เซี่ยเสี่ยวหลานไม่คิดว่าตนมีสิทธิที่จะเลือกชะตาชีวิตให้กับเฉินซีเหลียง
แม้เฉินซีเหลียงจะไม่ใช่เพื่อนของเธอ แต่อย่างไรเขาก็เป็คู่ค้าทางธุรกิจของเธอ พวกเธอรู้จักกันมาหนึ่งปีกว่าแล้ว เขาไม่ใช่ ‘เถ้าแก่เฉิน’ ที่ดูเ็าในรายการข่าวของชาติก่อน จะให้เธอไม่สนใจใยดี แล้วปล่อยให้เขามุ่งหน้าสู่อนาคตอันแสนเศร้าต่อหน้าต่อตาเธอ แน่นอนว่าเซี่ยเสี่ยวหลานใจแข็งไม่พอ
ถ้าอย่างนั้นเธอควรเกลี้ยกล่อมไม่ให้เขาหย่า และฝืนใช้ชีวิตกับภรรยาคนปัจจุบันต่อไปรึ?
แค่คิดเซี่ยเสี่ยวหลานก็รู้สึกขนหัวลุก
ถ้าเธออยู่ในจุดเดียวกับเฉินซีเหลียง เธอย่อมเตรียมพับแขนเสื้อเดินหน้าลุยธุรกิจอย่างเต็มที่ แต่หากคนที่บ้านไม่สนับสนุนแถมยังถ่วงแข้งถ่วงขา เป็เซี่ยเสี่ยวหลานก็คงทนไม่ไหวเช่นกัน
“เธอคิดว่าอิสระสำคัญกว่า หรือชีวิตสำคัญกว่า”
เซี่ยเสี่ยวหลานโยนคำถามนี้มาให้เขาอย่างกะทันหัน เฉินซีเหลียงนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย
กำลังคุยเื่น่าอายของครอบครัวเขาอยู่มิใช่หรือ ทำไมจู่ๆ ถึงกลายเป็เื่เครียด ลากไปยังเื่อิสระและชีวิตของเขากัน?
เฉินซีเหลียงกำลังครุ่นคิดว่าควรตอบอย่างไร เซี่ยเสี่ยวหลานกลับโบกมือไปมา “ช่างเถอะ ฉันแค่ถามไปอย่างนั้น ฉันไม่สนหรอกว่าคุณจะจัดการปัญหาที่บ้านอย่างไร ขอแค่ไม่กระทบกับการร่วมงานของเราก็พอ คุณจะเช่าบ้านเป็ที่ทำงานอยู่หยางเฉิงใช่ไหม เช่นนั้นก็รีบติดตั้งโทรศัพท์โดยเร็ว คราวหน้าฉันจะได้ไม่โทรไปที่บ้านคุณอีก”
คนที่หย่าขาดกันเหมือนหลิวเฟินกับเซี่ยต้าจวินมีอยู่น้อยมาก พอมีเื่ลูกเข้ามา แม้เฉินซีเหลียงจะอยากหย่าร้างอย่างไรก็คงไม่ง่าย ดีไม่ดีพอคนในครอบครัวช่วยกันพูด เฉินซีเหลียงอาจจะล้มเลิกความตั้งใจที่จะหย่าก็เป็ได้
เมื่อกี้เซี่ยเสี่ยวหลานจมกับความคิดในแง่ร้าย ต่อให้เฉินซีเหลียงหย่าร้างจริง เขาก็ยังมีเวลาอีกสิบกว่าปีก่อนที่จะถูกลักพาตัว เซี่ยเสี่ยวหลานยังมีโอกาสอีกมากในการช่วยชีวิตเถ้าแก่เฉินผู้น่าสงสารคนนี้ ร้อนใจตอนนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์
มีปัญหาก็ต้องแก้ไข หากภรรยาของเฉินซีเหลียงคอยถ่วงเขา เซี่ยเสี่ยวหลานก็ไม่คิดที่จะพัวพันกับอีกฝ่าย
ขอแค่เฉินซีเหลียงยังมีความสามารถ และปัญหาครอบครัวของเขาไม่กระทบกับเื่งานก็พอ
เฉินซีเหลียงเองก็รู้สึกโล่งใจ “ฉันหาบ้านเช่าไว้แล้ว ตอนนี้ให้คนทาสีใหม่สักหน่อยก็ย้ายเข้าไปได้”
การตกแต่งภายในนั้นไม่สำคัญ หาก้าสร้างแบรนด์ Luna ให้สำเร็จนั้นยังมีเื่ให้ต้องใช้เงินอีกมาก สถานที่ทำงานแค่พออยู่ได้ก็พอแล้ว มีเงินเหลือเอาไปตกแต่งร้านให้สวยงามยังดีเสียกว่า ชื่อเสียงของร้านจะได้โด่งดังภายในชั่วพริบตา
เื่ตกแต่งภายในย่อมปล่อยให้เป็หน้าที่ของ ‘หย่วนฮุย’ ไม่ว่าอย่างไรเฉินซีเหลียงก็จะจ้างพวกเขา
เซี่ยเสี่ยวหลานบอกให้เฉินซีเหลียงไปหาผู้จัดการใหญ่อู่โดยตรง
ตอนเที่ยงเฉินซีเหลียงก็กลับมาที่มหาวิทยาลัยอีกครั้ง “ตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ทำเลที่ตั้งไม่เลวเลยทีเดียว ราคาก็สมเหตุสมผล”
แน่นอนค่าเช่าต่างๆ ต้องใช้เงินทุน
โดยหลักๆ แล้วเฉินซีเหลียงดูแค่ทำเลที่ตั้ง ตัวห้องเช่าเก่าหรือไม่ไม่สำคัญ อย่างไรก็ต้องตกแต่งใหม่อยู่ดี
เขาทำธุรกิจขายส่งจนสามารถตั้งตัวได้ ทั้งที่เสื้อผ้าตัวหนึ่งขายได้กำไรแค่หยวนสองหยวน เงินค่าเช่าที่เจรจาตกลงกันถูกกว่าราคาที่เซี่ยเสี่ยวหลานจะใช้เปิดร้านขายเสื้อผ้าของตัวเองด้วยซ้ำ ค่าเช่าต่อปีแค่ 1800 หยวนเท่านั้น
แน่นอนว่าเฉินซีเหลียงเซ็นสัญญารวดเดียวสิบปี
เซี่ยเสี่ยวหลานเห็นเขาดูตื่นเต้นมาก จึงถามออกไปว่า “นักออกแบบล่ะ หาได้หรือยัง”
เฉินซีเหลียงถอนหายใจทันที
“ให้ฉันทำไปก่อนได้หรือไม่”
แน่นอนว่าประเทศจีนยุค 80 มีอาชีพนักออกแบบเสื้อผ้าแล้ว
มหาลัยวิทยาลัยหัตถศิลป์กลางที่เป็สถาบันชั้นสูงก่อตั้งขึ้นในปี 1956 มีทั้งหมดสามสาขาวิชาคือ ศิลปะสิ่งทอ ศิลปะเครื่องปั้นและเครื่องเคลือบดินเผา และศิลปะการประดับตกแต่ง
ทางมหาวิทยาลัยเปิดห้องวิจัยหลากหลายแขนง ั้แ่เสื้อผ้า การปักผ้า รวมถึงเครื่องใช้ในครัวเรือน ไม่ใช่แค่เฉินซีเหลียงที่้าบุคลากรด้านการออกแบบเสื้อผ้า หลิวหย่งเองก็้านักออกแบบการตกแต่งภายในเช่นกัน ทว่านักศึกษาที่เรียนจบสาขานี้คงไม่สนใจบริษัทเล็กๆ ทั้งสองแห่ง หากไม่เอางานที่รัฐจัดสรรให้ แต่กลับเลือกไปเป็ลูกจ้างบริษัทเอกชนน่ะหรือ ดีไม่ดีบริษัทเอกชนล้มละลายขึ้นมาจะทำอย่างไร ถึงเงินเดือนจะมากกว่าเล็กน้อย แต่ไม่มั่นคงแม้แต่น้อย!
ขนาดสามสิบปีให้หลัง ก็ยังมีคนคิดว่าการเป็ลูกจ้างรัฐหรือข้าราชการที่ได้เงินเดือนแค่ไม่กี่พันหยวนนั้น ‘มั่นคง’ ยิ่งกว่า ค่านิยมเช่นนี้ย่อมเป็ค่านิยมหลักใน่ยุค 80
แม้ปัจจุบันมีการปฏิรูปเศรษฐกิจ แต่หากวันใดวันหนึ่งประเทศเกิดเปลี่ยนนโยบาย ไม่อนุญาตให้ทำธุรกิจอิสระอีกต่อไป บัณฑิตที่ยอมทิ้งอาชีพอันมั่นคงจะทำอย่างไรเล่า
นอกเสียจากจะเป็แบบกงหยางที่้าเงินจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็เฉินซีเหลียงหรือหลิวหย่ง หากบริษัทยังไม่ใหญ่พอคงไม่สามารถหาบุคลากรมากความสามารถที่มีวุฒิการศึกษาได้ง่ายๆ มหาวิทยาลัยไม่เพิ่มจำนวนการรับนักศึกษา ดังนั้นนักศึกษาจะไม่มีทางว่างงาน เมื่อเรียนจบแล้วประเทศจะจัดสรรงานให้นักศึกษาทุกคนอย่างแน่นอน แล้วทำไมพวกเขาต้องอยากทำงานในบริษัทเอกชนเล็กๆ กัน
“คุณคนเดียวจะทำทั้งงานออกแบบและงานขายไม่ได้ จ้างนักออกแบบเป็ครั้งคราวก็คงพอไหว แต่ในบริษัทนอกจากคุณแล้วจำเป็ต้องมีนักออกแบบโดยเฉพาะด้วย... เช่นนั้นคุณลองชวนคนจากโรงงานเสื้อผ้าที่หยางเฉิงดูดีไหม”
ซื้อตัวคนจากบริษัทอื่นเป็วิธีที่ง่ายที่สุด นอกจากเชี่ยวชาญด้านทักษะการทำงานอยู่แล้ว เพียงฝึกอบรมอีกเล็กน้อยก็สามารถทำงานได้
เื่แบบเสื้อไม่ต้องกลัว ออกแบบไม่เก่งไม่เป็ไร ทว่าการแกะแบบคงทำได้ไม่ยากใช่หรือไม่
ในโลกแฟชั่น มีสิ่งที่เรียกว่าเรียนรู้จากผู้อื่น
แฟชั่นเป็สิ่งที่สืบทอดส่งต่อกันมา กางเกงหน้าตาอย่างไร เสื้อเป็แบบไหน มันกลายเป็สิ่งที่มีแบบแผนในตัวของมันแล้ว
คงไม่มีใครทำเสื้อสามแขนหรือกางเกงหนึ่งขามาขายหรอกใช่ไหมเล่า
การออกแบบที่ผิดธรรมชาติมีให้เห็นเฉพาะบนเวทีเดินแบบเท่านั้น
โรงงานเสื้อผ้าที่หยางเฉิงนั้นมีอยู่ไม่น้อย คนที่ซื้อตัวมาได้ต่อให้การออกแบบจะล้าสมัยแค่ไหน อย่างไรก็สามารถเป็ลูกมือของเฉินซีเหลียงได้ ทำให้เฉินซีเหลียงไม่จำเป็ต้องทำเื่จิปาถะเอง
เฉินซีเหลียงไม่ผิดที่ใฝ่ฝันว่าอยากเป็นักออกแบบ แต่ถ้าเขาทำงานออกแบบเป็หลัก แล้วงานอื่นเล่าใครจะเป็คนทำ?
เฉินซีเหลียงถอนหายใจ “คงต้องเป็แบบนั้นแล ไว้แบรนด์ของพวกเราไปได้สวยเมื่อไร ต้องมีคนอยากเข้ามาทำงานด้วยอย่างแน่นอน!”
มีหน้าร้านแล้ว ติดต่อโรงงานผลิตแล้ว เอกสารต่างๆ ก็ดำเนินการเสร็จสิ้นเรียบร้อย สิ่งที่ Luna ยังขาดอยู่ก็คือเสื้อผ้า เฉินซีเหลียงอยากรีบผลิตเสื้อผ้าสำหรับฤดูใบไม้ผลิมาลองตลาดก่อน ที่จริงสินค้าที่ปลอดภัยที่สุดคือเสื้อผ้าสำหรับฤดูร้อน เนื่องจากมีเวลาเตรียมการอีกหลายเดือน สินค้าที่เปิดตัวคงสมบูรณ์แบบมากกว่าเสื้อผ้าสำหรับฤดูใบไม้ผลิที่ใกล้จะถึงนี้
แต่ความคิดนี้ของเฉินซีเหลียง เซี่ยเสี่ยวหลานคิดว่าใช้ได้เลยทีเดียว
ลงทุนไม่มากเพื่อลองตลาด จะได้ดูกระแสตอบรับจากลูกค้าด้วย
“ถ้าอย่างนั้นคงต้องรีบตกแต่งร้านแล้วล่ะ คุณถามลุงของฉันหรือยังว่าหย่วนฮุยสามารถรับงานนี้ได้หรือเปล่า”
หลิวหย่งคงต้องเดินทางมาปักกิ่งอีกสักรอบ นอกจากงานตกแต่งภายในของ Luna แล้ว ร้านสาขาของหลานเฟิ่งหวงก็ต้องได้รับการตกแต่งเช่นกัน เซี่ยเสี่ยวหลานคงวางมือจากทุกเื่ไม่ได้ เพราะก่อนตรุษจีนมีเื่อีกมากมายที่เธอต้องทำ
—----------------------------------------------
หย่วนฮุยรับงานตกแต่งภายในได้หรือเปล่านั้นคงไม่ต้องกังวล เพราะอย่างไรหลิวหย่งก็ต้องรับงานจากเซี่ยเสี่ยวหลานก่อนอยู่แล้ว
ตอนนี้ที่ซางตู หลี่เฟิ่งเหมยต่างหากคือคนที่ทำใจยอมรับไม่ได้
หลิวเฟินกับย่าอวี๋ไปปักกิ่งมาเพียงรอบเดียว กลับมาก็บอกว่าหาหน้าร้านที่ปักกิ่งได้แล้ว อีกทั้งยังเซ็นสัญญาและจ่ายค่าเช่าเป็ที่เรียบร้อยอีกด้วย
อย่างอื่นหลี่เฟิ่งเหมยยังพอเข้าใจ แต่พอหลิวเฟินบอกว่าจะแยกกันบริหาร โดยร้านเสื้อผ้าที่ซางตูจะยกให้หลี่เฟิ่งเหมยทั้งหมด ต่อไปร้านที่ปักกิ่งกับซางตูจะ ‘ร่วมมือกัน’ หาใช่ ‘ร่วมหุ้น’ ดั่งเช่นในอดีต เื่นี้หลี่เฟิ่งเหมยไม่เห็นด้วยแม้แต่น้อย
“ถ้าลือกันออกไปฉันจะกลายเป็คนแบบไหนกัน?!”
สิ่งที่หลี่เฟิ่งเหมยคิดไม่ใช่ว่าเซี่ยเสี่ยวหลานกับหลิวเฟินอยากทิ้งเธอ แต่เธอได้ประโยชน์จากเื่นี้มากเกินไปน่ะสิ!
ร้านเสื้อผ้าที่ซางตูในระยะเวลาหนึ่งปีหาเงินได้เกือบสองแสนหยวน
ธุรกิจดำเนินการไปอย่างราบรื่น ทว่าผลประโยชน์ทั้งหมดกลับตกเป็ของเธอ แต่เซี่ยเสี่ยวหลานกับหลิวเฟินดันต้องไปเปิดตลาดใหม่ที่ปักกิ่งตามลำพังเนี่ยนะ?
ร้านใหม่จะหาเงินได้หรือเปล่าไม่มีใครสามารถรับประกันได้!
ร้านที่ซางตูแห่งนี้ ก็เป็เซี่ยเสี่ยวหลานที่ดึงเธอมาร่วมหุ้นและให้เงินปันผลเป็สิ่งตอบแทน ตอนนี้กลับอยากจะยกร้านทั้งร้านให้เธอ หลี่เฟิ่งเหมยทำใจเอาเปรียบเซี่ยเสี่ยวหลานไม่ได้ บนโลกนี้มีใครทำแบบนี้กันบ้าง ถ้าไม่มีหลานสาวอย่างเซี่ยเสี่ยวหลานป่านนี้เธอคงทำไร่ทำนา เลี้ยงลูกไปวันๆ อยู่ที่หมู่บ้านชีจิ่ง พอได้ผลประโยชน์ก็จะให้ถีบหัวส่งแบบนี้ เธอทำไม่ได้เด็ดขาด!
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้