พอซ่งเหม่ยอวิ๋นพูดจบ จู่ๆ หญิงสาวก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา “ใช่แล้ว ก็แค่เปลี่ยนจากข้าวสารให้กลายเป็ข้าวสุกก็ได้แล้ว!”
ทั้งสองคนคุยกันไปคุยกันมาก็ปั่นจักรยานมาถึงหน้าที่ทำงานของหลี่เสวี่ยหรูแล้ว หลี่เสวี่ยหรูแสยะยิ้มมุมปากโดยไม่ทันสังเกตแล้วเธอก็พูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันเข้าโรงงานก่อนนะ”
“โอ้ะ พี่เสวี่ยหรู พี่รอเดี๋ยว” ซ่งเหม่ยอวิ๋นเรียกหลี่เสวี่ยหรูไว้ก่อน จากนั้นเธอก็หยุดรถจักรยานของตนและจอดลงตรงหน้าหน่วยงาน
หลี่เสวี่ยหรูเองก็หยุดฝีเท้าลงพร้อมกัน เธอทำท่าทางเหมือนกำลังรู้สึกสับสน ทว่าอันที่จริงแล้วในใจเธอกลับมั่นใจเป็อย่างยิ่ง
ซ่งเหม่ยอวิ๋นขยับเข้าไปใกล้หลี่เสวี่ยหรู “พี่เสวี่ยหรู พี่ยังชอบพี่รองของฉันอยู่ไหม?”
หลี่เสวี่ยหรูกระพริบตา จากนั้นเธอก็ละสายตาไปจากซ่งเหม่ยอวิ๋นอย่างเขินอาย “อุ้ย เธอพูดเื่นี้ทำไมกัน? ถึงฉันจะชอบเขาแต่เขาก็ไม่ได้ชอบฉันสักหน่อย”
ซ่งเหม่ยอวิ๋นคว้าเสื้อของหลี่เสวี่ยหรูอย่างตื่นเต้น “ถ้าอย่างนั้น พี่อยากมาเป็พี่สะใภ้รองของฉันไหม?”
หลี่เสวี่ยหรูกัดริมฝีปากแล้วกล่าวตะกุกตะกัก “ฉัน...ฉัน....ฉันอยากใช้ชีวิตกับพี่รองของเธอ แต่ว่า...แต่ว่า...”
“แต่ว่าอะไรกัน” ซ่งเหม่ยอวิ๋นกล่าว “ถ้าพี่ชอบพี่รอง ฉันก็จะคิดหาวิธีทำให้พี่รองต้องตบแต่งกับพี่อย่างเลี่ยงไม่ได้เอง”
“นี่...เธอจะทำอย่างไร?”
“ก็เปลี่ยนจากข้าวสารให้กลายเป็ข้าวสุกน่ะสิ!”
หลี่เสวี่ยหรูตกตะลึง ท่าทางราวกับสงสัยว่าตนเองกำลังฟังผิดไป “อะ...อะไรนะ?”
“ฉันบอกว่า ฉันจะทำข้าวสารให้กลายเป็ข้าวสุกเอง!” ซ่งเหม่ยอวิ๋นดวงตาเป็ประกายด้วยความตื่นเต้น “ถ้าพี่กับพี่รองเปลี่ยนจากข้าวสารกลายเป็ข้าวสุขกันแล้ว พี่รองจะต้องแต่งพี่เข้าตระกูลอย่างแน่นอน!”
เสียงของซ่งเหม่ยอวิ๋นดังขึ้นเล็กน้อย หลี่เสวี่ยหรูกวาดสายตามองไปรอบด้านอย่างตื่นตระหนก “เบาเสียงลงหน่อย!” หลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่รอบๆ แล้ว เธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็จ้องมองซ่งเหม่ยอวิ๋นพลางกล่าวว่า “เธอพูดไร้สาระอะไรกัน?”
“พี่เสวี่ยหรู ฉันไม่ได้พูดไร้สาระนะ...พี่รู้ไหมว่าทำไมตอนนั้นพี่รองของฉันถึงได้แต่งงานกับซย่านี? นั่นก็เพราะซย่านีผลัดตกน้ำโดยไม่ได้ตั้งใจ พี่รองช่วยเธอไว้แถมเขายังช่วยปั๊มหัวใจกับผายปอดให้เธออีก พวกคนชนบทที่โน้นมันจะไปรู้เื่การปั๊มหัวใจและผายปอดช่วยชีวิตคนได้อย่างไร พวกเขาพากันพูดว่าพี่รองเอาเปรียบซย่านีแล้ว พี่รองก็เลยต้องรับผิดชอบโดยการแต่งงานกับซย่านี”
หลี่เสวี่ยหรูเพิ่งเคยได้ยินซ่งเหม่ยอวิ๋นพูดเื่นี้เป็ครั้งแรก “จริงหรือ? เธอรู้ได้อย่างไร?”
ซ่งเหม่ยอวิ๋นแสดงสีหน้าเหยียดหยามออกมา “จริงสิ เมื่อก่อนพ่อกับแม่ของซย่านีก็เคยมาเอาเื่ถึงที่บ้านฉันไม่ใช่หรือไง พวกเขาพูดเองกับปาก ดังนั้น พี่เสวี่ยหรูหากพี่อยากเปลี่ยนจากข้าวสารกลายเป็ข้าวสุกกับพี่รองจริงๆ แล้วล่ะก็ พี่รองจะต้องรับผิดชอบพี่แน่หรือต่อให้เขาไม่อยากยอมรับผิดชอบก็ต้องยอมอยู่ดี! เช่นนี้แล้ว เขาจะต้องหย่ากับซย่านีแล้วมาแต่งงานกับพี่อย่างแน่นอน”
หลี่เสวี่ยหรูลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็หน้าแดงระเรื่อและส่ายหน้ารัวๆ “ไม่ๆๆ ไม่ได้ๆ แบบนี้มันไม่ดีนะ” หญิงสาวยกมือขึ้นดูนาฬิกาแล้วกล่าวลา “ฉันใกล้จะเข้างานแล้ว ฉันไปก่อนนะ เหม่ยอวิ๋น เธอเองก็รีบไปได้แล้วอย่าสายเอาล่ะ”
“เอ๊ะ พี่เสวี่ยหรู พี่เสวี่ยหรู!” ซ่งเหม่ยอวิ๋นยืนะโอยู่ด้านหลัง “ฉันพูดจริงนะ พี่ลองเก็บไปคิดให้ดีเถอะ!”
หลี่เสวี่ยหรูจูงจักรยานมาถึงหน้าประตูหน่วยงานแล้วก็หยุดลง เธอยกยิ้มมุมปากเบาๆ รอยยิ้มนั้นแสดงถึงการประสบความสำเร็จ จากนั้นหญิงสาวก็ขี่รถจักรยานออกจากสายตาของซ่งเหม่ยอวิ๋นไปอย่างรวดเร็ว
หากซ่งเหม่ยอวิ๋นเสนอความคิดนี้ขึ้นมาั้แ่แรกล่ะก็ เธอก็เห็นด้วยกับความคิดนี้แล้วแต่หากเธอเป็คนเสนอมันคงจะเป็การดูถูกตนเองเกินไป ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ต้องรอให้ซ่งเหม่ยอวิ๋นเป็คนเสนอสักสองสามรอบและให้อีกฝ่ายโน้มน้าวเธออีกสามสี่ทีถึงจะดี ขนาดเล่าปี่[1] ยังต้องไปเยี่ยมกระท่อมตั้งสามครั้ง [2] เลยนี่
นอกจากนี้แล้ววิธีอย่างการทำข้าวสารให้กลายเป็ข้าวสุก ต่อให้สำเร็จขึ้นมาจริงๆ แน่นอนว่ามันจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อซ่งหานเจียงอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งอาจทำให้ภายภาคหน้าเขาเกิดความรู้สึกไม่ประทับใจต่อความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยา ดังนั้นการที่เธอตำหนิซ่งเหม่ยอวิ๋นเช่นนี้จึงถือว่าเหมาะสมแล้ว
อีกด้านหนึ่งหลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ซ่งหานเจียงก็ให้ลูกทั้งสองคนบอกลาซย่านีที่หน้าประตูร้านอาหารเล็กๆ แห่งนั้น ซย่านีบอกลาเด็กทั้งสองด้วยรอยยิ้มและกำชับพวกเขาว่า “ไปโรงเรียนก็ตั้งใจเรียนให้ดี แล้วก็ตั้งใจฟังที่ครูสอนด้วยนะ เข้าใจไหมจ้ะ” จากนั้นเธอก็หันไปทางซ่งหานเจียง “ส่วนเื่ของพวกเรา นายคิดว่านายพอจะหาเวลาได้เมื่อไหร่หรือ เราจะได้จัดการเื่นี้ให้เรียบร้อยโดยเร็วที่สุด?”
ซ่งหานเจียงยิ้มแล้วกล่าวว่า “ได้ ผมจะพยายามอย่างเต็มที่”
เพื่อไม่ให้เื่นี้ยืดเยื้อออกไปนาน ซย่านีจึงเอ่ยเร่งเขาอีกรอบ “คุณต้องรีบหน่อยนะ”
ซ่งหานเจียงพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะรักษารอยยิ้มเอาไว้ “ได้”
หลังจากที่ซย่านีพูดจบ เธอก็อุ้มซิงซิงและเดินจากไปแล้ว ซ่งหานเจียงมองดูเงาหลังของเธออย่างใจลอยเล็กน้อยแต่เขาก็ถูกลูกสาวถึงแขนเสื้อเสียก่อน ทำให้สติของเขากลับมา
“พ่อ แม่เดินไปไกลแล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะค่ะ!” ซ่งวั่งซูกล่าว
“ได้” ซ่งหานเจียงตอบรับแล้วหันไปถามเด็กทั้งสอง “พวกลูกสองคน คนไหนอยากนั่งหน้า คนไหนอยากซ้อนท้ายกันฮึ?”
ซ่งตงซวี่ชิงตอบก่อน “ผมจะนั่งข้างหลัง!” มองไปแล้วตำแหน่งด้านหน้ารถจักรยานมันดูเหมือนถูกพ่ออุ้มกระเตงไว้ในอ้อมแขนอย่างไรอย่างนั้น ตอนนี้เขาเป็ลูกผู้ชายแล้ว พวกลูกผู้ชายเขาไม่นั่งในอ้อมแขนของพ่อกันหรอก!
“ไม่ได้นะ!” ซ่งวั่งซูทำลายความคิดของซ่งตงซวี่ลงเสียแล้ว “แต่ก่อนฉันนั่งข้างหลังมาตลอด! แม่เคยบอกไว้ว่านายไม่ชอบนั่งนิ่งๆ เวลานั่งรถ แม่เลยไม่อนุญาตให้นายนั่งซ้อนท้าย”
ซ่งตงซวี่ร้องะโขึ้น “ตอนนี้ผมนั่งรถนิ่งๆ ได้แล้ว ผมไม่เหยียบมั่วซั่วหรอก!”
ซ่งวั่งซูไม่ฟังที่เขาพูด เด็กสาวไม่พูดพร่ำทำเพลงก็รีบปีนขึ้นไปนั่งบนเบาะหลังรถจักรยานของบิดาแล้ว ซ่งตงซวี่โมโหมาก เขาหันไปเตะล้อหลังจักรยานอย่างแรง
ซ่งหานเจียงพูดไม่ออก “…” เ้าเด็กซนคนนี้นี่นะ!
เขาเอื้อมมือลงไปคว้าตัวซ่งตงซวี่ขึ้นมาแล้วโน้มไปข้างหน้าเล็กน้อย มือหนึ่งกอดลูกชายไว้ ส่วนอีกมือหนึ่งก็จับที่พวงมาลัยจักรยานด้านหน้า “เ้าเด็กดื้อ ่นี้อ้วนขึ้นหรือเปล่า พ่อแทบจะอุ้มไม่ไหวอยู่แล้ว”
ซ่งตงซวี่ไม่สามารถเก็บซ่อนคำพูดเอาไว้ได้ เขาโพล่งออกมาอย่างมีความสุข “สัปดาห์นี้ผมกับพี่ได้กินของดีๆ กับแม่เต็มเลย มีเนื้อทุกมื้อเลยนะฮะ!”
มีเนื้อทุกมื้อเลยงั้นหรือ? ซ่งหานเจียงเดาะลิ้น ซย่านีเลี้ยงลูกแบบนี้ได้อย่างไร ต่อให้เธอตั้งแผงขายของจนหาเงินได้จำนวนไม่น้อยก็จริงแต่เธอก็ใช้จ่ายแบบฉุดไม่อยู่เช่นนี้งั้นหรือ?
“ถ้าอย่างนั้น ก่อนหน้านี้ลูกไม่ได้กินเนื้อเลยหรือไง?” จากนั้นซ่งหานเจียงก็หน้าหันไปกำชับกับลูกสาวที่นั่งอยู่ด้านหลังพร้อมๆ กัน “เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ จับเอวพ่อไว้นะ อย่าเอาเท้ายื่นไปในวงล้อนะลูก เข้าใจไหม?”
“เข้าใจค่ะ” ซ่งวั่งซูโน้มตัวไปข้างหน้าแล้วกอดเอวซ่งหานเจียงเอาไว้แน่น
“ป่ะ ไปกันเถอะ” ซ่งหานเจียงออกแรงถีบคันเหยียบ
ซ่งตงซวี่พูดขึ้นมา “แต่ก่อนพวกเราได้กินเนื้อกันน้อยมากเลยครับ มีแค่วันที่พ่อกลับมาบ้านเท่านั้นพวกเราถึงจะได้กินเนื้อกัน ปกติย่าไม่ยอมให้พวกเรากินเนื้อเลยสักชิ้น ไม่เพียงแต่ไม่ให้พวกเรากินเนื้อนะฮะแม้แต่ไข่ไก่ก็ยังไม่ให้พวกเรากิน แต่พี่เสี่ยวสยากับเสี่ยวจวินกลับได้กินไข่ไก่แทบทุกวันเลย”
“ซ่งตงซวี่!” ซ่งวั่งซูยืดตัวขึ้นแล้วะโไปข้างหน้า “นายลืมไปแล้วหรือไง แม่ไม่ให้พวกเราบอกพ่อนะ!”
ซ่งตงซวี่เอามือปิดปากตนเองตามสัญชาตญาณแล้วกลอกตาไปมาสองที ทุกครั้งก่อนที่ซ่งหานเจียงจะกลับบ้าน ซย่านีจะกำชับพวกเขาสองคนว่า ห้ามบอกเื่นี้กับพ่อเด็ดขาดเพราะกว่าพ่อจะร่ำเรียนที่มหาวิทยาลัยได้นั้น ไม่ใช่เื่ง่าย แถมยังลำบากมากด้วย ดังนั้นอย่าทำให้พ่อต้องมากังวลเื่พวกเราแต่่สองสัปดาห์มานี้ซย่านีไม่ได้เตือนลูกๆ อย่างที่เคยทำ เลยทำให้ซ่งตงซวี่เองก็ลืมเื่นี้ไปโดยปริยาย พอซ่งหานเจียงเอ่ยถามเขาก็เลยหลุดปากตอบออกไปตามตรง
ซ่งวั่งซูพลันทำให้ซ่งหานเจียงใขึ้นมา จากนั้นเขาก็ใช้มือซ้ายเอื้อมไปประคองด้านหลังและเอ่ยเตือน “เสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์! ลูกนั่งลงดีๆ สิ! อย่ากระดุกกระดิก!”
ซ่งวั่งซูนั่งลงอย่างเชื่อฟัง เธอเอาหน้าแนบกับแผ่นหลังของซ่งหานเจียง ดังนั้นเสียงที่กล่าวออกมาจึงฟังดูอู้อี้ “พ่อคะ พ่ออย่าไปฟังที่หยางหยางพูดเลยนะคะ เขาโกหกพ่อต่างหาก”
[1] เล่าปี่ 刘备 คือ ขุนศึกที่มีอำนาจในยุคสามก๊กของประเทศจีนและเป็จักรพรรดิผู้ก่อตั้งจ๊กก๊ก
[2] เยี่ยมกระท่อมสามครั้ง 三顾茅庐 คือคำเปรียบเปรยที่หมายถึง การไปเชื้อเชิญขอความช่วยเหลือหรือไปเยี่ยมเยียนด้วยความจริงใจ
