อำเภอเจิ้นอันดูแลทั้งหมดสิบหกเมือง มีพื้นที่กว้างขวางการสัญจรเจริญ เขตการปกครองมีความรุ่งเรืองประชากรหนาแน่น
ที่ปากทางเข้าเมืองมีทหารทางการหนึ่งแถวคอยตรวจสอบขบวนรถม้าที่ผ่านไปมา
หูฉางกุ้ยหยุดเกวียนล่อลงชิดขอบถนน ที่ไม่ไกลจากประตูเมืองมีร้านน้ำชาร้านหนึ่งเปิดให้คนสัญจรบนถนนได้หยุดพักเหนื่อย ด้านในมีแขกอยู่ไม่น้อยที่นั่งรวมกันสองคนบ้างสามคนบ้าง
“ท่านอาฉางกุ้ย ส่งข้าที่นี่ก็พอ มีสหายร่วมสำนักสองคนมาถึงร้านน้ำชาแล้วขอรับ” จ้าวไป่ิยังไม่ลงจากเกวียนก็เห็นเพื่อนร่วมสำนักเดียวกันในร้านแล้ว
“อื้ม ได้ เช่นนั้นพวกข้าจะมารอเ้าตรงนี้ยามเซิน [1] หูฉางกุ้ยยิ้มซื่อๆ หากเขาเร่งเดินทางกลับไปตอนยามเซิน กลับไปถึงบ้านไม่นับว่าค่ำเกินไป
ยามเซิน? เจินจูคำนวณอย่างเงียบๆ น่าจะเป็เวลาบ่ายสามถึงห้าโมงเย็น
จ้าวไป่ิพยักหน้า เมื่อนัดหมายเวลากันดีแล้วจึงอำลาทั้งสองคน แล้วเดินไปทางร้านน้ำชา
สิ่งที่เห็นอยู่ไกลๆ คือเขาทักทายกับสหายร่วมสำนักในร้านน้ำชา แล้วเข้านั่งประจำที่ด้วยกัน คิดๆ ดูแล้วคนน่าจะยังมาถึงไม่ครบ
“ท่านพ่อ เราเอาเกวียนไปฝากไว้ แล้วเข้าไปดูในเขตอำเภอสักหน่อยนะเ้าคะ” เจินจูลงจากเกวียน แหงนหน้ามองประตูเมืองรูปแบบโบราณและเรียบง่ายสูงใหญ่ ในใจตื่นเต้นขึ้นเล็กน้อยอย่างกล่าวไม่ถูก
“อื้ม ได้” หูฉางกุ้ยรีบขานรับ
ฝากเกวียนวัวเสร็จแล้ว สองพ่อลูกตามกระแสคนหลั่งไหลเข้าเขตอำเภอเจิ้นอัน
“อื้ม เหมาะแล้วที่จะเป็เขตอำเภอ ดูสิถนนนี้ยังคึกคักกว่าถนนทางใต้ที่ใหญ่โตหรูหราฟุ่มเฟือยที่สุดของเมืองไท่ผิงเราอีก” เจินจูยิ้มแล้วเหลือบซ้ายแลขวา
ร้านรวงบ้านเรือนที่ตั้งขึ้นอยู่สองข้างทางส่วนใหญ่เป็หอสองถึงสามชั้น ลักษณะยิ่งใหญ่กว้างขวางและตกแต่งหรูหราระดับสูง ผู้คนสัญจรไปมาขวักไขว่ คึกคักกว่าเมืองไท่ผิงมากนัก
“ใช่แล้ว เจินจู เ้าช้าหน่อย คนเยอะอย่าพลัดจากกันเล่า” หูฉางกุ้ยตามอยู่ข้างหลังนางอย่างตึงเครียด
“ทราบแล้ว ท่านพ่อ พวกเราเดินชมหนึ่งรอบก่อน หากหาร้านสาขาของสือหลี่เซียงพบ ก็เข้าไปทานอาหารกลางวันกันเลยนะเ้าคะ” ที่จริงแล้วการตามเข้าอำเภอของนางไม่ได้มีจุดประสงค์อะไร หลักๆ คือเพื่อเปิดหูเปิดตา
สองคนเตร็ดเตร่เลียบถนนหลักหนึ่งสายอย่างเชื่องช้า อำเภอเจิ้นอันเจริญรุ่งเรืองกว่าเมืองไท่ผิงจริงๆ ด้วย สินค้าในร้านค้าต่างๆ หรือสินค้าจากพ่อค้าหาบเร่มากมายล้วนเป็ของที่เจินจูไม่เคยเห็นทั้งสิ้น
ผ่านร้านเกาเตี่ยน มีเกาเตี่ยนต่างๆ นานาที่วางแสดงอยู่ในนั้น ขนมไส้กุหลาบ [2] ขนมสมปรารถนา [3] ขนมดอกท้อ [4] ขนมดอกเหมย [5] และอีกมากมาย ส่วนใหญ่เป็รูปแบบที่พบเห็นได้น้อยในเมืองไท่ผิง เจินจูเลือกซื้อไม่กี่อย่างอย่างละหนึ่งห่อ เด็กสองคนผิงอันและผิงซุ่นต้องชอบแน่นอน
เดินผ่านพ่อค้าหาบเร่แผงลอยเล็กๆ ที่ขายเชือกมัดผมและดอกไม้ผ้าไหมประดิษฐ์ ดอกไม้ประดิษฐ์นั้นม้วนจากเส้นไหมอ่อนหรือเส้นไหมธรรมดาที่บางเบา เนื้อผ้าอ่อนนุ่มสีสันสว่างสดใส ดึงดูดสายตาของผู้ที่สัญจรบนท้องถนนมากนัก ก็เพราะเป็เช่นนี้ หน้าแผงขายจึงมีสตรีแต่งตัวสวยงามสามสี่แม่นางกำลังเลือกหยิบไปมาด้วยความตื่นเต้น
เจินจูนึกถึงใบหน้าซูบผอมลงเล็กน้อยของชุ่ยจูขึ้นได้ แม้เื่ของเหลียงหู่จะผ่านไปหลายวันแล้ว แต่ชุ่ยจูกลับหลงเหลือความหวาดกลัวในใจอยู่ จึงเก็บตัวอยู่บ้านช่วยหวังซื่อทำงานทุกวัน ออกจากบ้านน้อยมาก
เมื่อคิดได้เช่นนั้น นางจึงตั้งใจเลือกดอกไม้ผ้าไหมประดิษฐ์เรียบแต่ดูงดงามมาสองดอกเป็พิเศษ แล้วถือโอกาสเลือกแปรงไม้ต้นท้อหนึ่งอันให้ผิงอันไปด้วย
เดินๆ หยุดๆ มาตลอดทาง เจินจูเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ราวกับคืนสู่ในอดีต ที่พอถึงวันหยุดก็สามารถเตร็ดเตร่ซื้อของได้ทั้งวัน
“เจินจู นั่นใช่ป้ายร้านของสือหลี่เซียงหรือไม่?”
จู่ๆ หูฉางกุ้ยก็ชี้ไปยังร้านแห่งหนึ่ง แม้เขาไม่รู้ตัวอักษร แต่เขาคบค้าสมาคมกับสือหลี่เซียงมามากกว่าครึ่งปีแล้ว ป้ายร้านของพวกเขาหูฉางกุ้ยจะไม่รู้จักได้หรือ
นางมองตามไปยังทิศทางที่เขาชี้ เป็สือหลี่เซียงจริงด้วย
มีสง่าและกว้างขวางกว่าหน้าร้านของเมืองไท่ผิงอีก จวนจะยามอู่แล้วแขกที่หลั่งไหลไปมาภายในร้านมีไม่น้อยเลย
เจินจูจูงหูฉางกุ้ยเข้าไป เสี่ยวเอ้อหน้าร้านใบหน้ายิ้มแย้มเข้ามาต้อนรับ และนำทางสองคนไปโต๊ะรับแขกด้านติดถนน
เมื่อมองใบรายการอาหารบนกำแพงสองสามที ในป้ายรายการอาหารของสือหลี่เซียงมีอาหารประเภทพะโล้ทุกชนิดโผล่ขึ้นมาอยู่แถวลำดับที่หนึ่ง คิดๆ ไปแล้วสือหลี่เซียงขายอาหารพะโล้ได้ไม่เลวเลย ในใจของนางอดลำพองใจขึ้นไม่ได้ วัตถุดิบน้ำครึ่งถังของตนเองนี้ ไม่คิดเลยว่าจะทำสูตรออกมาเป็ที่นิยมเช่นนี้ได้
เนื้อพะโล้เนื้อตากแห้งอะไรต่อมิอะไร เมื่อออกจากบ้านมาแล้วก็ไม่อยากทานของที่เหมือนบ้านตนเองทำอีก นางปรึกษากับหูฉางกุ้ยแล้วสั่งกับข้าวสองอย่างน้ำแกงหนึ่งอย่างในป้ายแนะนำ
อาหารตามป้ายแนะนำของสือหลี่เซียงรสชาติไม่เลวดังคาด เจินจูทานข้าวไปครึ่งถ้วย อิ่มท้องไปแล้วเจ็ดถึงแปดส่วน หลังจากนั้นตักน้ำแกงหอยตลับใส่ผักกาดเขียวปลีอ่อนๆ หนึ่งถ้วยขึ้นซด น้ำแกงสดใหม่มาก ทั้งรสหอยตลับยังเข้มข้นอีกด้วย เป็รสชาติที่นางชอบเลยทีเดียว
หูฉางกุ้ยเห็นบุตรสาวทานอิ่มแล้ว จึงทานกับข้าวที่เหลืออยู่ทั้งหมดแม้แต่น้ำแกงก็ทานจนเกลี้ยง
พอคิดเงิน... ทานอาหารหนึ่งมื้อเกือบเป็เงินห้าร้อยเหวิน
หูฉางกุ้ยหางตากระตุก แค่กับข้าวสามอย่างปริมาณก็ไม่มาก ไม่คิดเลยว่าต้องจ่ายห้าร้อยเหวิน ห้าร้อยเหวินล้วนสามารถซื้อไก่โตอ้วนพีได้ห้าถึงหกตัวเลย เขาจ่ายเงินไปอย่างปวดใจ
นางจ้องสีหน้าปวดใจของผู้เป็บิดา เจินจูเม้มปากยิ้ม แม้ปัจจุบันนี้ทรัพย์สินของครอบครัวค่อนข้างอุดมสมบูรณ์มาก แต่หูฉางกุ้ยยังคงมีความคิดแบบชาวบ้านทั่วไปอยู่
ออกมาจากสือหลี่เซียง หูฉางกุ้ยยังคงลูบถุงเงินในหน้าอกอย่างปวดใจ
ครั้นพวกเขาเลี้ยวผ่านมุมถนนมา คิดจะไปเดินเล่นตลาดสักหน่อย
“ตุบ” จู่ๆ เด็กชายตัวผอมเล็กหนึ่งคนปะทะเข้ากับหูฉางกุ้ย
หูฉางกุ้ยรีบยื่นมือออกไปคิดจะประคองเด็กชายไว้ แต่เด็กชายกลับสะบัดมือและหมุนตัวจากไป
เจินจูขมวดคิ้ว ทำไมฉากนี้คุ้นเคยเช่นนี้
“ท่านพ่อ คลำดูสิว่าถุงเงินของท่านยังอยู่หรือไม่เ้าคะ?”
นางรีบถามออกไป
หูฉางกุ้ยมีปฏิกิริยาขึ้นทันที รีบลูบไปทางหน้าอก... ว่างเปล่า
ทันใดนั้นสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป รีบหมุนกายมองหาเงาร่างของเด็กชายคนนั้น ชั่วอึดใจก็เห็นเด็กชายรูปร่างผอมลีบอยู่ห่างไกลออกไปจากกลุ่มคน
รีบก้าวเท้าออกไปอย่างไม่ลังเล หวังไล่ตามไปให้ทัน ในถุงเงินมีสิบเหลียงย่อยอยู่ ครั้งก่อนเขาก็ทำเงินสิบกว่าเหลียงหายไป หากหายไปอีกครั้งจะมีหน้าที่ไหนไปเผชิญกับหลี่ซื่อ
เด็กชายราวกับรู้สึกได้ จึงเร่งความเร็วจังหวะก้าวเท้าขึ้น เคลื่อนไหวอยู่ในกลุ่มคนอย่างหลบขวาแฉลบซ้าย
ในเวลานี้สายตาของหูฉางกุ้ยเฉียบคมมาก สามารถหาร่องรอยของเขาได้พบ ดังนั้นระยะห่างระหว่างสองคนจึงไม่ทิ้งห่างกันมาก
ตรงกันข้ามกับเจินจู นางตามอยู่ข้างหลังหูฉางกุ้ยอย่างเหนื่อยยากลำบาก เพราะรูปร่างเล็ก การมองเห็นจึงเหมือนมีสิ่งบดบัง ทำได้เพียงพยายามตามเงากายของผู้เป็บิดาไป
เด็กชายคุ้นเคยกับถนนหนทางในเขตอำเภอเป็อย่างดี วิ่งมุ่งตรงเข้าไปยังกลุ่มคนหนาแน่น หูฉางกุ้ยรูปร่างใหญ่ทั้งกลัวชนเข้ากับผู้คนที่สัญจรบนถนน แล้วยังหันกลับไปมองเจินจูอยู่เป็ระยะๆ ระยะห่างจึงค่อยๆ ไกลออกไป
ไม่นานเงาร่างของเด็กชายก็จมหายลงไปในกลุ่มคนที่พลุกพล่าน
หูฉางกุ้ยโกรธจนหน้าแดงขึ้น หยุดฝีเท้าลงและเขย่งปลายเท้าเหลือบซ้ายแลขวาอย่างไม่ยอมแพ้
“ท่านพ่อ ตามไม่ทันแล้วก็ช่างเถอะ ข้ายังมีเงินอยู่เล็กน้อย ในเขตอำเภอนี้การดำรงชีวิตสถานที่ไม่คุ้นเคย [6] อย่าวิ่งลัดเลาะทางแยกเลยเ้าค่ะ” เจินจูไล่ตามมาอย่างเร่งรีบ หอบหายใจกล่าวเกลี้ยกล่อม
หูฉางกุ้ยไม่ตอบ ยังคงย่นคิ้วมองสำรวจไปทั่วทุกสารทิศ
เจินจูแอบถอนหายใจ โทษที่พวกเขาประมาทเกินไปเอง พอไม่ทันสังเกตให้ดีก็ถูกขโมยตัวน้อยจ้องเข้าให้
“อยู่นั่น!”
หูฉางกุ้ยสายตาดีมาก เห็นนอกประตูเมืองจากที่ไกลๆ เด็กชายสามัญชนสวมชุดสีน้ำตาลกำลังวิ่งมุ่งไปทางนอกเมือง
เขายกเท้ามุ่งตรงไปยังประตูเมือง
“…”
เอาเถอะ ไล่ตามอีกก็ได้ เจินจูจนปัญญา เร่งจังหวะก้าวใต้ฝ่าเท้าไล่กวดไปอย่างรวดเร็วเพื่อตามให้ทัน
หลีกเลี่ยงฝูงชนออกจากประตูเมือง ทันใดนั้นสายตาเบิกกว้างขึ้น หูฉางกุ้ยวิ่งเข้าไปในป่าขนาดย่อมที่อยู่ไม่ไกลอย่างลมพัดใต้ฝ่าเท้าก็ไม่ปาน
เจินจูใบหน้าถอดสี หากในป่ามีผู้สมรู้ร่วมคิดของเด็กชายซ่อนอยู่ เช่นนั้นผู้เป็บิดาของนางก็อันตรายแล้ว
แต่เวลานี้นางจะมัวพิจารณามากไม่ได้ หูฉางกุ้ยเป็เพียงชาวนาธรรมดา แม้ร่างกายแข็งแรงกำยำ แต่พบคนที่ดักซุ่มอยู่จำนวนมาก อาจหาข้อดีจากร่างกายนี้ไม่ได้แน่
เจินจูกระทืบเท้าด้วยความโกรธ คิดขึ้นได้ว่าในมิติช่องว่างมีห่อพริกป่นอยู่ ชั่วพริบตาเดียวนางล้วงออกมาบีบอยู่ในมือ วิ่งเข้าไปทางป่าอย่างไม่หยุดเท้า
อาชิงคิดไม่ถึงเลยว่า เขาลงมือขโมยครั้งแรกก็ทำสำเร็จแล้ว ถุงเงินค่อนข้างมีน้ำหนักมาก กล่าวได้ว่าอย่างน้อยมีเงินแปดถึงเก้าเหลียง เพียงพอให้เขาทนผ่านความยากลำบากตรงหน้าไปได้
แต่เขาก็คิดไม่ถึงด้วยเช่นกันว่าบุรุษใบหน้าซื่อผู้นั่นจะเป็คนดันทุรัง ตามจากในกำแพงเมืองไล่ตามมาจนถึงตะวันตกของเมือง ตลอดทางหลบหลีกและเร่งความเร็ว ล้วนไม่สามารถสลัดเขาหลุดได้ พอตอนใกล้ประตูเมือง เขาคิดว่าสลัดคนทิ้งได้แล้ว ในใจเพิ่งผ่อนคลายกลับไม่คิดเลยว่าไม่นานก็ถูกเขาพบร่องรอยเข้าแล้วไล่ตามมาอีก
อาชิงใจเต้นดั่งกลองรัว การขโมยครั้งแรกเดิมทีในใจก็กังวลอยู่แล้ว ตอนนี้ยังถูกเ้าของถุงเงินที่เขาขโมยมาไล่กวดมาครึ่งเมืองอีก หากให้อาจารย์พบเข้าว่าเขาขโมยถุงเงิน เกรงว่าต่อให้อาจารย์ป่วยอยู่ก็ต้องลุกขึ้นมาตีเขาจนเกือบตายแน่
บุรุษข้างหลังยิ่งไล่ตามก็ยิ่งใกล้เข้ามา อาชิงหมดหวังเล็กน้อย อาจารย์ไม่ใช่บอกว่าจากความเร็วของเขาในตอนนี้ หากเป็คนธรรมดาไล่กวดเขาจะตามไม่ทันไม่ใช่หรือ? ทำไมบุรุษธรรมดาผู้หนึ่งที่วิ่งไล่ตามเขาไกลเพียงนี้กลับไม่หอบหายใจเลยเล่า?
เขาวิ่งออกจากป่า และวิ่งต่อไปทางวัดเฉิงหวงด้วยความเคยชิน วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว จังหวะเท้าหยุดชะงักลง เวลานี้จะวิ่งไปในวัดได้อย่างไร เขาตบศีรษะตัวเองหนึ่งทีแล้วหมุนตัววิ่งไปอีกทางหนึ่ง
แต่่เวลาเล็กน้อยนี้ หูฉางกุ้ยได้เร่งความเร็วขึ้นและไล่ตามเขาได้ทันแล้ว จึงโผเข้ามาคว้าแขนของเขาไว้แน่น
“หยุดเดี๋ยวนี้ เ้า... เ้าคืนถุงเงินข้ามา!” หูฉางกุ้ยคว้าเด็กชายไว้แน่น ตวาดเสียงเข้ม
“ปล่อยมือ ท่านจับข้าทำไม? ผู้ใดเอาถุงเงินท่านกัน ท่านอย่าใส่ร้ายข้านะ” อาชิงใช้แรงดึงฉุดแขน ้าหลุดพ้นจากการจับกุมของเขา
กว่าหูฉางกุ้ยจะไล่ตามมาถึงเด็กชายได้ไม่ง่ายเลย จะให้ปล่อยมือได้อย่างไร ตอนนี้เขาใช้กำลังเจ็ดถึงแปดส่วนยึดไว้แน่น “เมื่อครู่พอเ้าชนข้า ถุงเงินก็หายไปแล้ว ไม่ใช่เ้าแล้วจะมีผู้ใดอีก?”
“เหลวไหล บนถนนคนมากมายเพียงนั้น ท่านมีสิทธิ์อะไรกล่าวว่าข้าเป็ผู้ขโมยไป” แรงที่แขนยิ่งจับแน่นขึ้นอีก อาชิงต่อสู้ดิ้นรนไม่หยุด สีหน้าเริ่มซีดขาว
“ไม่ใช่เ้าขโมยมา แล้วเ้าจะวิ่งหนีทำไม?” เจินจูวิ่งเข้ามาจากข้างหลังอย่างลมหายใจไม่มั่นคง บิดาของนางจับเด็กชายไว้แน่น บริเวณโดยรอบไม่มีเพื่อนร่วมขบวนการของเขา เจินจูแอบถอนหายใจ
“ข้า… ข้าไม่ได้วิ่งหนี ข้าแค่เร่งกลับบ้านเท่านั้นเอง” อาชิงแก้ตัว
“อ๋อ รีบกลับบ้านหรือ เช่นนั้นให้พวกข้าไปส่งเ้าสักรอบหรือไม่?” เจินจูจัดส่วนบนของเสื้อคลุมจีนที่หลวมขึ้นให้เรียบร้อย ถือโอกาสนำพริกป่นในมือใส่เข้าไปในกระเป๋าสะพายด้วย
“ข้าไม่้าให้พวกท่านไปส่ง พวกท่านรีบปล่อยข้า อีกเดี๋ยวท่านพ่อข้าจะมาแล้ว พวกท่านเจอดีแน่” อาชิงดิ้นรนและส่งเสียงเอะอะโวยวาย
“ฮ่าๆ พ่อเ้ามายิ่งดีเลย พวกเราจะได้เดินไปศาลาว่าการพร้อมกันสักรอบ ดูว่าท้ายที่สุดแล้วผู้ใดจะได้เจอดีกันแน่” เด็กชายท่าทางอายุแปดถึงเก้าปี เส้นผมยุ่งเหยิง เสื้อผ้าสกปรกเลอะเทอะ บนใบหน้ามีรอยเปื้อนเป็ริ้วๆ สิ่งสกปรกหลังหูยิ่งสะสมกันจนหนาเป็หนึ่งชั้น เจินจูมองอย่างขมวดคิ้วแน่น
“…พี่สาวท่านนี้ ถือว่าพวกท่านทำกุศลเถอะ ท่านพ่อข้าป่วยอยู่ที่บ้านลุกไม่ขึ้น ข้าต้องกลับไปดูแลท่านพ่อข้า” อาชิงได้ยินคำว่าศาลาว่าการ สีหน้าขาวซีดลงสองส่วน เปลี่ยนอารมณ์ทันที สายตาวิงวอนแฝงไว้ด้วยน้ำตาขึ้นมา “ท่านพ่อข้าป่วยรุนแรงมาก เมื่อครู่ข้าออกจากบ้านเพื่อไปเอายาสมุนไพรให้ท่านพ่อ เป็เพราะอย่างนั้นถึงได้ต้องรีบกลับบ้าน ข้าไม่ได้เอาของอะไรของพวกท่านมาเลย พวกท่านใส่ความข้าแล้ว”
หูฉางกุ้ยได้ฟังดังนั้น สีหน้าผ่อนปรนลงเล็กน้อย มือที่จับกุมเด็กชายไว้แน่นคลายลงสองส่วน
ในใจอาชิงแอบดีใจ ความโศกเศร้าบนใบหน้ายิ่งเพิ่มหนักขึ้น “ท่านอา เมื่อสักครู่เป็ข้าไม่ดี ชนท่านเข้า นายท่านไม่จำสิ่งที่ผ่านมาของผู้น้อย [7] ปล่อยข้าเถอะ ข้าจะโขกศีรษะยอมรับผิดให้ท่าน”
ขณะกล่าวก็คุกเข่าลง้าจะโขกศีรษะอย่างเป็จริงเป็จัง
เชิงอรรถ
[1] ยามเซิน คือ ่เวลา 15:00 - 16:59 น.
[2] ขนมไส้กุหลาบ หรือ 玫瑰酥 คือ ขนมเปี๊ยะไส้กุหลาบ ตัวไส้ผสมน้ำตาลกุหลาบและอบด้วยกลีบกุหลาบ ดีต่อปอดและม้ามทั้งยังบำรุงตับและถุงน้ำดีอีกด้วย
[3] ขนมสมปรารถนา หรือ 如意糕 เป็หนึ่งในขนมดั้งเดิมของประเทศจีน ทำขึ้นจากแป้งข้าวเหนียวและงา ลักษณะคล้ายโก๋อ่อน
[4] ขนมดอกท้อ หรือ 桃花糕 คือ ขนมที่ทำขึ้นจากแป้งไส้ถั่วแดงมีทั้งแบบใส่กลีบดอกท้อผสมลงไป และแบบทำขึ้นเป็รูปดอกท้อ
[5] ขนมดอกเหมย หรือ 梅花香饼 คือขนมเปี๊ยะอย่างหนึ่งที่มีกลิ่นหอม โดยผสมดอกเหมยลงไป
[6] การดำรงชีวิตสถานที่ไม่คุ้นเคย หมายถึง ไปถึงสถานที่ใหม่จึงไม่คุ้นเคยต่อทุกสิ่งอย่าง
[7] นายท่านไม่จำสิ่งที่ผ่านมาของผู้น้อย คือ ฝ่ายผู้พูดเรียกตัวเองเป็คนต่ำต้อย เรียกฝ่ายตรงข้ามด้วยความเคารพสูงกว่า เป็การหวังว่าฝ่ายตรงข้ามจะไม่คิดเล็กคิดน้อยในความผิดของตนเอง หรือหมายถึง การขอให้ผู้ที่มีฐานะสูงกว่ายกโทษหรือให้อภัยในความผิดของผู้ที่ต่ำต้อย