อันซิ่วเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นสบสายตากับจางเจิ้นอันพอดี เขาสวมหมวกงอบ คาดผ้าโปร่งบางปิดบังดวงตา เผยให้เห็นเพียงสันจมูกโด่งและคางที่ดูบึกบึนดุดัน นางอ่านสีหน้าเขาไม่ออก จึงไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงส่งยิ้มบางๆ ให้ ดวงตากลมโตที่หยีลงเล็กน้อยเป็ประกาย สะท้อนเงาขุนเขาเขียวขจีและสายน้ำใสสะอาด ดูราวกับว่าดวงตาคู่นั้นยังใสกระจ่างบริสุทธิ์ยิ่งกว่าธารน้ำเสียอีก
จางเจิ้นอันถูกสายตาคู่นั้นจ้องมอง รู้สึกใบหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างประหลาด เขาจึงรีบเบือนหน้าหนี แล้วพายเรือต่อไป อันซิ่วเอ๋อร์จึงหันกลับไปชื่นชมทิวทัศน์สองฟากฝั่งแม่น้ำดังเดิม
ตลอดทาง เรือแล่นไปอย่างราบรื่นจนกลับถึงบ้าน ทว่าอันซิ่วเอ๋อร์กลับต้องพบกับแขกที่ไม่คาดคิด กู้หลินหลาง
เขามาทำอะไรที่นี่? อันซิ่วเอ๋อร์ขมวดคิ้ว นางทักทายเหลียงซื่อผู้เป็มารดา แล้วจึงโค้งคำนับกู้หลินหลางตามมารยาท แต่ก่อนที่เขาจะทันได้เอ่ยปาก นางก็รีบปลีกตัวกลับเข้าห้องไปเสียแล้ว
"ซิ่วเอ๋อร์ถูกพวกเราตามใจจนเคยตัว ท่านอาจารย์กู้ อย่าถือสาความไร้มารยาทของนางเลยนะเ้าคะ" เหลียงซื่อรีบรินชาให้กู้หลินหลาง สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ "ขอบคุณท่านอาจารย์ที่อุตส่าห์มาถึงที่นี่ด้วยตนเอง ลำบากท่านแล้วจริงๆ"
"เป็เพียงเื่เล็กน้อยเท่านั้นขอรับ" กู้หลินหลางแย้มยิ้มบางๆ ท่าทางสุภาพอ่อนโยน แลดูสง่างาม "หรงเหอเป็เด็กฉลาด แต่ก็ยังต้องมีคนคอยชี้แนะ อย่าให้เขาเดินหลงทางเป็อันขาด"
"ขอบคุณท่านอาจารย์ที่ช่วยอบรมสั่งสอนเ้าค่ะ" เหลียงซื่อแสดงความเคารพอย่างสูง ในยุคสมัยนี้ บัณฑิตถือเป็ผู้ทรงเกียรติ โดยเฉพาะชาวบ้านชนบทเช่นนาง ยิ่งให้ความเคารพนับถือบัณฑิตเป็อย่างมาก
กู้หลินหลางนั่งสนทนากับเหลียงซื่ออยู่อีกครู่หนึ่ง เมื่อเขาลากลับไปแล้ว อันซิ่วเอ๋อร์จึงออกมาจากห้อง ถามมารดาว่า "ท่านอาจารย์กู้มาทำอะไรหรือเ้าคะ?"
"ก็เื่เ้าเด็กซนหรงเหอน่ะสิ อาจารย์บอกว่าเขาไม่ตั้งใจเรียน มัวแต่นั่งมองนกนอกหน้าต่าง ทำให้อาจารย์กู้โกรธจนต้องตีมือสั่งสอนต่อหน้าเพื่อนๆ แล้วยังอุตส่าห์มาบอกแม่ถึงบ้านอีก"
เหลียงซื่อเล่าด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง พลางบ่นอย่างหัวเสีย "บ้านเราต้องประหยัดกันแทบตายกว่าจะหาเงินส่งเสียให้เขาเรียนได้ เ้าเด็กนี่ทำไมถึงไม่รู้จักฟังคำสอนบ้างนะ! รอให้เขากลับมาเถอะ แม่จะต้องสั่งสอนให้หนัก!"
"เอาเถอะเ้าค่ะ ท่านแม่ อย่าเพิ่งโมโหเลย" อันซิ่วเอ๋อร์พอเข้าใจเื่ราวทั้งหมดแล้ว เห็นท่าทางหัวเสียของมารดา ก็แย้มยิ้มเล็กน้อย หยิบปิ่นปักผมทองแดงเคลือบสีออกมาแกว่งไปมาตรงหน้าเหลียงซื่อ "ท่านแม่ดูสิเ้าคะ นี่อะไรเอ่ย?"
"ปิ่นปักผม? เ้าเอามาจากไหนกัน?" สายตาของเหลียงซื่อพลันจับจ้องไปที่ปิ่นในมือของลูกสาวทันที ปิ่นปักผมสีทองแดงโบราณ ปลายปิ่นเป็รูปดอกโบตั๋นเคลือบสีสันสดใส ดูมีชีวิตชีวา มีราคาค่างวดกว่าปิ่นไม้เก่าๆ ที่หักไปแล้วของนางมากนัก
"วันนี้ข้าเข้าเมืองไปซื้อมาฝากท่านแม่โดยเฉพาะเลยนะเ้าคะ" อันซิ่วเอ๋อร์จับมือเหลียงซื่อ แล้ววางปิ่นทองแดงลงบนฝ่ามือมารดา "ท่านแม่ไม่ได้อิจฉาปิ่นของป้าข้างบ้านปากร้ายคนนั้นอยู่เรื่อยหรอกหรือ วันนี้ข้าเลยซื้อมาให้ท่านอันหนึ่ง"
"เ้านี่นะ..." เหลียงซื่อมองปิ่นทองแดงในมือ ััเย็นๆ ของโลหะทำให้นางลืมความขุ่นเคืองก่อนหน้าไปชั่วขณะ นางเงยหน้ามองดวงตาของบุตรสาว ดวงตากลมโตคู่นั้นอ่อนโยนและเป็ประกาย ทว่าขอบตาที่คล้ำลงเล็กน้อยนั้น กลับดูเหมือนรอยตำหนิบนเนื้อหยกขาวอย่างไรอย่างนั้น
ตอนแรกนางนึกว่า่นี้ที่ลูกสาวขยันปักผ้า ก็เพื่อเก็บเงินไว้เป็สินเดิมติดตัวไป ไม่นึกเลยว่านางจะเอาเงินมาซื้อของให้แม่ ด้วยเหตุนี้ เหลียงซื่อจึงรู้สึกตื้นตันจนจมูกแสบร้อน เกือบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
"นี่ยังมีกล้องยาสูบ ซื้อมาฝากท่านพ่อด้วย ท่านแม่ว่าดีหรือไม่เ้าคะ?" อันซิ่วเอ๋อร์ไม่ปล่อยให้มารดาซาบซึ้งนาน นางหยิบกล้องยาสูบออกมาจากตะกร้าส่งให้เหลียงซื่อดู
"ก็ดูดีนี่" เหลียงซื่อลูบคลำด้ามกล้องยาสูบที่เรียบลื่น พยักหน้าเบาๆ "แล้วทำไมถึงคิดซื้อกล้องยาสูบให้พ่อเขาล่ะ? เขาเลิกสูบยาไปตั้งนานแล้วไม่ใช่รึ?"
"ซื้อมาให้ท่านพ่อไว้ตีคนเ้าค่ะ ใครไม่เชื่อฟัง ก็ให้ท่านพ่อใช้กล้องยาตีเลย" อันซิ่วเอ๋อร์ตอบยิ้มๆ
พ่อเฒ่าอันเคยสูบยามาก่อน ตอนเด็กๆ อันซิ่วเอ๋อร์จำได้ว่าเขาชอบเหน็บกล้องยาสูบไว้ที่เอวเสมอ เวลามีความสุขก็จะหยิบออกมาสูบสองสามครั้ง แต่ไม่รู้ั้แ่เมื่อไหร่ เขาก็เลิกพกกล้องยาสูบติดตัว เงินค่าใบยาสูบเ่าั้ เขากลับเอาไปซื้อขนมให้ลูกสาวกินแทน
เหมือนจะเป็เมื่อปีก่อน ตอนที่อันหรงเหอหนีเรียนไปจับจิ้งหรีด พ่อโกรธมาก ใช้กล้องยาสูบฟาดลงบนโต๊ะเสียงดังลั่น พอหายโกรธ กล้องยาสูบก็หักเป็สองท่อน บนโต๊ะยังคงมีรอยบุบอยู่จนถึงทุกวันนี้ หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้ซื้อใหม่อีกเลย อันซิ่วเอ๋อร์จำเื่นี้ได้ขึ้นใจ เพื่อซื้อกล้องยาสูบอันนี้ นางตั้งใจเก็บเงินมานาน แต่ในฝันครั้งนั้น เงินทั้งหมดกลับถูกนางนำไปใช้เป็ค่าเดินทางเสียหมด
เนื่องจากวันนี้ได้อาศัยเรือของจางเจิ้นอันกลับมา จึงถึงบ้านเร็วกว่าปกติ เหลียงซื่อเพิ่งจะเตรียมอาหารกลางวันเสร็จ นางออกไปดูแดดนอกชาน เห็นเงาแดดเริ่มคล้อยพ้นชายคาแล้ว จึงรู้ว่าได้เวลาอาหาร
่นี้เป็หน้าแล้ง ข้าวปลาอาหารในบ้านยิ่งร่อยหรอ แม้แต่อันหรงเหอที่กำลังเรียนหนังสือ ยังได้กินเพียงข้าวครึ่งถ้วยกับมันเทศที่เริ่มมีกลิ่นนิดๆ และผักดองอีกเล็กน้อยเท่านั้น
ทว่าเหลียงซื่อกลับเตรียมอาหารใส่ตะกร้าไม้ไผ่อีกใบหนึ่งอย่างดี ในนั้นมีข้าวสวยเต็มถ้วย ไข่ต้มสองฟอง และหมูเค็มอบอีกจำนวนหนึ่ง แล้วสั่งให้อันซิ่วเอ๋อร์นำไปส่งให้กู้หลินหลาง
อันซิ่วเอ๋อร์ทำหน้าไม่เข้าใจ เหลียงซื่อจึงอธิบาย "ท่านอาจารย์กู้ใส่ใจหรงเหอมาก วันนี้ยังอุตส่าห์มาเยี่ยมถึงบ้าน เราควรจะขอบคุณเขาหน่อย เ้าไปบอกเขาด้วยว่าบ้านเรายากจน อย่าได้ถือสาเลย"
"เข้าใจแล้วเ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์พยักหน้า นางไม่อาจเอาความโกรธเคืองจากความฝันไปลงที่กู้หลินหลางได้ บางทีเขาอาจไม่ได้เป็คนเช่นนั้นจริงๆ ก็ได้
นางถือกล่องอาหารเดินไปยังสำนักศึกษา พอไปถึงก็เป็เวลาเลิกเรียนพอดี เด็กๆ ที่บ้านอยู่ใกล้ต่างก็กลับไปกินข้าวที่บ้าน บ้างก็มีญาติพี่น้องนำอาหารมาส่ง ส่วนเด็กๆ ที่มาจากหมู่บ้านอื่น ส่วนใหญ่มักจะกินอาหารแห้งที่เตรียมมาจากบ้าน มีเพียงเด็กที่ฐานะดีหน่อยเท่านั้นที่จะวิ่งไปซื้ออาหารจากบ้านคนแถวๆ สำนักศึกษากิน
อันซิ่วเอ๋อร์มองอันหรงเหอที่วิ่งยิ้มแฉ่งมาหานาง แตะศีรษะหลานชายเบาๆ แล้วส่งกล่องอาหารในมือให้ "เอาของนี่ไปให้ท่านอาจารย์ แล้วรีบกลับมานะ อาจะรออยู่ที่ลานด้านหลัง"
อันหรงเหอพยักหน้ารับคำ ถือของวิ่งจากไปอย่างดีใจ อันซิ่วเอ๋อร์จึงถือตะกร้าอาหารของหลานชายเดินไปยังลานด้านหลัง
พอเดินไปถึงโต๊ะหิน กลับพบว่ามีคนนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ดูจากรูปร่างแล้วไม่ใช่ใครอื่น คือกู้หลินหลางนั่นเอง
อันซิ่วเอ๋อร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่กู้หลินหลางเห็นนางก่อนเสียแล้ว เขาเอ่ยทักทายอย่างเป็กันเอง "ซิ่วเอ๋อร์ มาส่งข้าวให้หรงเหออีกแล้วหรือ?"
"เ้าค่ะ" เมื่อถูกเห็นแล้ว นางจึงเดินถือกล่องอาหารเข้าไปหาอย่างเลี่ยงไม่ได้ "ขอบคุณท่านอาจารย์กู้ที่ช่วยอบรมสั่งสอนหรงเหออย่างเข้มงวดนะเ้าคะ"
"ในฐานะอาจารย์ นี่เป็หน้าที่ของข้าอยู่แล้ว" กู้หลินหลางแย้มยิ้มเล็กน้อย ท่าทางสง่างามสมเป็บัณฑิต ดูดีไร้ที่ติ
"ท่านอาจารย์กู้ช่างมีคุณธรรมสูงส่งจริงๆ เ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์เอ่ยชมอย่างเสียไม่ได้
การต้องมานั่งอยู่กับกู้หลินหลางตามลำพังเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เมื่อนึกถึงวันวาน นางเคยปรารถนาจะได้อยู่กับเขาเพียงสองต่อสองมากเพียงใด แต่บัดนี้ ความรู้สึกเ่าั้กลับจางหายไปสิ้นแล้ว พอเห็นหน้าเขา นางกลับอยากจะหนีไปให้ไกลเสียมากกว่า
แต่เขากลับเอาแต่จ้องมองนางด้วยสายตาเป็ประกาย จนทำให้นางยิ่งนั่งไม่ติดที่
โชคดีที่เสียงของอันหรงเหอดังมาก่อนแต่ไกล "ท่านอา ท่านอาจารย์ไม่อยู่ขอรับ" พอเขาโผล่พ้นพุ่มไม้มา เห็นกู้หลินหลางนั่งอยู่ ก็ใเล็กน้อย สีหน้าร่าเริงเมื่อครู่พลันหุบลงทันที กล่าวอย่างนอบน้อม "ที่แท้ท่านอาจารย์อยู่นี่เอง"
"มีเื่อันใดรึ?"
"ท่านอาให้ข้านำของนี่มาให้ท่านขอรับ" อันหรงเหอวางกล่องอาหารลงบนโต๊ะหิน กู้หลินหลางมองอันซิ่วเอ๋อร์อย่างสงสัย อันซิ่วเอ๋อร์จึงเปิดฝากล่องออก ยกชามอาหารออกมาวางตรงหน้ากู้หลินหลาง "ท่านแม่ของข้าฝากให้นำมาให้ท่านเ้าค่ะ บ้านเรายากจน อาหารมื้อนี้อาจไม่ถูกปากท่านอาจารย์นัก"
พูดพลาง นางก็นำอาหารจากตะกร้าอีกใบออกมาวางตรงหน้าอันหรงเหอ ลูบศีรษะหลานชายแล้วบอกว่า "คงหิวแล้วสินะ กินข้าวเถอะ"
เมื่อกู้หลินหลางเห็นว่าอันซิ่วเอ๋อร์นำอาหารมาให้เขา นึกว่านางคงเปลี่ยนใจแล้ว จึงตักข้าวเข้าปากอย่างยินดี ทว่ากลับรู้สึกได้ถึงความหยาบกระด้างของเมล็ดข้าว ต้องพยายามอย่างยิ่งจึงจะกล้ำกลืนลงคอไปได้ เขารู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรจุกอยู่ที่คอ พอเหลือบมองหมูสามชั้นมันเยิ้มสีคล้ำกับผักดองในชาม ก็ขมวดคิ้วแน่น กินต่อไม่ลงอีก
เขาไม่คุ้นชินกับการกินข้าวกล้องหยาบๆ เช่นนี้ ปกติแล้วเขามีคนรับใช้คอยหุงหาอาหารให้ กินแต่ข้าวขาวขัดสีกับอาหารที่ปรุงอย่างดีเท่านั้น
แต่ถึงอย่างไร นี่ก็เป็อาหารที่อันซิ่วเอ๋อร์อุตส่าห์นำมาให้ หากเขาไม่กิน นางอาจจะยิ่งเ็าต่อเขามากขึ้นไปอีก เขาควรจะทำอย่างไรดี?
ขณะที่เขากำลังตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สายตาก็เหลือบไปเห็นผักดองในชามของอันหรงเหอพอดี เขาจึงคิดอุบายขึ้นได้ รีบปัดมือทำเป็ผลักถ้วยชามออกไป แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงคล้ายขุ่นเคืองเล็กน้อย "พวกเ้าให้ข้ากินอาหารดีๆ เช่นนี้ แต่กลับให้หรงเหอกินเพียงเท่านี้ ข้ารู้สึกละอายใจนัก พวกเ้านำกลับไปเถอะ!"
อันซิ่วเอ๋อร์และอันหรงเหอเห็นท่าทางของเขา ก็ได้แต่มองหน้ากันอย่างงุนงง กู้หลินหลางเห็นสีหน้าของทั้งสอง จึงถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนลง "กลับไปบอกท่านแม่ของเ้าด้วยว่าอย่าทำเช่นนี้อีกเลย น้ำใจที่นางมีให้กู้หลินหลางผู้นี้ ข้ารับรู้และซาบซึ้งใจยิ่งนัก แต่ก็รู้สึกละอายใจมากจริงๆ"
"เ้าค่ะ" อันซิ่วเอ๋อร์พยักหน้ารับคำ แต่ในใจกลับเย็นเยียบ นางเคยไปบ้านของกู้หลินหลางในความฝัน แม้จะไม่ถึงกับร่ำรวย แต่ก็ไม่ได้ขัดสน เขาพูดเช่นนี้ มิใช่เพราะรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ หรอก เป็เพราะรังเกียจอาหารหยาบๆ พวกนี้ต่างหาก
แต่เขาไม่ชอบก็ดีแล้ว จะได้ช่วยประหยัดเสบียงในบ้านไป
อันซิ่วเอ๋อร์คิดพลางยื่นมือไปเก็บถ้วยชามที่วางอยู่ตรงหน้ากู้หลินหลาง ทว่ามือของนางกลับถูกกู้หลินหลางคว้าหมับไว้ "เ้าตามข้ามานี่"
เขาลุกขึ้นยืน แล้วลากนางตรงไปยังป่าไผ่ข้างๆ โดยไม่รอให้นางตอบตกลง
พอมาถึงทางเดินเล็กๆ ในป่าไผ่ที่ไร้ผู้คน เขาก็หยุดฝีเท้า อันซิ่วเอ๋อร์รีบสะบัดมือเขาออก กล่าวอย่างไม่พอใจ "ท่าทางเมื่อครู่ของท่านอาจารย์กู้ ช่างเสียมารยาทเหลือเกินนะเ้าคะ"
"เพราะรักสุดหัวใจ จึงมิอาจคำนึงถึงมารยาทได้" กู้หลินหลางกล่าว พอเห็นอันซิ่วเอ๋อร์ยังคงมีสีหน้าขุ่นเคือง ก็ยื่นมือมาหมายจะจับมือนางอีกครั้ง อันซิ่วเอ๋อร์รีบถอยหลังไปสองก้าว แววตาของเขาฉายแววเ็ป กล่าวอย่างตัดพ้อ "ซิ่วเอ๋อร์ เ้ายังโกรธข้าอยู่หรือ?"
"ท่านอาจารย์กู้กล่าวอะไรเช่นนั้น ข้าจะกล้าโกรธท่านอาจารย์ได้อย่างไรกัน อีกอย่าง ท่านอาจารย์ได้ทำสิ่งใดให้ข้าต้องโกรธเคืองด้วยหรือเ้าคะ?"
อันซิ่วเอ๋อร์เห็นท่าทีเช่นนี้ของกู้หลินหลาง ก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น เมื่อก่อนนางเคยชื่นชอบชายผู้นี้มากเพียงใด แต่หลังจากผ่านความฝันนั้นมา ทุกครั้งที่นึกถึงเขา ในใจก็พลันขมขื่นและอึดอัดจนแทบหายใจไม่ออก
