เมื่อได้อยู่ใกล้กัน หลิวจื่ออั๋งก็มองไปที่หลัวเลี่ยด้วยความลึกซึ้ง
กาลครั้งหนึ่งเด็กชายดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ตอนนี้เขากำลังจะทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
หลิวจื่ออั๋งถอนหายใจ ก่อนจะพูดว่า “หลัวเลี่ย ก่อนหน้านี้ข้ามีความคิดที่จะรับเ้าเป็ศิษย์ แต่ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่างทำให้ข้าล่าช้าและเสียโอกาสไป จากนั้นข้าก็ค่อยๆ รู้สึกว่าตัวข้าช่างไร้คุณสมบัติที่จะเป็อาจารย์ของเ้า คงต้องเป็ระดับผู้นำในสาขาหลักของหอเซียวเหยาถึงจะสามารถเป็อาจารย์ของเ้าได้ แต่บัดนี้ข้าได้ตระหนักแล้วว่า บ่อน้ำน้อยๆ อย่างหอเซียวเหยาไม่อาจรองรับเ้าได้ เ้าคือพญาัที่จะทะยานไปเหนือนภา ข้าหวังว่าเ้าจะไปได้ไกล และยิ่งไกลมากเท่าไรก็ยิ่งดี จงไปให้สูงยิ่งกว่าแคว้นเล็กๆ แปดร้อยแคว้น ไปให้สูงกว่าเผ่าั ไปให้สูงยิ่งกว่าดินแดนเหยียนหวง เพื่อเสาะหาอาจารย์ที่แท้จริงของเ้าด้วยตนเอง”
“จงจำไว้ว่า ตอนนี้เ้าเป็คนเลือกอาจารย์ด้วยตัวเอง ไม่ใช่อาจารย์เป็คนเลือกเ้า นี่คือข้อได้เปรียบที่สุดของเ้า”
หลัวเลี่ยไม่คาดคิดว่าหลิวจื่ออั๋งจะปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้
มันแตกต่างจากความคิดของหลัวเลี่ยโดยสิ้นเชิง
“ทำไม” หลัวเลี่ยถามแทนที่จะตอบหลิวจื่ออั๋ง
หลิวจื่ออั๋งยิ้มอย่างสบายใจ “เ้ารู้หรือไม่ ท่าทางของเ้าที่แสดงตอนอยู่หอการค้าฟ้านเทียนในสาขาแคว้นจินหลาน ทำให้ข้านึกถึงเพื่อนเก่าที่ล่วงลับไปแล้วหลายปี เขาคนนั้นก็หัวแข็งพอๆ กับเ้า เขายอมตายดีกว่าคุกเข่าให้คนอื่น ข้าเคยนับถือเขาเป็แบบอย่าง แต่พอข้าได้เข้าไปที่หอเซียวเหยาแล้ว ข้ากลับเปลี่ยนไป ทุกอย่างที่ข้าทำหลังจากนั้นล้วนแล้วแต่เป็การแสวงหาผลกำไร ข้าทำทุกอย่างเพื่อแผนการ เพื่อตัวเอง”
“ข้าเคยคิดที่จะออกมาจากวังวนเ่าั้ และแสดงออกถึงตัวตนที่แท้จริง แต่ข้าก็ยังละทิ้งผลประโยชน์ไม่ได้ จนกระทั่งได้พบเ้า การแสดงออกของเ้าทำให้ข้ามีความกล้า ต่อให้การทำเช่นนี้จะเป็สิ่งผิดพลาด แต่มันก็ทำให้ข้าได้รู้ว่า ่เวลาที่บริสุทธิ์นี้คือ่เวลาที่จิติญญาของข้าโหยหามาโดยตลอด ตอนนี้ต่อให้ในอนาคตข้าตายไปก็คงไม่เสียใจแล้ว”
“ฮ่าๆ แต่ข้าก็ไม่คาดคิดว่าเ้าจะทำให้ข้าได้รับผลประโยชน์ที่น่าใ ครั้งนี้ไม่รู้ว่าข้าช่วยเ้าหรือเ้าช่วยข้า เพราะในตอนที่เ้าได้รับเทียบเชิญจากกองกำลังพวกนั้น การกระทำที่บริสุทธิ์ในครั้งนี้ของข้า ทำให้ร่างของข้ามีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้น และมีความรู้สึกถึงระดับกายทองคำแล้ว สิ่งนี้ถือว่าเป็เื่น่ายินดีเชียวละ”
หลัวเลี่ยรีบแสดงความยินดีกับหลิวจื่ออั๋งทันที
ประตูสู่ระดับกายทองคำนั้นเป็สิ่งที่ยากต่อการจะฝ่าไปของผู้ฝึกวรยุทธ์นับไม่ถ้วน เพราะเมื่อมีพลังวรยุทธ์ถึงจุดสูงสุดของระดับทลายยุทธ์แล้ว ก็มีโอกาสแค่หนึ่งในพันหรือหนึ่งในหมื่นเท่านั้นที่จะสามารถข้ามพ้นเข้าสู่ระดับกายทองคำได้
เมื่อมีโอกาสได้ััถึงความรู้สึกของการเข้าใกล้ประตูของระดับกายทองคำแล้ว ก็หมายถึงความหวัง ตราบใดที่หลิวจื่ออั๋งคว้าโอกาสนี้ไว้ได้ ก็เป็ไปได้ที่จะเปลี่ยนโอกาสให้เป็ความสำเร็จ
ในขณะเดียวกัน ในใจลึกๆ ของหลัวเลี่ยก็ถือว่าหลิวจื่ออั๋งเป็เพื่อนเขาแล้ว
หลิวจื่ออั๋งไม่ได้คุยกับหลัวเลี่ยอีกมากนัก หลังจากพูดคุยกันเล็กน้อย เขาก็บอกหลัวเลี่ยว่า “ข้าจะช่วยกระจายข่าวในภพจิตั เผื่อจะมีกองกำลังที่ทรงพลังกว่านี้สนใจเ้า หลังจากนี้เ้าก็เก็บตัวฝึกฝนเถอะ อย่าได้เปิดโอกาสให้คนอื่นตามเ้าทัน”
“ขอรับ ขอบคุณผู้าุโหลิวมาก” หลัวเลี่ยกล่าว
“ถ้าเ้าไม่ว่าอะไร แม้ข้าไม่ได้คบคนในยุทธภพมากนัก แต่เ้าเรียกข้าว่าพี่ชาย แล้วพวกเราก็ถือว่าเป็เพื่อนต่างวัยกันก็แล้วกัน” หลิวจื่ออั๋งกล่าวด้วยรอยยิ้ม
หลัวเลี่ยรู้สึกยินดีเป็อย่างยิ่ง “เป็เกียรติของหลัวเลี่ยที่ได้เป็เพื่อนต่างวัยของพี่ชาย”
เขาเหมือนคนพเนจร เมื่อมีมิตรภาพและความรักงอกงาม ณ ที่แห่งนี้ เขาก็ค่อยๆ หลอมรวมเข้ากับโลกนี้
หลิวจื่ออั๋งจากไป เขาต้องใช้เวลาในการเผยแพร่ศักยภาพและความสามารถของหลัวเลี่ย เพื่อดึงดูดความสนใจของกองกำลังขนาดใหญ่ และจะเป็การดีมากหากหลัวเลี่ยสามารถมีอาจารย์ที่อยู่เหนือระดับกายทองคำขึ้นไปได้ หากเป็เช่นนั้นอนาคตของหลัวเลี่ยก็ถือว่ารุ่งโรจน์แล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน รถม้าไล่ตามพระจันทร์ก็แล่นเข้ามาในจวนขององค์ชายสาม
ทุกคนในจวนองค์ชายสามที่ได้รับแจ้งแล้วออกมาต้อนรับหลัวเลี่ย และในคนจำนวนนั้นก็นับรวมทั้งองค์ชายสามที่กลับมาถึงก่อนแล้วด้วย
หลัวเลี่ยไม่ได้ลงจากรถม้าด้วยซ้ำ เขาให้รถม้าแล่นเข้าไปภายในจวนเลย
เขาเลือกสถานที่ที่ดีที่สุดในจวนขององค์ชายสาม ซึ่งเป็ที่ที่องค์ชายสามอาศัยอยู่ และห้ามมิให้ผู้ใดรบกวนโดยเด็ดขาด มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาอนุญาต นั่นคือสิ่งที่องค์ชายสามต้องทำตามคำสั่งของเขา เช่น ทำความสะอาดโต๊ะ หรือกวาดพื้น
กล่าวอีกนัยหนึ่ง องค์ชายสามต้องเป็คนรับใช้ของหลัวเลี่ย
เกี่ยวกับเื่นี้ องค์ชายสามท้วงขึ้นอย่างรุนแรง อย่างไรเสียเขาก็เป็องค์ชาย และมีโอกาสสูงที่จะได้เป็ฮ่องเต้องค์ต่อไป เขาจะเสียศักดิ์ศรีถึงขนาดนี้ได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้องค์ชายสามจึงเสียใจ เพราะหลัวเลี่ยพาเขาไปที่คอกสัตว์ด้วยตนเอง และให้เขาอาศัยอยู่ที่นั่น
ตามที่หลัวเลี่ยเคยพูดไว้ เนื่องจากองค์ชายสามเต็มใจที่จะเป็สุนัขรับใช้ของไป๋หลี่ชาง เช่นนั้นเขาก็จะให้องค์ชายสามเป็สุนัขต่อไป ในเมื่อองค์ชายสามไม่้าเป็มนุษย์ เช่นนั้นก็ไม่ต้องมีชีวิตแบบมนุษย์อีก
จากนั้นหลัวเลี่ยก็เก็บตัวฝึกฝนอย่างสันโดษที่นี่ด้วยความสบายใจ
ความจริงแล้วตอนที่อยู่ในกองไฟปีศาจกระดูกหยิน พลังของหลัวเลี่ยก็มีความก้าวหน้าไปอย่างมาก แต่เพราะว่าระดับที่สิบเป็ระดับสุดท้ายของระดับผู้ฝึกตนในเคล็ดวิชาั์ ดังนั้นมันจึงยากที่จะข้ามผ่านไปได้ เขาจึงฝึกฝนต่อไปด้วยความมุ่งมั่นและไม่ย่อท้อ
ในขณะเดียวกัน เขายังเข้าสู่ภพจิตัเป็ครั้งคราว เข้าไปศึกษาในห้องสมุดของเรือนพเนจร เพื่อเพิ่มพูนความรู้ของตนเอง
ใน่เวลานั้น เขาก็สังเกตเห็นว่าหลิวจื่ออั๋งช่วยกระจายข่าวสารของเขาในภพจิตัจริงๆ และได้รับการตอบรับที่ร้อนแรงมาก
สำหรับขอบเขตการฝึกวรยุทธ์ที่เคยมีมา การที่มีผู้ที่อยู่ในระดับผู้ฝึกตนได้รับกระดูกวิถียุทธ์และเข้าใจเคล็ดวิชามหาสรรพฟ้าดิน ไม่เพียงพอที่จะดึงดูดความสนใจของพวกเขา เพราะพวกเขาก็มีศิษย์ที่เป็อัจฉริยะอยู่แล้ว
แต่การที่ใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนในการฝึกฝนวิชามหาหลุนิจนถึงระดับถ่องแท้นั้นน่าใยิ่งกว่า
แน่นอนว่าในสามวันต่อมา สำนักกว่างเฉิง สำนักชื่อจิง และสำนักเซียนอูหยุน ซึ่งเป็กองกำลังทรงพลังที่มีผู้มีวรยุทธ์ในระดับกายทองคำอยู่ ก็ปรากฏกายขึ้นที่แคว้นจินหลาน
ตอนนี้สถานะของหลัวเลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทุกวันนี้แม้แต่ฮ่องเต้แห่งแคว้นจินหลานก็ยังต้องฟังคำสั่งของหลัวเลี่ย
ไม่ว่าจะเป็สำนักวรยุทธ์ไหน ก็ไม่อาจมีคนที่สามารถพัฒนาพลังให้ก้าวหน้าได้เร็วขนาดนี้
บุคคลนี้คือ ข่งไท่โต้ว เป็ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันของตระกูลข่งเชวี่ยที่ก่อตั้งโดยข่งเซวียน!
ชายผู้อ้างตัวว่าเป็รองเพียงบรรพชนข่งเซวียน มีข่าวลือว่าใน่สิบปีนี้เขาจะสละตำแหน่งผู้นำตระกูล และกลับไปเป็เพียงผู้าุโที่แข็งแกร่งแทน
รูปลักษณ์ของเขาไม่ได้ทำให้หลัวเลี่ยประหลาดใจมากนัก
วิชามหาหลุนิถูกสร้างขึ้นโดยข่งเซวียน แม้ว่าวิชายุทธ์นี้จะถูกเผยแพร่สู่โลกภายนอก แต่จริงๆ แล้วมันมีรายละเอียดในการทำความเข้าใจเยอะอย่างมาก ซึ่งเป็สิ่งที่คนนอกแทบจะไม่สามารถเข้าใจและฝึกฝนให้สำเร็จได้เลย ซึ่งคนในตระกูลข่งก็รู้ดีว่า วิชามหาหลุนินั้นยากที่จะฝึกฝนให้ถึงระดับถ่องแท้มากแค่ไหน แม้ว่าพวกเขาจะใช้เวลาหลายสิบปี หรือแม้กระทั่งร้อยปี ก็อาจจะไปไม่ถึงระดับถ่องแท้ ดังนั้นเมื่อพวกเขารู้ว่ามีคนที่สามารถฝึกฝนให้ถึงระดับถ่องแท้ได้ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน พวกเขาจึงใมาก
หลัวเลี่ยคิดแล้วว่าอาจมีคนจากตระกูลข่งมาหา เพียงแต่เขาไม่คิดว่าคนที่มาจะเป็ข่งไท่โต้ว
เขาแตกต่างจากคนอื่นที่จะส่งเพียงจดหมายเทียบเชิญมา ซึ่งข่งไท่โต้วคนนี้กลับปรากฏตัวขึ้นที่ห้องฝึกฝนของหลัวเลี่ย
โชคดีที่หลัวเลี่ยคิดไว้แล้วว่าอาจมีผู้คนจำนวนมากมาหาเขา และบางคนอาจมาแอบสังเกตการณ์ ดังนั้นเขาจึงฝึกฝนวิชายุทธ์ทั่วๆ ไปโดยไม่เปิดเผยถึงพลังที่แท้จริงอยู่ในห้องฝึกฝน เพราะเขาเองก็กังวลว่าจะถูกโยงว่าเป็ ‘มีัอยู่ในเป้า’ เช่นกัน
ข่งไท่โต้วสง่างามมากตามชื่อของเขา
เขาเป็ชายวัยกลางคนที่ผอมมาก
ยิ่งไปกว่านั้น ทันทีที่ข่งไท่โต้วปรากฏตัว เขาก็พูดอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “ข้าคือข่งไท่โต้ว เ้ายินดีจะเป็ศิษย์ของข้าหรือไม่”
ไม่มีแม้แต่คำพูดไร้สาระ
หลัวเลี่ยตกตะลึงกับความตรงไปตรงมาของเขา จากนั้นเขาก็ตอบกลับตามตรงด้วยประโยคที่เกือบทำให้ข่งไท่โต้วสำลักน้ำลายตาย
“หากจะให้ข้าเป็ศิษย์ของข่งเซวียน ข้าก็สามารถยอมรับได้ แต่หากจะให้เป็ศิษย์ของเ้า ข้าไม่สามารถยอมรับได้”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้