ไท่จื่อน้อยตะลึงงัน เซวียนหยวนเช่อเองก็ตะลึงงันเช่นกัน
เฟิ่งเฉี่ยนพูดต่อ “เสด็จพ่อของเ้าปฏิบัติต่อเ้าอย่างเข้มงวดกวดขัน ตำหนิเ้า แต่ที่สุดแล้วก็เพราะปรารถนาให้เ้าร่ำเรียนศึกษาให้มาก จะได้มีความสามารถในการปกป้องดูแลตัวเองในเร็ววัน!”
ดวงตาของไท่จื่อน้อยวาววับ เขารับฟังแล้วจริงๆ
“ช้าเร็วเสด็จพ่อและเสด็จแม่ย่อมต้องแก่ชรา ถึงเวลานั้นต้องเปลี่ยนเป็เ้าที่มาปกป้องดูแลพวกเรา เ้ามีความมั่นใจว่าจะปกป้องพวกเราในวันหน้าหรือไม่”
ไท่จื่อน้อยพยักหน้าแรงๆ มือเล็กๆ กำเป็หมัดแน่น “เย่เอ๋อร์จะต้องปกป้องพวกท่านแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”
เฟิ่งเฉี่ยนยิ้มสะทกสะท้อนใจ และพูดอีกว่า “เ้าไม่เพียงแต่เป็โอรสของพวกเรา เ้ายังเป็ไท่จื่อ นอกจากปกป้องพวกเราแล้ว เ้ายังต้องปกป้องราษฎรของเ้า เ้าทำได้หรือไม่”
ั์ตาดำขลับนั้นทอประกายวับวาว ไท่จื่อน้อยพยักหน้าแรงๆ “ทำได้พ่ะย่ะค่ะ!”
ดวงตาของเซวียนหยวนเช่อเปล่งประกาย คิดไม่ถึงว่านางจะมีวิธีการอบรมสั่งสอนลูกเช่นนี้
เฟิ่งเฉี่ยนลูบศีรษะเล็กๆ ของเขาด้วยความเอ็นดูอย่างที่สุด “ดี เช่นนั้นตอนนี้เ้าเข้าไปหาเสด็จพ่อของเ้า บอกกับเขาว่าวันนี้เกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่”
ไท่จื่อน้อยกัดริมฝีปากสีชมพูอ่อน ลังเลใจอยู่ชั่วครู่ แล้วเป็ฝ่ายปีนลงจากเก้าอี้ด้วยตนเอง จากนั้นก้าวเข้าไปหาเซวียนหยวนเช่อ
เซวียนหยวนเช่อมองเขานิ่งๆ ทว่าในแววตายังคงปรากฏให้เห็นความอ่อนโยน เขาไม่พูดจา เขารอให้บุตรชายเป็ฝ่ายพูดก่อน
ร่างเล็กๆ นั้นคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเขา ใบหน้าเล็กๆ สีชมพูเต็มไปด้วยความเอาจริงเอาจังอย่างที่สุด
“เสด็จพ่อ ลูกสำนึกผิดแล้ว! ลูกไม่ควรหนีปัญหา!”
เซวียนหยวนเช่อพยักหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่จะทำได้ “อืม เล่ามาว่าวันนี้เกิดเื่อะไรขึ้นกันแน่”
“วันนี้ลูกร่ำเรียนศิลปะการเดินหมากล้อมกับหานไท่ฟู่ แต่ลูกโง่เขลาเกินไป ร่ำเรียนอย่างไรก็เดินหมากไม่เป็ ทุกครั้งที่เดินหมากพลาดหนึ่งก้าว ไท่ฟู่ก็จะตีมือลูกหนึ่งครั้ง มือของลูกถูกตีจนบวม” ไท่จื่อน้อยยื่นมือเล็กๆ ทั้งสองข้างออกมา เห็นเพียงกลางฝ่ามือบวมเป่งไปทั้งแถบ ทั้งยังมีรอยเืให้เห็นเป็ริ้วๆ
เฟิ่งเฉี่ยนเห็นเช่นนั้นจึงรู้สึกปวดใจยิ่งนัก “มิน่าเล่าเมื่อสักครู่เ้าคีบตะเกียบไม่ค่อยถูกต้อง มือเล็กๆ จึงกำเป็หมัดอยู่เสมอ...เหตุใดเ้าจึงไม่บอกเสด็จแม่เล่า นี่มันเจ็บเพียงใดกัน! เสด็จแม่เป่าให้เ้า!”
เฟิ่งเฉี่ยนใช้ปากเป่ามือเล็กๆ ทั้งสองข้าง ชิงชังเหลือเกินที่ไม่อาจรับความเ็ปแทนเขาได้
เซวียนหยวนเช่อหน้าดำทะมึน เขาตบโต๊ะและพูดว่า “หานไท่ฟู่ผู้นี้ ไม่รู้หนักเบาเกินไปแล้ว!”
“ไม่โทษหานไท่ฟู่ เป็ลูกที่โง่เขลาเกินไป ไท่ฟู่พูดชี้แนะมากมาย แต่ลูกไม่กระจ่างแจ้งทั้งสิ้น จึงมักจะทำผิดเสมอ! ต่อมาเมื่อได้ยินไท่ฟู่พูดว่าจะเดินหมากล้อม ลูกจะรู้สึกกลัว ฝ่ามือก็เจ็บ! ไท่ฟู่โมโหบอกว่าลูกแอบเกียจคร้าน ไม่ยอมตั้งใจร่ำเรียนจึงดุด่าตำหนิลูกยกใหญ่ ลูกรู้สึกละอายแก่ใจ ดังนั้นจึงขังตัวเองเอาไว้ไม่อยากพบหน้าใคร” พูดแล้วน้ำตาก็เอ่อคลอดวงตา แต่เขากลับกัดฟันฝืนไม่ยอมให้น้ำตาไหลออกมา
เห็นเช่นนี้เฟิ่งเฉี่ยนยิ่งปวดใจ นางรวบตัวเขาเข้ามาในอ้อมกอด “เย่เอ๋อร์เก่งมาก! นี่ไม่ใช่ความผิดของเ้า เป็เพราะวิธีการสอนของหานไท่ฟู่ที่มีปัญหา!”
นางเงยหน้าขึ้นมองไปทางเซวียนหยวนเช่อ “ดูเถิด ข้าบอกแล้วว่าท่านจะต้องเข้าใจเย่เอ๋อร์ผิด! ลูกของข้าเฟิ่งเฉี่ยน จะเป็บุรุษอ่อนแอได้อย่างไร”
เซวียนหยวนเช่อเงียบขรึมเมื่อใช้ความคิด ผ่านไปครู่หนึ่ง เขากวักมือให้ไท่จื่อน้อย “มานี่!”
เฟิ่งเฉี่ยนปล่อยตัวไท่จื่อน้อย ให้เขาเดินไปหาเซวียนหยวนเช่อ
เซวียนหยวนเช่อจับมือเล็กๆ ของเขา แล้วกุมไว้เบาๆ “เด็กดี เป็เสด็จพ่อที่เข้าใจเ้าผิด พรุ่งนี้เสด็จพ่อจะปลดหานไท่ฟู่ออก แล้วเปลี่ยนไท่ฟู่อีกคนให้เ้า!”
ไท่จื่อน้อยกลับส่ายหน้า “เสด็จพ่อ อย่าปลดหานไท่ฟู่พ่ะย่ะค่ะ!”
“เพราะเหตุใด” เซวียนหยวนเช่อไม่เข้าใจ
ไท่จื่อน้อยตอบด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง “ก็เหมือนที่อาจารย์ของเสด็จแม่ปฏิบัติต่อเสด็จแม่ อาจารย์ย่อมเข้มงวดต่อศิษย์ แสดงให้เห็นว่าอาจารย์ปรารถนาให้ศิษย์มีความสามารถ หานไท่ฟู่เข้มงวดกับเย่เอ๋อร์เช่นนั้น จะต้องเป็เพราะปรารถนาให้เย่เอ๋อร์ร่ำเรียนสำเร็จมีวิชาความรู้ความสามารถ ดังนั้นเย่เอ๋อร์หวังว่าเสด็จพ่อจะไม่ปลดหานไท่ฟู่ออก เย่เอ๋อร์จะตั้งใจศึกษาคำชี้แนะเ่าั้ของหานไท่ฟู่ ไม่ให้หานไท่ฟู่ต้องผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ”
กระบอกตาของเฟิ่งเฉี่ยนแสบร้อน น้ำตาไหลพรากลงมาไม่หยุดราวกับไข่มุกเป็สาย
บนโลกใบนี้ไฉนจึงมีเด็กน้อยที่รู้ความเช่นนี้นะ
แล้วจะให้นางตัดใจจากเขาได้อย่างไร
เซวียนหยวนเช่อได้ยินแล้วหัวใจพลันสั่นสะท้าน เขารู้สึกมาโดยตลอดว่าไท่จื่อยังเล็ก ไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น แต่เขาพบว่า เขาคิดผิด ไท่จื่อไม่เพียงแต่รู้ความ บางครั้งการมองเื่ราวของเขายังทะลุปรุโปร่งกว่าผู้ใหญ่เช่นพวกเขาเสียอีก
เขาได้เรียนรู้จากตัวบุตรชายไม่น้อย
เขาลูบศีรษะเล็กๆ ของไท่จื่อน้อย เสียงที่พูดนั้นแหบพร่าเล็กน้อย “ได้ เสด็จพ่อฟังเ้า”
จะกละตัวน้อยก็ยังคงเป็จะกละตัวน้อยอยู่นั่นเอง หนุ่มน้อยกลับมาโต๊ะอาหารอย่างรวดเร็ว ก้มหน้าก้มตากินอาหารอย่างจริงจัง
เฟิ่งเฉี่ยนมองจากไกลๆ รู้สึกประสบความสำเร็จยิ่งยวด
เสียงทุ้มต่ำของเซวียนหยวนเช่อดังขึ้นข้างหูกะทันหัน “เ้าเป็ฝ่ายถูก! อบรมสั่งสอนลูก ไม่ควรเข้มงวดเพียงอย่างเดียว และไม่ควรมีเพียงความรักและเมตตาเช่นกัน”
เฟิ่งเฉี่ยนมองเขาอย่างตะลึงงันราวกับเห็นผีก็ไม่ปาน “ท่านถึงกับเห็นด้วยกับความคิดของข้า ข้าไม่ได้ฟังผิดกระมัง”
“อย่ารีบยกหางตัวเองนัก!” เซวียนหยวนเช่อแค่นหัวเราะเสียงเย็น “เ้าทำหมูสามชั้นในน้ำซอสให้เย่เอ๋อร์สิบจาน คิดจะเลี้ยงให้เขากลายเป็สุกรตัวหนึ่งหรือ”
“อุ๊ย...” เฟิ่งเฉี่ยนเกาศีรษะอย่างขัดเขิน “แหะๆ คันไม้คันมือจึงควบคุมไม่อยู่ ไม่ทันระวังทำมากไป อย่างนี้ท่านมากินด้วยกันสักหน่อยไหม”
คิดว่าเขาจะปฏิเสธ ใครเลยจะรู้ว่าเขาลุกขึ้นไปนั่งร่วมโต๊ะอย่างสบายใจ
เฟิ่งเฉี่ยนกระพริบตาปริบๆ สงสัยว่าเขารอให้นางเอ่ยคำพูดประโยคนี้ตลอดเวลาใช่หรือไม่
ปฏิกิริยาตอบสนองจะรวดเร็วเกินไปแล้วกระมัง
เห็นเขากินเข้าไปหนึ่งชิ้น เคี้ยวอยู่ในปากด้วยกิริยางามสง่า เฟิ่งเฉี่ยนพลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา นางมองเขาอย่างรอคอย และถามว่า “รสชาติเป็อย่างไรบ้าง”
เมื่ออยู่ในหุบเขาไป่ฮวา เขาเคยลิ้มลองรสชาติการทำอาหารของนาง แต่เขาไม่ได้ให้ความคิดเห็นอันใด แม้จะมีศิษย์พี่เซียนพิษให้การยอมรับฝีมือการทำอาหารของนาง แต่นางกลับใส่ใจคำวิพากษ์วิจารณ์ของเขาอย่างหาสาเหตุไม่ได้
เคี้ยวอยู่เนิ่นนาน เขาจึงเอ่ยปากขึ้นช้าๆ ด้วยประโยคเรียบๆ “พอได้”
เฟิ่งเฉี่ยนกลอกตามองบน นางหยิบตะเกียบขึ้น เปลี่ยนความโกรธเป็ความอยากอาหาร จัดการหมูสามชั้น!
ทั้งๆ ที่อร่อยมาก แต่กลับพูดเพียง “พอได้” เขาใจคอคับแคบเกินไปแล้ว!
สามคนกินข้าวล้อมโต๊ะพร้อมหน้าพร้อมตาครอบครัว กินอย่างเอร็ดอร่อย องครักษ์ นางกำนัลและขันทีที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กลืนน้ำลายไม่หยุด แทบจะทำให้พวกเขาได้รับความทุกข์ทรมานอย่างที่สุด!
กินอิ่มดื่มหนำ ไท่จื่อน้อยเต็มไปด้วยพละกำลัง เขาพูดอย่างมีความสุข “เสด็จแม่ ท่านเดินหมากเป็เพื่อนกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”
เฟิ่งเฉี่ยนผายมืออย่างเสียดาย “เสด็จแม่เดินหมากไม่เป็น่ะสิ!”
หมากรุกและหมากรุกสากลนั้นนางพอได้ สำหรับหมากล้อมนั้นนางไม่เคยเล่นมาก่อนจริงๆ!
ไท่จื่อน้อยผิดหวังเล็กน้อย
เฟิ่งเฉี่ยนให้กำลังใจเขา “เสด็จแม่เดินหมากไม่เป็ เสด็จพ่อเ้าเดินหมากเป็นี่นา!”
ใช่แล้ว ยังมีเสด็จพ่อ!
ใบหน้าเล็กๆ นั้นเงยหน้าขึ้นมองเสด็จพ่ออย่างมีความหวัง ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก แววตาของเขาก็ทำให้เซวียนหยวนเช่อยอมจำนน
“ได้ เสด็จพ่อเดินหมากเป็เพื่อนเ้า”
“ทรงพระเจริญ!” ไท่จื่อน้อยดีใจอย่างยิ่ง
ฉวยโอกาสที่สองพ่อลูกกำลังเดินหมาก เฟิ่งเฉี่ยนมาถึงมุมห้องเริ่มจับฉลาก
ยามนี้พิษของมู่ไท่ฟู่ได้ถูกถอนไปแล้ว นางเองไม่้ายาสมุนไพรร้อยชนิดอีก ตอนนี้สิ่งที่นาง้ามากที่สุดก็คือเงิน หากสามารถจับฉลากเป็เงินกองเท่าูเาได้จะดีเพียงใดกัน
ติ๊ง จับรางวัล 《ทักษะการเดินหมากล้อม 》หนึ่งเล่ม!
“ให้ตายเถอะ”
นี่มันเื่บ้าอะไรกัน การเดินหมากสามารถนำมากินแทนข้าวได้หรือ นี่มันใช้ไม่ได้เกินไปแล้ว!