันทำไม?”
“ท่านแม่ของเขาบอกว่าท่านพ่อเขาตบลูกสาวจนเป็เช่นนี้ ท่านพ่อของเขาก็บอกว่าท่านแม่เขาพาลูกสาวไปเป็เช่นนี้ สรุปแล้วสองคนก็เลยตำหนิกันไปมา”
“เช่นนั้นเซียงกงของจ้าวไฉ่สยาไม่พูดอะไรหรือ?”
“ได้ยินจ้าวขุยบอกว่า ตอนเขามารับสีหน้าอึมครึมนัก”
เจินจูส่ายหน้าถอนหายใจ ตู้ต้าฝูผู้นั้นมีเพียงบุตรสาวสองคน แต่งภรรยามาใหม่เป็ธรรมดาที่้ามีบุตรชายเพิ่ม เมื่อจ้าวไฉ่สยาแท้งลูกก็ไปััถูกเส้นตายของเขา มีสีหน้าที่ดีได้สิถึงจะเป็เื่แปลก
สตรียุคนี้ คุณค่าโดยส่วนใหญ่แล้วก็เป็เครื่องมือให้กำเนิดบุตร สตรีที่ไม่สามารถคลอดบุตรได้ย่อมไม่ได้รับการยอมรับจากครอบครัวและสังคม
เจินจูจนปัญญาอย่างมาก เว้นแต่นางจะสามารถห่างไกลครอบครัวและสังคมได้ ไม่เช่นนั้นนางก็หนีไม่พ้นจากกรอบของยุคนี้ด้วยเช่นกัน คนมีชีวิตอยู่ก็ต้องเรียนรู้ที่จะประนีประนอมบ้าง
“ท่านพี่ พี่ชายยู่เซิงไม่ได้บอกหรือว่าเมื่อไรจะมาเยี่ยมพวกเรา?”
เจินจูได้ฟังดังนั้น สีหน้าก็หยุดชะงักทันที เว้น่อยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบ “เขาอยู่ในค่ายทหารชายแดนกับพี่ชายใหญ่ของเขา คงไม่มีเวลากลับมาแล้ว”
“ฮะ... ค่ายทหารนั่นไม่มีวันหยุดหรือ?”
“มีก็กลับมาไม่ได้ ที่พวกเราอยู่นี่ห่างจากเมืองชายแดนเกินไป เ้าไม่ต้องคิดถึงแล้ว” ลมเหนือเย็นเยือกพัดปะทะเข้าที่ใบหน้า ร่างกายของเจินจูขยับขึ้นลงไปพร้อมกับม้า มือที่กำเชือกบังเหียนเย็นอย่างกับน้ำแข็ง
ผิงอันทำหน้างอนพลางบ่นออกมา “เช่นนั้นวันข้างหน้า เมื่อข้าโตแล้วจะไปหาเขาที่ชายแดน”
เจินจูหันกลับไปมองเขาแวบหนึ่งพร้อมกับเบะปาก หลัวจิ่งดีเพียงนั้นเลยหรือ โตแล้วยังจะไปหาเขาด้วยเนี่ยนะ คนเขาอาจลืมเ้าไปจนหมดสิ้นนานแล้วกระมัง
สองพี่น้องขี่ม้าเดินเล่นอยู่บนถนนในูเาหนึ่งรอบก็กลับบ้านด้วยทางเดิม อากาศหนาวเย็นเช่นนี้การขี่ม้าจึงเป็การเคลื่อนไหวที่ยากลำบากเช่นกัน เพราะลมเย็นพัดเข้าใบหน้าและคอตลอดเวลา มือและเท้าก็แข็งเย็นจนเหมือนกับก้อนน้ำแข็ง แม้แต่เสี่ยวเฮยก็ร้องประท้วงขึ้นมาด้วยเช่นกัน
เสี่ยวหวงวิ่งมาตลอดทาง มันเหนื่อยจนหอบแฮ่ก ขณะเดินทางกลับผิงอันเลยอุ้มมันขึ้นบนหลังม้า
พวกเขากลับมาถึงบ้าน หลี่ซื่อเตรียมน้ำขิงรอไว้อยู่นานแล้ว เมื่อวานผิงอันพูดอวดกับหลี่ซื่อไว้ว่าวันนี้จะไปขี่ม้าเล่น หลี่ซื่อที่ห่อกายด้วยเสื้อหนาวมีซับในสั่นเทาเล็กน้อย เมื่อเห็นใบหน้าเล็กของบุตรชายตื่นเต้นดีใจ คำพูดคัดค้านจึงกลืนกลับลงไปในที่สุด ทำได้เพียงเตรียมน้ำขิงร้อนๆ เพื่อขจัดลมหนาวไว้ให้พร้อมอยู่เงียบๆ
เสี่ยวเฮยกับเสี่ยวหวงล้วนได้รับตัวละหนึ่งถ้วยเล็ก กลิ่นขิงเข้มข้น หนึ่งแมวหนึ่งสุนัขเบนหัวหนีด้วยความรังเกียจ ยังดี... ขิงที่หลี่ซื่อใช้เป็ชิ้นที่เจินจูเคยสับเปลี่ยนกับผลิตผลในมิติช่องว่าง แม้พวกมันจะรังเกียจแต่สุดท้ายก็ยังกินไปจนหมด
เชิงอรรถ
[1] ดอกบัวสีขาว หมายถึง ผู้หญิงที่ดูใสซื่อบริสุทธิ์ดังดอกบัว (ความรู้เพิ่มเติม ภายหลังในยุคปัจจุบันได้กลายมาเป็คำแสลงในโลกอินเทอร์เน็ต แปลว่า แรดเงียบ)
[2] อุดมการณ์การเมือง คือ การอธิบายเชิงเหตุผลนามธรรมและเชิงตรรกะ มุมมองความคิดและความคิดเห็นที่เกิดขึ้นโดยสมาชิกในสังคมการเมือง ซึ่งเป็ภาพสะท้อนที่มีสติและเป็ระบบของกิจกรรมทางการเมือง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้