--- ลลิน Talk ---
ในขณะที่เราทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างตกอยู่ในภวังค์รูปโฉมความงามของอีกฝ่าย โดยเฉพาะฉันที่ตอนนี้ได้หลงใหลในใบหน้าคมเข้มแบบสไตล์ลูกรักพระเ้าของเขาที่กำลังส่งผลต่อหัวใจดวงน้อย ๆ ของฉันให้สั่นไหวอยู่นั้นก็ยังเป็จังหวะเดียวกันกับที่ฉันรับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตจากร่างอันกำยำของคนตรงหน้าที่แผ่ซ่านจนทำให้อดรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้ ดังนั้นเพื่อความอยู่รอด...ฉันจึงต้องรีบดึงสติของตัวเองให้กลับมาโดยไว ก่อนที่ตัวเองจะโดนทั้งความหล่อและความร้ายของเขาแผดเผาจนไม่เหลือชิ้นดี
(สติ...สติ...ยัยลิน...ฮึบ) ฉันที่พยายามเรียกสติที่กำลังกระเจิดกระเจิงไปไกลให้กลับมา ก่อนจะเริ่มเปิดปากถามคนตรงหน้าออกไปอีกครั้งถึงเหตุผลที่เขาให้ลูกน้องจับฉันมาในครั้งนี้
“นะ...นายจับฉันมาทำไม” ฉันกลั้นใจถามออกไปแม้ว่าในใจจะรู้สึกกลัวอยู่มากก็ตาม แต่เนื่องจากเพราะว่าฉันเองก็อยากจะรู้ถึงเหตุผลจริง ๆ ที่ตัวเองถูกจับมาแบบนี้ถึงยอมที่จะเสี่ยงถามออกไปทั้งที่กลัว
และทันทีที่สิ้นประโยคคำถามของฉัน ใบหน้าเคลิบเคลิ้มของเขาที่เพิ่งหลุดออกจากภวังค์ความหลงใหลที่มีต่อฉันนั้น เพียงชั่วพริบตาเดียวที่ฉันพอจะทันได้สังเกตเห็นถึงสายตาที่มองฉันด้วยความพึงพอใจในตอนแรกก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็สายตาดูถูก เย้ยหยัน คล้ายกับไม่อยากจะเชื่อว่าทั้งคำถามและสีหน้าที่บ่งบอกว่าฉันกำลังสับสนและไม่เข้าใจอยู่นั้น อาจจะเป็เพราะฉันกำลังแสดงละครแกล้งไขสือทำเป็ไม่รู้เื่รู้ราวกับสิ่งที่ก่อเอาไว้อยู่อีกทั้งคงกำลังทำตัวเหมือนไอ้พวกลูกหนี้ที่คิดจะเบี้ยวหนี้ไม่จ่ายเสียมากกว่า
(ไอ้บ้านี่...ถามก็ไม่ตอบแถมยังมาทำหน้าทำตาดูถูกคนอื่นเขาไปทั่วอีก) ฉันบ่นอุบในใจหลังจากได้เห็นแววตาดูถูกเหยียดหยามอย่างไม่ปิดบังคู่นั้นของเขา
และในขณะที่ความรู้สึกของฉันกำลังรู้สึกหมั่นไส้ต่ออากัปกิริยาท่าทางที่แสดงการดูถูกคนอย่างชัดเจนของเขาอยู่นั้น ฉันที่เริ่มทนกับพฤติกรรมของเขาไม่ไหวก็ได้เผลอโพล่งปากถามออกไปอีกครั้งอย่างคน้าความกระจ่างถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองในตอนนี้
“เอ๊ะ!!...นี่นาย...!! ฉันถามไม่ได้ยินหรือไงกัน พวกนายจับฉันมาทำไม ฉันไปทำอะไรให้พวกนายกัน...ห๊ะ” ฉันที่เหลืออดร่ายยาวใส่เขาอย่างลืมตัว ก่อนจะรีบเม้มปากเน้นเกร็งหน้ารับแรงกระแทกที่อาจส่งมากระทบใบหน้า หลังเพิ่งคิดได้ว่าไอ้นักเลงพวกนี้มันอาจจะไม่ปรานีแม้กระทั่งผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้ก็ได้
‘หึ๊ยยยยย...ทำเป็ใจกล้าว่าเขาไปแบบนั้นจะโดนฆ่าหมกป่าไหมเนี้ยยัยลินเอ๊ย...’
ฉันบ่นพึมพำให้กับการกระทำอันวู่วามของตัวเองในใจ ก่อนเสียงที่ดูเหมือนจะไม่พอใจของคนที่ฉันเพิ่งขึ้นเสียงใส่ จะเอ่ยตวาดกลับมาจนฉันสะดุ้งเฮือกหลุบตาหลบต่ำแทบไม่ทัน
“...มึงจะโวยวายทำไม เป็หนี้ก็ต้องใช้ดิวะ...!!”
ร่างบางสะดุ้งเฮือกหลังจากได้ยินเสียงตะคอกของเขา พร้อมกับหลับตาปี๋ด้วยกลัวว่าคนตรงหน้าจะลุกตรงเข้ามาแล้วทำร้ายร่างกายฉัน...
แต่ทว่า...ในวินาทีเดียวกันนั้นเอง สิ่งที่เขาคำรามออกมาใส่หน้าฉัน กลับทำให้ฉันเกิดคำถามขึ้นมาในใจมากกว่าความกลัว...คำถามที่ว่า...ฉันเป็หนี้ แล้วฉันเป็หนี้อะไร...ใช้หนี้...แล้วใช้หนี้ให้ใคร...?? ทุกอย่างที่ผุดขึ้นมาในสมองของฉันทำให้รู้สึกมึนงงหมด อีกทั้งยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด จนต้องสลัดความกลัวแล้วเงยหน้าขึ้นถามเขาอย่าง้าคำตอบ
“เอ๊ะ...เดี๋ยวนะ...ฉันเป็หนี้อะไร แล้วฉันไปเป็หนี้นายตอนไหนไม่ทราบ??” ฉันโพล่งออกไปทันทีอย่างอัตโนมัติหลังสมองทบทวนถึงความจริงที่ตัวเองมั่นใจว่าไม่ได้มีพันธะอะไรกับคนตรงหน้าอย่างที่เขากล่าวหาแน่นอน พร้อมกับแสดงสีหน้าสงสัยอย่างไม่เข้าใจถึงข้อหาที่เขากำลังยัดเยียดให้กับฉัน และอีกอย่างไม่ว่าจะคิดยังไงฉันเองก็คิดไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าฉันไปเป็หนี้ผู้ชายคนนี้ตอนไหน แต่ที่แน่ ๆ ที่พอจะนึกออกได้ในตอนนี้ก็คือ...เื่นี้มันจะต้องเป็เื่ที่เข้าใจผิดกันอย่างแน่นอน
และทันทีที่ฉันพูดจบ ใบหน้าหล่อเหลาก็ได้ยกกระตุกแสยะยิ้มร้าย ก่อนที่เอกสารเ้าปัญหาที่อยู่ในมือเขาจะถูกสะบัดไปมาอยู่ตรงหน้าของฉัน
“เอาไปดูซะ...แล้วตอบกูมาว่านี่ใช่ลายเซ็นของมึงหรือเปล่า...เห้อออ...แล้วไอ้พวกลูกหนี้นี่มันเป็เชี้ยอะไรกันหนักหนาวะ แสดงละครเก่งชะมัด...มันน่าไปเป็นักแสดงมากกว่าไปทำธุรกิจกันจริง ๆ” เสียงทุ้มกังวานเอ่ยเย้ยหยันออกมาจากปากของคนที่มีใบหน้าหล่อเหลาราวกับเทพบุตร แต่ทว่า...คำพูดและมารยาทกลับตรงข้ามกับใบหน้าอย่างสิ้นเชิง
จากนั้น...ฉันก็ทำใจกล้ายื่นมืออันสั่นเทาของตัวเองออกไปหยิบเอกสารจากมือของเขามาดู ก่อนจะเพ่งตามองไปยังข้อความบนหน้ากระดาษแผ่นนั้น แล้วตั้งสติไล่อ่านไปทีละบรรทัด...ทีละบรรทัดอย่างตั้งใจ จนกระทั่ง...เมื่อสายตากวาดไปทั่วทุกตัวอักษรแล้ว ข้อความเ่าั้ก็ได้ทำให้ฉันถึงกับเบิกตากว้างขึ้นมาทันที
“100 ล้าน หนี้ 100 ล้าน นะ...นี่มันอะไรกัน” (O_o) ปากที่พูดออกไปไม่เต็มคำน้ำเสียงละล่ำละลักด้วยความงุนงง ให้กับข้อความที่บ่งบอกว่าฉันเป็หนี้หนึ่งร้อยล้าน
และไม่ใช่แค่ฉันที่ออกอาการตื่นตระหนกสับสนกับสิ่งที่เพิ่งได้รับรู้เท่านั้น แต่ทว่า...กลับมีสิ่งที่น่าแปลกใจมากกว่านั้น นั่นก็คือ...ทันทีที่ฉันโพล่งปากพูดถึงยอดหนี้ที่ฉันไม่ได้เป็คนก่อออกไป อาการลุกลี้ลุกลนของลูกน้องที่ยืนอยู่ข้างกายเขาที่เขาเรียกชื่อว่า...ริก...ก็ดูท่าทางจะตื่นตระหนกปนแปลกใจกับสิ่งที่ฉันเพิ่งโพล่งออกไปไม่ต่างกัน
แต่ว่า...ประเด็นของอากัปกิริยาของลูกน้องเขานั้น ณ ตอนนี้มันไม่ได้สำคัญฉัน เท่ากับฉันไปเป็หนี้เขาตอนไหน ั้แ่เมื่อไรกัน และที่สำคัญฉันจำได้ว่าฉันไม่เคยไปเซ็นค้ำประกันให้ใครที่ไหนทั้งนั้น แล้วยิ่งเป็เงินตั้ง 100 ล้านด้วยซ้ำ ไอ้ลำพังแค่พนักงานบริษัทเอกชนที่แม้ว่าจะทำงานอยู่ในบริษัทชั้นนำระดับประเทศก็ตาม แต่ด้วยตำแหน่งพนักงานรายเดือนที่ไม่ได้เป็หัวหน้าเหมือนกับคนอื่นเขา ฉันจะเอาปัญญาที่ไหนไปค้ำประกันให้คนอื่นได้ตั้ง 100 ล้าน...ฉันยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เห็นถึงความสมเหตุสมผลเอาเสียเลย
แต่ดูท่าคำพูดและอาการใของฉันคงจะไม่เข้าหูเข้าตาเขาสักนิด เพราะนอกจากเขาจะทำหน้าไม่ยี่หระให้กับทีท่าของฉันแล้ว เขายังตะคอกใส่หน้าฉันอย่าง้าคำตอบเกี่ยวกับเื่ที่เขาเพิ่งถามก่อนหน้านี้
“ว่าไง...กูถามว่าใช่ลายเซ็นมึงไหม...ตอบ!!”
เสียงตะคอกดังกร้าวจนฉันสะดุ้งหลุดออกมาจากภวังค์ความคิดของตัวเอง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้