ลู่จื่อยู่มองการเคลื่อนไหวที่ดูช่ำชองของหลินกู๋หยู่ ราวกับว่านางทำเช่นนี้มานานแล้ว
เขาวางมือบนหน้าผากของฉือหาง จากนั้นจับแขนและวางนิ้วลงบนจุดชีพจร
"เขามีไข้!" หลังจากที่ลู่จื่อยู่จับชีพจร เขาก็วางมือของฉือหางไว้ที่เดิม มองไปที่หลินกู๋หยู่ที่อยู่ข้างๆ เขา
ผ้าขนหนูในมือแห้งแล้ว หลินกู๋หยู่เดินไปที่อ่างไม้ ล้างมันก่อนจะย้อมด้วยสุราอีกครั้ง แล้วเดินไปที่ข้างเตียง นางทำเหมือนเดิมพลางเอ่ยอย่างใจเย็น "ใช่ เพราะ..."
เนื่องจากเป็ลมพิษ
ถ้านางพูดชื่อโรคนี้ออกไป ลู่จื่อยู่ต้องไม่เข้าใจแน่นอน เด็กสาวหยุดชะงัก ก่อนจะพูดว่า "เป็ไข้ที่เกิดจากาแ"
หลินกู๋หยู่แค่เช็ดตัวอีกครั้ง เงยหน้าขึ้นมองลู่จื่อยู่และพูดช้าๆ "ท่านหมอ โรคของสามีของข้า มีวิธีรักษาหรือไม่?"
เมื่อมีคนช่วยคิดหาวิธีเพิ่มอีกหนึ่งคน ความเป็ไปได้ที่ฉือหางจะดีขึ้นก็จะมากขึ้นอีก และเวลาพักฟื้นก็จะสั้นลงเช่นกัน
สามีงั้นหรือ?
ลู่จื่อยู่มองไปที่หลินกู๋หยู่ด้วยใบหน้าสงบ จากนั้นจับจ้องไปที่ใบหน้าซีดเซียวของบุรุษบนเตียง "มีวิธีรักษา แต่มันลำบากมาก"
หลินกู๋หยู่มองลู่จื่อยู่ด้วยความดีใจ โยนผ้าขนหนูในมือลงในอ่าง ลุกขึ้นและเดินไปหาลู่จื่อยู่
พวกเขาสองคนยืนห่างกันเพียงหนึ่งก้าวเท้าเท่านั้น
ด้วยเหตุผลบางอย่าง จู่ๆ หลินกู๋หยู่ก็มองเห็นใบหน้าของลู่จื่อยู่ไม่ชัดเจน นางกะพริบตาอย่างแรง
ใบหน้าของลู่จื่อยู่ค่อยๆ กลับมาชัดดังเดิม หลินกู๋หยู่พูดอย่างมีความสุข "ท่านคิดว่าจะรักษาอย่างไรหรือ?"
เมื่อหลินกู๋หยู่เข้ามาใกล้ ลู่จื่อยู่ก็ก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร ด้วยความเร่งรีบทำให้เอวของเขาชนเข้ากับโต๊ะ
"ฝังเข็ม" ลู่จื่อยู่พูดพลาง หันไปหยิบเข็มเงินออกมา
หลินกู๋หยู่เฝ้าดูลู่จื่อยู่เดินไปที่เตียงและรีบหาที่ว่างเพื่อยืนข้างลู่จื่อยู่อย่างประหม่า
ลู่จื่อยู่ฝังเข็มเงินบนร่างของฉือหางจำนวนไม่ถ้วน ทุกครั้งที่ฝังเข็มเงินลงไป นางจะรู้สึกตื่นเต้นมาก
หลังจากการฝังเข็มเงินเสร็จสิ้น ลู่จื่อยู่ก็ค่อยๆ ดึงเข็มเงินออกมา
หลินกู๋หยู่เฝ้าดูลู่จื่อยู่ถอนเข็มอย่างสง่างาม แล้วเดินไปหา
“หลังจากกินยาที่เ้าซื้อมา อาการป่วยของเขาจะหายดี จำตำแหน่งที่ข้าฝังเข็มเมื่อหลายอึดใจก่อน ฝังเข็มทุกๆ สองวันก็เพียงพอแล้ว” ลู่จื่อยู่มองฉือหางอย่างใจเย็น “ถ้าเขาไม่ได้พบเ้า อีกไม่นานเขาคงไม่เหลือแม้กระทั่งชีวิต"
หลินกู๋หยู่ยืนอยู่ข้างเตียงเงียบๆ มองดูฉือหางที่ถึงแม้กำลังหลับอยู่ แต่หว่างคิ้วของเขาก็ยังคงขมวดแน่น นางรู้สึกเป็ทุกข์อย่างไม่สามารถอธิบายเป็คำพูดได้
ฉือเย่ยืนอยู่ข้างๆ เฝ้ามองคนทั้งสองจนกระทั่งในที่สุดเขาก็ได้ยินสิ่งที่ลู่จื่อยู่พูด เขาถึงได้รู้ว่าเป็พี่สะใภ้สามช่วยชีวิตพี่สาม
หลินกู๋หยู่ไปส่งลู่จื่อยู่ที่ประตู "ท่านหมอ วันนี้ข้าขอบคุณท่านจริงๆ"
"แค่เื่เล็กน้อยเท่านั้น" ลู่จื่อยู่คิดถึงชายบนเตียงที่คิดจะมอบหนังสือหย่าให้กับหลินกู๋หยู่ ร่องรอยของความโกรธก็ปรากฏในดวงตาของเขาวับหนึ่ง
บุรุษนี้ช่างไร้มนุษยธรรม คิดไม่ถึงว่าจะหย่าภรรยาที่ดีเช่นนี้ โง่มากจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเห็นหลินกู๋หยู่เป็กังวลในเวลานั้น เขาจะไม่ช่วยรักษาให้เป็แน่
"แต่กระนั้นข้าก็ยังต้องขอบคุณท่านหมออยู่ดี" หลินกู๋หยู่ยิ้มอย่างเขินอาย "ถ้าท่านไม่รังเกียจที่ข้าจะทำอาหารช้าหน่อย ท่านอยู่ทานอาหารก่อนออกเดินทางเถอะ..."
"ก็ได้"
สำหรับคำตอบยืนยันของลู่จื่อยู่ หลินกู๋หยู่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
ในบ้านนี้ นอกจากนางก็ไม่มีใครอื่นทำอาหารแล้ว นับประสาอะไรที่ตอนนี้นางยังไม่ได้เริ่มทำอาหาร
ที่บ้านไม่มีอะไรอื่นนอกจากข้าวสาร หลินกู๋หยู่บอกลู่จื่อยู่ให้นั่งรอบนเก้าอี้ จากนั้นนางก็ดึงฉือเย่ไปด้านข้าง
ฉือเย่ยืนอยู่ด้านหนึ่งอย่างไม่สบายใจ เขาไม่ชอบให้คนอื่นแตะต้องตัวเขา
“น้องสี่” หลินกู๋หยู่ขมวดคิ้วและพูดอย่างกังวลใจ “ท่านหมอช่วยชีวิตพี่สามของเ้าไว้โดยไม่รับค่ารักษา ข้าอยากจะให้เขาอยู่ทานอาหารเย็นที่บ้านเรา เ้าช่วยไปซื้อเนื้อหมูให้ข้า เอาส่วนเนื้อไม่ติดมัน"
"พี่สาม" ฉือเย่พูดด้วยเสียงเบา "เนื้อติดมันอร่อยกว่า"
"ข้า้าเนื้อไม่ติดมัน" หลินกู๋หยู่หยิบถุงเงินที่เอวออกมาทันที ก่อนหยิบเหรียญยี่สิบอีแปะออกมาวางไว้ในมือของฉือเย่ "เ้าซื้อหนึ่งจินกว่าๆ กลับมาก็ดี"
หลินกู๋หยู่จำได้ว่าเนื้อติดมันราคาสิบห้าอีแปะต่อหนึ่งจิน ส่วนเนื้อไม่ติดมันราคาสิบสามอีแปะต่อหนึ่งจิน
นางไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนเ่าั้ถึงชอบกินเนื้อติดมัน แต่กลับไม่ชอบเนื้อไม่ติดมัน นางไม่เคยกินเนื้อติดมันมาก่อน
ฉือเย่คิดกับตัวเองว่า บางทีพี่สะใภ้สามอาจคิดว่าเนื้อไม่ติดมันราคาถูกกว่า ก็ใช่ ตอนนั้นท่านแม่ให้เงินกับพี่สะใภ้สามแค่เล็กน้อย คิดว่าพี่สะใภ้สามมีเงินไม่มากแล้ว
เมื่อฉือเย่ออกไป หลินกู๋หยู่รีบเดินไปที่เตาและเริ่มงานครัว
หลินกู๋หยู่ง่วนอยู่กับการทำอาหาร ลู่จื่อยู่ชำเลืองมองนางอยู่หลายครั้ง จากนั้นดวงตาของเขาก็จับจ้องไปที่เ้าซาลาเปาซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก
ดวงตากลมโตราวกับลูกองุ่นสีดำของโต้ซาทอดมองรอบๆ ใบหน้าของลู่จื่อยู่
ลู่จื่อยู่เอียงศีรษะพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย สตรีนางนั้นยังดูเด็กอยู่เลย นางมีลูกเร็วขนาดนี้เลยหรือ?
ความรู้สึกของเด็กนั้นไวมาก เมื่อลู่จื่อยู่มองเขาแบบนี้ ตาของเขาก็จ้องตรงไปที่ลู่จื่อยู่ แขนและขาเล็กๆ ของเขาไหลลงจากเก้าอี้และก้นตกลงกับพื้น
ดวงตาของโต้ซาคอยมองไปที่ลู่จื่อยู่อย่างไม่ละสายตา เขาพยุงเก้าอี้และลุกขึ้นยืนอย่างเงียบๆ ก่อนจะวิ่งไปหาหลินกู๋หยู่ด้วยความว่องไว มือทั้งสองกอดต้นขาของหลินกู๋หยู่
หลังจากต้มน้ำ หลินกู๋หยู่กำลังจะเติมเกลือลงไป แต่ทันใดนั้นเองก็เหมือนมีบางอย่างกระแทกกับร่างกายของนางจนเกือบจะเสียหลัก
หลังจากเติมเกลือแล้ว หลินกู๋หยู่ก็ลดสายตาลงมองไปที่โต้ซาที่อยู่ข้างๆ ด้วยรอยยิ้ม พูดเกลี้ยกล่อม "โต้ซาเด็กดี ไปรอตรงนั้น"
"ท่านแม่"
เสียงอ่อนนุ่มของเด็ก นางได้ยินแล้วใจเป็ต้องอ่อนยวบ เอื้อมมือไปแตะศีรษะของโต้ซา "เ้าหิวหรือ?"
แม้ว่าเด็กจะไม่สามารถพูดประโยคยาวๆ ได้ แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก็เข้าใจสิ่งที่ผู้ใหญ่พูดได้
"หิว" ด้วยเสียงเด็ก ใบหน้าของโต้ซาถูที่ต้นขาของหลินกู๋หยู่เบาๆ
“อีกประเดี๋ยวข้าวก็จะพร้อมแล้ว” หลินกู๋หยู่กล่าว อยากจะเกลี้ยกล่อมโต้ซาให้ไปนั่งบนตั่ง แต่ไม่รู้ว่าทำไมโต้ซาซึ่งเดิมเป็เด็กดีเชื่อฟังจะเกาะติดนางมากในตอนนี้
ทุกย่างก้าวที่หลินกู๋หยู่เดินไป นางลากโต้ซาไปด้วย
หม้อใบใหญ่ถูกใช้ต้มบะหมี่ หลินกู๋หยู่เพิ่มฟืนด้านล่างเตาเล็กน้อย ว่าจะทำกับข้าวอื่นๆ ก่อน เสร็จแล้วบะหมี่ก็สุกพอดี
หม้อใบเล็กข้างๆ หลินกู๋หยู่ใช้ทำผัดผัก
ในลานบ้านปลูกถั่วฝักยาว หลินกู๋หยู่คิดจะผัดถั่วฝักยาวและผัดหมูเส้นกับพริกหยวก อาหารสองอย่าง ผักหนึ่งจาน เนื้อหนึ่งจานย่อมเพียงพอ
เพียงไม่นานฉือเย่ก็ซื้อเนื้อกลับมา
หลังจากฉือเย่ส่งเนื้อให้หลินกู๋หยู่แล้ว เขาหันหลังกำลังจะเดินออกไป
"น้องสี่ เ้าออกไปทำไมหรือ?" หลินกู๋หยู่จับมือของฉือเย่และพูดด้วยรอยยิ้ม "อยู่ทานอาหารเย็นที่นี่เถอะ"
ฉือเย่คิดว่าเงินของพี่สะใภ้สามเหลือไม่มากแล้ว ข้าวสารในบ้านนี้ก็มีเพียงเล็กน้อย ถ้าเขาอยู่ทานอาหารที่นี่ วันข้างหน้าถ้าพี่สะใภ้สามไม่มีอะไรกินแล้วจะทำอย่างไร?
"พี่สะใภ้สาม พวกท่านกินเถอะ ข้าขอกลับก่อนแล้ว ท่านแม่ต้องเรียกข้าแล้วแน่ๆ" หลังจากฉือเย่พูดจบ เขาก็วิ่งพรวดออกไปข้างนอก
หลินกู๋หยู่อยากจะหยุดเขา แต่กระนั้นก็ไม่ทันแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมื่อมีเ้าซาลาเปาก้อนเล็กๆ กำลังกอดขาของนางตลอดเวลาอยู่
หลังจากอาหารพร้อมแล้ว หลินกู๋หยู่ยิ้มและนำบะหมี่ไปที่โต๊ะ นางนำบะหมี่หนึ่งชามไปให้สารถีด้านนอกอีกด้วย ในชามบะหมี่ยังใส่ผักและเนื้อเข้าไปด้วยเล็กน้อย
หลินกู๋หยู่นั่งอยู่ข้างโต๊ะ เอื้อมมือไปอุ้มซาลาเปาก้อนเล็กๆ ที่กอดที่ต้นขาของนาง และพูดด้วยรอยยิ้มว่า "ท่านหมอ อย่าเกรงใจเลย กินได้ตามสบาย"
หลินกู๋หยู่หยิบชามบะหมี่และป้อนโต้ซาก่อน
โต้ซาเชื่อฟังมาก เวลาทานอาหาร เขานั่งนิ่งๆ บนตักของหลินกู๋หยู่ เขากินทุกอย่างที่นางยื่นให้เขา
เมื่อเห็นท่าทีเชื่อฟังของโต้ซา ลู่จื่อยู่ก็พูดเบาๆ ว่า "เด็กคนนี้อายุเท่าไรหรือ?"
“ดูเหมือนว่าจะอายุได้หนึ่งขวบแล้วกระมัง?” หลินกู๋หยู่พูดอย่างไม่แน่ใจ นางได้ยินคนอื่นพูดเช่นนั้น ก่อนที่จะแต่งงานเข้ามาที่นี่
"เด็กอายุหนึ่งขวบสามารถกินข้าวเองได้แล้ว" ลู่จื่อยู่ชำเลืองมองโต้ซา
เดิมทีโต้ซาหรี่ตาลง แต่เมื่อลู่จื่อยู่มองเช่นนั้น เขาก็จับแขนเสื้อของหลินกู๋หยู่ด้วยมือทั้งสอง มองไปที่ลู่จื่อยู่อย่างกล้าๆ กลัวๆ
“จริงหรือ?” หลินกู๋หยู่เดิมเป็เพียงนักศึกษามหาวิทยาลัย ไม่เคยมีความสัมพันธ์แบบแฟนมาก่อน แล้วนับประสาอะไรกับการเลี้ยงเด็ก “วันหลังข้าจะหาคนทำชามเหล็กและช้อนเหล็กเล็กๆ ให้เขากินด้วยตัวเอง"
ขณะที่หลินกู๋หยู่พูด มือของนางก็ลูบศีรษะของโต้ซาอย่างอ่อนโยน
หลังจากป้อนโต้ซากินข้าวเสร็จแล้ว เด็กสาวก็เริ่มกินข้าว
โต้ซาซึ่งปกติเป็เด็กเชื่อฟังและคุยง่าย แต่เวลานี้ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้ตามติดนางนัก แม้แต่เวลาที่นางกำลังกินข้าว เขาก็ต้องนั่งข้างหลินกู๋หยู่
ลู่จื่อยู่ไม่เคยรู้มาก่อนว่าเนื้อไม่ติดมันจะอร่อยขนาดนี้ หลังจากกินเสร็จ เขาคิดว่ากลับไปจะต้องให้คนทำอาหารเช่นนี้ให้กินอีก
ในการส่งลู่จื่อยู่ออกไป หลินกู๋หยู่ได้วางโต้ซาไว้ในห้องและเดินตามลู่จื่อยู่ออกไปโดยสวมหมวกถังไม้ไผ่
"ระวังด้วยๆ" เมื่อเห็นว่าลู่จื่อยู่กำลังจะเข้าไปในรถม้า หลินกู๋หยู่ก็พูดด้วยรอยยิ้ม
ดวงตาสีเข้มของลู่จื่อยู่จับจ้องไปที่หลินกู๋หยู่ ชายคนนั้นไม่้านางอีกต่อไปแล้ว นางยังอยู่ในบ้านหลังนั้นทำไม นางอยากจะถูกลากไปตายหรือ?
อย่างไรก็ตามลู่จื่อยู่ไม่ได้กล่าวออกไป เพียงมองไปที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มสดใสของเด็กสาว พยักหน้าก่อนจะหันหลังกลับเข้าไปในรถม้า
หลังจากส่งลู่จื่อยู่ไปแล้ว หลินกู๋หยู่ก็หันกลับมา ทันใดนั้นเองนางก็เห็นโจวซื่อออกมาจากห้องด้วยใบหน้าที่บึ้งตึง
“ข้าจะบอกเ้าให้ เวลาไม่มีเงิน ไม่มีอาหาร เ้าก็อย่ามาขอพวกเราก็แล้วกัน!” โจวซื่อมองหลินกู๋หยู่ด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่ายที่ไม่รู้จักประหยัด เมื่อเห็นว่าเด็กสาวยังคงสับสนอยู่ นางก็กัดฟันพูด “เ้าไม่รู้จักประหยัดเงินเพื่อใช้ในวันข้างหน้าเสียเลย เงินที่ใช้ซื้อเนื้อสัตว์หนึ่งจิน เ้ารู้หรือไม่ว่าสามารถซื้อข้าวและบะหมี่ได้มากแค่ไหน ถ้าข้ารู้ว่าเ้าเป็คนสุรุ่ยสุร่ายเช่นนี้ ข้าจะไม่ให้เงินเ้าสักแดงเดียว!”
หลินกู๋หยู่ลดศีรษะลง หันหลังกลับและเดินไปที่ประตูหัวมุม
เห็นหลินกู๋หยู่เป็เช่นนี้ โจวซื่อโกรธมาก
ลูกสะใภ้ของนางคนอื่นๆ เข้ามาตอนแรกๆ ก็ทำตัวเชื่อฟัง แต่ละคนปล่อยให้นางจัดการกันทั้งนั้นไม่ใช่หรือ?
โจวซื่อชำนาญงานในไร่นา นางเดินไปที่ด้านข้างของหลินกู๋หยู่อย่างว่องไว พลันคว้าแขนของหลินกู๋หยู่และะโเสียงดัง "ทำไมหรือ ข้าจะพูดถึงเ้าสักคำสองคำไม่ได้หรือไง?"
หลินกู๋หยู่เอียงศีรษะมองโจวซื่อด้วยความรำคาญ นางเม้มริมฝีปากเล็กน้อยอย่างสุดจะทนอยู่หลายส่วน
"อย่าคิดว่าเ้าแยกบ้านแล้วไม่ต้องฟังข้า ข้าจะบอกเ้าให้ คนในสกุลฉือต้องเชื่อฟังข้า ข้าพูดคำไหนต้องคำนั้น!" โจวซื่อชอบที่สุดที่จะทุบตีลูกสะใภ้ของนาง เมื่อนางแก่แล้ว ลูกสะใภ้เหล่านี้ถึงจะปรนนิบัตินางข้างเตียงอย่างเชื่อฟัง
“ท่านแม่ ผู้หญิงที่ยังไม่ออกเรือนจะต้องเชื่อฟังพ่อ แต่หลังจากออกเรือนแล้วจะต้องเชื่อฟังสามี และเมื่อสามีเสียชีวิต จะต้องเชื่อฟังลูกชาย” หลินกู๋หยู่กล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ ราวกับว่ากำลังพูดถึงเื่อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับนางอย่างไรอย่างนั้น “ในเมื่อพวกเราแยกบ้านกันแล้ว ลูกสะใภ้ก็ควรเคารพเชื่อฟังสามีคนเดียวเท่านั้น"
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้