ในที่สุดหวาชิงเสวี่ยก็ได้สติกลับคืนมา การตอบสนองของนางดูเป็ธรรมชาติขึ้นกว่าเมื่อครู่มาก
นางรีบรับสิ่งของก้อนนั้นมา คลี่ออกดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน ปรากฏว่าเป็เสื้อทหารธรรมดาๆ ฝ้ายที่บุอยู่ด้านในถูกดึงออกไปหมดแล้ว เหลือเพียงผ้าคลุมด้านนอก
เมื่อดูรูปแบบแล้ว ดูเหมือนว่าจะดีกว่าเสื้อทหารที่ทั้งสองคนสวมใส่อยู่มาก ไม่เพียงแต่มีการปักลวดลายเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่ซับในยังมีการเย็บขนเตียว [1] ติดเอาไว้เป็ชั้นๆ เหมือนจะเป็แค่ขนเตียวคุณภาพต่ำ มีคราบเืติดเป็หย่อมๆ หลายจุด ดังนั้น ซับในจึงไม่เพียงแต่สูญเสียความนุ่มนวลไปเท่านั้น แต่ยังให้ความรู้สึกจากการััที่หยาบกระด้างอย่างยิ่งอีกด้วย
หวาชิงเสวี่ยพอจะเข้าใจขึ้นมาเจ็ดแปดส่วนแล้ว พวกเขามาหาเพื่อให้นางซักผ้าให้!
"ตกลงซักได้หรือไม่?!" ฝ่ายตรงข้ามเอ่ยถามเสียงดัง
เมื่อนึกถึงการกระทำของพวกทหารเหลียวที่ผ่านมา หวาชิงเสวี่ยก็รู้สึกขยะแขยง นางไม่อยากข้องเกี่ยวกับคนพวกนี้แม้แต่น้อย จึงคิดจะแสร้งทำเป็ไม่รู้แล้วบ่ายเบี่ยงเพื่อจบเื่ให้สิ้นไป!
หวาชิงเสวี่ยกำลังจะปฏิเสธ คำพูดจวนจะหลุดจากปาก...แต่กลับต้องกลืนลงไปเสียเฉยๆ
นางเป็เพียงสตรีที่อ่อนแอบอบบาง ไร้ญาติและมิตรให้พึ่งในที่แห่งนี้ ทหารเหลียวมาถึงหน้าประตูบ้าน คงจะสืบเื่ราวของนางมาหมดแล้ว นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร? หากทำให้ทหารเหลียวเหล่านี้ไม่พอใจขึ้นมา…
หวาชิงเสวี่ยตัวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว!
นางรีบแสร้งทำเป็หวาดกลัว ก้มหน้าลงแล้วพูดว่าซักได้
ฝ่ายตรงข้ามพึงพอใจ เอ่ยว่า "ซักได้ก็ดี เสื้อผ้าแบบนี้ยังมีอีกเป็ร้อยตัว พรุ่งนี้จะมีคนเอามาส่ง"
หวาชิงเสวี่ยสะดุ้งใ รีบเงยหน้าขึ้น เอ่ยด้วยความร้อนรน "นายท่านเ้าคะ! ถ้ามีเป็ร้อยตัว เกรงว่าข้าคงซักไม่ไหวแน่!"
นายทหารคนนั้นหน้าบึ้งทันที ดวงตาฉายแววความโเี้ ตวาดด้วยความโกรธ "อะไรนะ?! ตัวเดียวซักได้ เป็ร้อยตัวกลับซักไม่ได้? เ้ากล้าหลอกข้าเล่นหรือ?!"
หวาชิงเสวี่ยไม่สนใจเกียรติยศศักดิ์ศรีอันใดอีกต่อไป นางคุกเข่าลงกับพื้นทันที อ้อนวอนอย่างน่าสงสาร "จะกล้าหลอกลวงนายท่านได้อย่างไร แค่ซักเสื้อผ้าให้นายท่านเพียงไม่กี่ชิ้นก็เป็บุญวาสนาของข้าแล้ว แต่หากมีเป็ร้อยตัว ต้องใช้ข้าวของมากมายเหลือเกิน บ้านของข้ายากจนข้นแค้น ทำอาชีพซักผ้าก็เพื่อประทังชีวิต ซักไม่กี่ตัวยังพอไหว แต่ถ้าเป็ร้อยตัว…แบบนี้…แบบนี้ข้าจะทำอย่างไร..."
หวาชิงเสวี่ยพูดจบก็ก้มหน้าร้องไห้ ท่าทางน่าสงสารยิ่งนัก
ทหารเหลียวทั้งสองก็ไม่คิดว่า การซักผ้าจะยุ่งยากขนาดนี้ได้
พวกเขาเห็นหวาชิงเสวี่ยคุกเข่าร้องไห้ไม่หยุด ทั้งเห็นว่าบ้านของนางทรุดโทรม ในลานเรือนมีเพียงเด็กน้อยคนหนึ่งที่กำลังมองพวกเขาด้วยความหวาดกลัวยืนอยู่ ทั้งสองจึงคิดว่าสตรีนางนี้น่าจะไม่ได้หลอกลวง แม้บ้านนางจะยากจนจริง แต่การซักผ้าจำเป็ต้องใช้ข้าวของอะไรล่ะ?
ด้วยความสงสัยแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทหารเหลียวจึงถามขึ้นว่า "ซักผ้าจะต้องใช้ของอะไร? ก็แค่ขี้เถ้ากับฝักต้นจ้าวเจีย [2] เ้าคงไม่ได้กำลังหลอกลวงข้าอยู่กระมัง? หือ?"
หวาชิงเสวี่ยตอบด้วยน้ำตานองหน้า "โดยทั่วไปเสื้อผ้าธรรมดาก็ใช้วิธีนั้น แต่คราบเืเก่าแบบนี้ซักไม่ออกหรอกเ้าค่ะ"
อืม...หลังจากนางพูดเช่นนี้ ทหารทั้งสองก็รู้สึกว่ามีเหตุผล จึงพูดว่า "เ้าบอกมาก่อนว่าต้องใช้อะไรบ้าง"
หวาชิงเสวี่ยไม่รู้ว่าอะไรที่ปลุกความคิดในหัวให้ตื่นขึ้น เพียงแค่รู้สึกว่าในหัวมีประกายไฟวาบขึ้นมา! นางพูดออกมาโดยไม่ทันคิด "หากคราบเืติดอยู่บนผิวผ้า ให้ใช้หัวไชเท้าขูดฝอยมาขยี้ แล้วนำไปต้มในน้ำหัวไชเท้าขาว ล้างด้วยน้ำสะอาดหลายๆ ครั้งก็จะสะอาด แต่ถ้าคราบเืที่ติดบนขนสัตว์…นายท่านทั้งสอง สิ่งที่ทำจากขนสัตว์นั้นไม่ทนต่อการขยี้ หากขยี้แรงเกินไป เกรงว่าคราบเืยังไม่ทันหลุดออก ขนก็หลุดร่วงไปก่อนแล้ว..."
หวาชิงเสวี่ยพูดถึงตรงนี้ แล้วเหลือบมองสีหน้าของทหารเหลียว เห็นว่าเขาดูเหมือนจะเชื่อไปกว่าครึ่งแล้ว จึงพูดต่อ “...หาก้ากำจัดคราบเหล่านี้ ขั้นตอนจะยุ่งยากมาก ต้องใช้หัวไชเท้า เกลือ หมางเซียว [3] ปูนขาว กำมะถัน แป้ง…อ้อ แป้งมันเทศ แล้วก็ต้องใช้น้ำส้มสายชูด้วยเ้าค่ะ...”
ทหารเหลียวยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น แต่เพราะตั้งใจจะให้หวาชิงเสวี่ยซักผ้า จึงทำอะไรนางไม่ได้ เขารู้สึกรำคาญมาก จึงโบกมือขัดจังหวะคำพูดของหวาชิงเสวี่ย จากนั้นหยิบเศษเงินก้อนเล็กๆ ออกมาโยนลงบนพื้น "ข้าไม่มีเวลามาฟังเื่ไร้สาระพวกนี้หรอก เ้าไปจัดการเองแล้วกัน! ถ้ากล้าหลอกลวงข้า ข้าจะฆ่าเ้าซะ!"
หวาชิงเสวี่ยรีบหยิบเงินขึ้นมา เช็ดน้ำตาพลางประสานมือโค้งคำนับทหารเหลียว "ข้ามิกล้าหลอกลวงนายท่าน ข้าจะซักเสื้อผ้าให้นายท่านจนสะอาดเอี่ยม"
ทหารเหลียวจึงพึงพอใจ ส่งเสียงฮึในลำคอ พลางเหลือบมองไปข้างหลังหวาชิงเสวี่ย ถามว่า "เด็กที่อยู่ข้างหลังคนนั้นเป็ใคร?"
หวาชิงเสวี่ยได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งหลัง นางพยายามเกร็งขาที่สั่นเทา ตอบว่า "นายท่าน นั่นคือน้องสาวข้า เป็ใบ้..."
หวาชิงเสวี่ยพูดจบก็รู้สึกหวั่นใจ กลัวว่าทั้งสองจะจับพิรุธอะไรได้ แต่ว่าตอนนี้นางเองก็ไม่สะดวกที่จะส่งสายตาให้หลี่จิ่งหนาน ใจของนางจึงว้าวุ่นไปหมด!
ทหารเหลียวผู้นั้นเหลือบมองเพียงครู่เดียวก็ละสายตาไป ไม่ได้ถามอะไรต่ออีก เพียงแค่กำชับหวาชิงเสวี่ยสองสามคำ ก่อนจะหันหลังจากไปพร้อมกับเพื่อนร่วมทาง
หวาชิงเสวี่ยจ้องมองพวกเขาไปตลอดทาง จนกระทั่งเห็นพวกเขาหายลับไปตรงหัวมุมถนน นางถึงได้ถอนหายใจ กางฝ่ามือออก เศษเงินในกำมือของนางเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ...
เฮ้อ…
เรารอดแล้ว...
เมื่อหันไปมองหลี่จิ่งหนาน เห็นเขายังยืนนิ่งอึ้งอยู่ หวาชิงเสวี่ยจึงเดินเข้าไปตบไหล่เขาเบาๆ “ใจนตัวแข็งเลยหรือ?”
หลี่จิ่งหนานถอนหายใจอย่างโล่งอก พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อีกนิดข้าคงจะใจนตัวแข็งไปแล้วจริงๆ …”
ถึงอย่างไรคนพวกนั้นก็ไปแล้ว หวาชิงเสวี่ยรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก นางหัวเราะและพูดออกมา “ข้าก็ใแทบแย่ ดูสิ ฝ่ามือข้าเหงื่อออกเต็มเลย แต่โชคดีที่เราเจอพวกเขาตอนที่เ้าปล่อยผมเปียกๆ พอดี พวกเขาเลยคิดว่าเ้าเป็เด็กผู้หญิงจริงๆ! จึงไม่ได้สงสัยอะไรพวกเรา! ฮ่าฮ่า!”
หลี่จิ่งหนานรู้สึกเคอะเขินอยู่บ้าง แต่ต่อหน้าหวาชิงเสวี่ย เขารู้สึกว่าไม่จำเป็ต้องอาย จึงเพียงแค่ส่งเสียงฮึในลำคอ แล้วใช้ผ้าแห้งเช็ดผมต่อไป
ตอนนี้หวาชิงเสวี่ยกลับดีใจจนแทบบ้าคลั่ง นางถือเงินวิ่งไปมาในบริเวณลานเรือน แล้วหัวเราะเสียงดัง "เพิ่งพูดถึงสบู่หอมๆ ไป สบู่หอมๆ ก็มาส่งถึงหน้าประตูแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่า...สบู่! สบู่!"
“แค่เศษเงินก้อนเดียว ดีใจอะไรนักหนา...” หลี่จิ่งหนานตำหนิอย่างไม่ไว้หน้า
ทันใดนั้น หวาชิงเสวี่ยก็พุ่งเข้ามาหา! นางจับหน้าของหลี่จิ่งหนานแล้วหอมแก้มของเขาฟอดใหญ่!
หลี่จิ่งหนานนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ! เมื่อได้สติกลับมาก็ทั้งใทั้งโกรธจนหน้าแดงเถือก ะโเสียงดัง “เ้าเป็บ้าอะไรอีก?”
หวาชิงเสวี่ยยืนหัวเราะคิกคักอยู่ที่ลานเรือน “เ้าบอกว่าอยากได้สบู่หอมๆ ไม่ใช่หรือ? พรุ่งนี้ข้าจะไปหามาให้ อ้อ จริงสิ ไม่ใช่แค่สบู่หอมๆ ยังมีกานโหยว [4] ด้วยนะ!”
กานโหยวเป็ของดีสำหรับป้องกันอาการมือเท้าแตกเพราะความเย็น!
แต่หลี่จิ่งหนานไม่เห็นด้วย พูดด้วยความเป็ห่วงว่า “เ้าอย่าทำอะไรบุ่มบ่าม เงินนี้พวกเขาให้เ้าซื้อหัวไชเท้าไว้ซักผ้า เ้าอย่าใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย…”
หวาชิงเสวี่ยกลับโบกมือ ด้วยท่าทางที่ยังคงร่าเริง “ไม่เป็ไรหรอก สบู่ก็ทำออกมาเพื่อใช้ซักผ้าอยู่แล้ว อีกอย่าง เสื้อผ้าเ่าั้ของพวกเขาล้วนถูกซักมาจากค่ายทหารแล้ว ด้านนอกก็ซักจนเกือบสะอาดแล้ว เหลือเพียงคราบเืตรงซับในที่ซักไม่ออก คงจะได้ยินมาจากไหนสักที่ว่าข้าซักคราบเืได้ จึงมาหาข้าถึงประตู”
ไม่รู้ว่าหวาชิงเสวี่ยพูดพลางนึกอะไรขึ้นได้ก็หัวเราะออกมา นางมองหลี่จิ่งหนานอย่างเ้าเล่ห์ แล้วพูดว่า “ฮิฮิ...ข้ายังสามารถทำน้ำยาเป่าฟองสบู่ได้ด้วย องค์รัชทายาท ท่านคงยังไม่เคยเล่นฟองสบู่มาก่อนใช่หรือไม่? ...”
หลี่จิ่งหนานรู้สึกว่าความห่วงใยของตนถูกหวาชิงเสวี่ยทำลายลงอย่างสิ้นเชิง เขาแค่นเสียงเ็า พูดว่า “ช่างไร้สาระสิ้นดี!” แล้วสะบัดหน้าอย่างโอหัง เดินเข้าห้องไป
ที่หวาชิงเสวี่ยดีใจขนาดนี้ ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล
นางลำบากมานาน หิวโหยมานาน หนาวเหน็บมานาน กำลังกังวลเื่การทำมาหากินอยู่พอดี แล้วเงินก็ตกลงมาจากฟ้า นางจะไม่ดีใจจนแทบคลั่งได้อย่างไร
ราคาสินค้าของที่นี่ใกล้เคียงกับสมัยราชวงศ์ถังยุครัชศกเจินกวน [5] เงินทองแดงหนึ่งพันอีแปะเทียบเท่ากับเงินหนึ่งตำลึง ข้าวสารหนึ่งโต่ว [6] ราคาห้าอีแปะ เงินหนึ่งตำลึงสามารถซื้อข้าวสารได้สองร้อยถัง หรือยี่สิบสือ [7] หากคำนวณตามราคาข้าวสารในปัจจุบัน เศษเงินหนึ่งตำลึงที่หวาชิงเสวี่ยได้มานั้น เทียบเท่ากับสี่พันหนึ่งร้อยสามสิบหยวน!
ลองคิดดู คนที่ประหยัดทุกเม็ดทุกหน่วยอยู่ทุกวัน จู่ๆ ก็ได้เงินสี่พันหยวนมาโดยไม่คาดคิด นางจะไม่ดีใจได้อย่างไร?
หวาชิงเสวี่ยนึกถึงราชวงศ์ถัง แล้วก็นิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ความทรงจำเหมือนน้ำหลากที่ทะลักออกมาจากเขื่อน เชื่อมโยงความรู้และสามัญสำนึกในอดีต ไหลทะลักเข้ามา
ใช่แล้ว...ที่นี่ไม่ใช่โลกเดิมของนาง ถ้าอย่างนั้น ที่นี่คือโลกแบบไหนกัน?
หรือว่านางย้อนเวลากลับไปในอดีต? ก็ไม่น่าจะใช่
ถึงแม้ว่าราคาสินค้าจะใกล้เคียงกับยุครัชศกเจินกวน แต่จากการแต่งกายของผู้คนที่นี่ ดูเหมือนสมัยราชวงศ์ซ่งมากกว่า
อีกทั้งกลุ่มอำนาจทางการเมืองที่กำลังห้ำหั่นกันอยู่นี้ก็สอดคล้องกับเหตุการณ์ในสมัยราชวงศ์ซ่ง อย่างเช่นแคว้นเหลียวที่นางอาศัยอยู่ในตอนนี้...แต่ว่า แคว้นจินล่ะอยู่ที่ไหน?
ที่นี่ไม่เพียงแต่ไม่ปรากฏร่องรอยของแคว้นจิน หวาชิงเสวี่ยเองก็ไม่เคยได้ยินหลี่จิ่งหนานพูดถึงชนเผ่าชี่ตันหรือหนี่ว์เจิน ทั้งที่ในประวัติศาสตร์ แคว้นต้าเหลียวสถาปนาโดยชนเผ่าชี่ตัน และสุดท้ายก็ถูกชนเผ่าหนี่ว์เจินโค่นล้ม หากคนที่นี่ไม่มีแิเื่ชนเผ่า คงจะอธิบายบางอย่างได้แล้ว นั่นก็คือ แคว้นเหลียวในโลกนี้ได้รวมชนชาติต่างๆ เข้าด้วยกันั้แ่แรกแล้ว…
หวาชิงเสวี่ยคิดในใจ ฮ่องเต้แคว้นเหลียวนี่เก่งจริงๆ ...ไม่น่าแปลกใจเลยที่สามารถกดดันแคว้นฉีให้ยอมยกดินแดนและจ่ายค่าชดเชยาได้…
เมื่อตัดความเป็ไปได้เื่ย้อนเวลากลับไปในอดีต หวาชิงเสวี่ยรู้สึกว่ามีเพียงมิติคู่ขนานเท่านั้นที่สามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับนางได้
นางคงจะประสบเหตุการณ์บางอย่าง ทำให้นางมาอยู่ในโลกที่คล้ายคลึงกับยุคโบราณนี้โดยบังเอิญ คล้ายกับการตัดกันของพื้นผิวพลังงานศักย์ [8] ในเคมีควอนตัม เมื่อพื้นผิวพลังงานศักย์สองพื้นผิวที่ไม่เกี่ยวข้องมากัน ก็จะเกิดความเชื่อมโยง—เวลาและพื้นที่ก่อให้เกิดพื้นผิวโค้งสองพื้นผิวที่มีจุดตัดกัน ดังนั้น เมื่อถึงจุดเวลาและพื้นที่ที่เฉพาะเจาะจง ก็จะมีโอกาสเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ขึ้น…
หวาชิงเสวี่ยรู้สึกว่าสนามแม่เหล็กของูเาลูกนั้นคงจะแรงมาก การข้ามมิติครั้งนี้อาจไม่ใช่การะโข้ามมิติโดยบังเอิญ นางน่าจะถูกแรงดึงดูดบางอย่างดึงเข้ามา
เฮ้อ...
อธิบายสิ่งเหล่านี้ไปจะมีประโยชน์อะไร?
ตัวเองเป็ใครกันแน่ นางยังนึกไม่ออกเลยแม้แต่น้อย...
...
ยังไม่ถึงเวลาพระอาทิตย์ตก อากาศข้างนอกยังอบอุ่นอยู่ หวาชิงเสวี่ยจึงพกเงินออกจากบ้านไป
คนที่ซ่อนตัวอยู่ในตรอกก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าหวาชิงเสวี่ยจะออกไปข้างนอก ชายเคราเฟิ้มก็ส่งสายตาเป็สัญญาณให้ฉินเหลาอู่ ฉินเหลาอู่เข้าใจทันที และลอบเข้าไปในเรือนเล็กอย่างเงียบเชียบ
ส่วนชายเคราเฟิ้มก็เดินตามหลังหวาชิงเสวี่ยไปอย่างเงียบๆ …
————————————————————————————————————
[1]ขนเตียว (貂毛)ขนมิงค์
[2]ฝักต้นจ้าวเจี่ยว(皂角)คือ ฝักผลจากต้น 皂荚 (จ้าวเจีย) มีสารซาโปนิน เมื่อนำฝักมาบด ทำให้เกิดฟองมากเมื่อผสมในน้ำ ใช้แทนสบู่ได้
[3]หมางเซียว(芒硝)เป็แร่ธาตุชนิดหนึ่ง ประกอบด้วยโซเดียมซัลเฟต มีลักษณะเป็ผลึกสีขาวหรือไม่มีสี
[4]กานโหยว(甘油)หมายถึง กลีเซอรีน
[5]ยุครัชศกเจินกวน(貞觀年)เป็ยุคสมัยหนึ่งของจักรพรรดิถังไท่จง ในราชวงศ์ถัง
[6]โต่ว(斗)เป็หน่วยตวงของจีน 1 ถัง เท่ากับ 10 ลิตร
[7]สือ(石)เป็หน่วยตวงของจีน 1 โคลง เท่ากับ 100 ลิตร
[8]พื้นผิวพลังงานศักย์(势能面交叉)เป็แิในเคมีควอนตัม ที่ใช้อธิบายการเปลี่ยนแปลงของพลังงานศักย์ของโมเลกุล ตามการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างโมเลกุล