เช้าตรู่ในชิงหลิ่วถังช่างเงียบสงบ หลิ่วเฉิงเฟิงกำลังร่ายรำเพลงกระบี่อยู่ที่ลานบ้าน เสื้อคลุมสีน้ำเงินกระพือพลิ้วตามการเคลื่อนไหวในสายลม คมกระบี่วาดไปทั่วบริเวณ ทำให้เกิดสายลมพัดผ่าน เมื่อเทียบกับทักษะทางพลังิญญา หลิ่วเฉิงเฟิงรู้สึกว่าทักษะกระบี่ของตนดีกว่าเล็กน้อย
คมกระบี่อันบางเบาและว่องไวทะลุผ่านกิ่งหลิว ก่อนที่ใบไม้หลายใบจะร่วงหล่น กระบี่วาดไปตามแนวนอน ใบหลิวก็ตกลงบนนั้นโดยไม่ร่วงหล่นสู่พื้น เมื่อมองอย่างถี่ถ้วนจะพบว่าใบหลิวแต่ละใบแยกออกจากเส้นกึ่งกลางอย่างเป็ระเบียบ
ทันใดนั้นเฉิงเฟิงรู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติบางอย่างจากด้านหลัง ก่อนที่จะเบี่ยงร่างกายหลบอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทันตั้งตัว เข็มสีเงินเรียวยาวก็ทะลุผ่านเส้นผมของเขาและพุ่งลงบนลำต้นของต้นไม้เื้ั เฉิงเฟิงหันกลับไปมอง พบว่าบนเข็มเล่มนั้นมีเส้นผมของตนถูกปักอยู่ เขาลอบถอนหายใจ ไม่ว่าจะพยายามเพียงใดตนเองก็ยังห่างชั้นจากหลิ่วไป๋เจ๋อ
หลิ่งเฉิงเฟิงเก็บกระบี่แล้วยกมือดึงเข็มเงินนั้นออกมา ทำให้เส้นผมที่ถูกปักอยู่ร่วงหล่นลง เขามองดูเข็มเงินในมืออย่างระมัดระวัง เข็มเล่มนั้นบางพอๆ กับเส้นผมของเขา แม้จะทำจากเงินแต่ก็ไม่สะท้อนแสง เมื่อลูบลงไปก็รับรู้ได้ถึงความหยาบกระด้าง หลิ่วเฉิงเฟิงรู้สึกแปลกใจ จึงหันกลับมาถามหลิ่วไป๋เจ๋อที่อยู่ด้านหลัง
“เข็มเงินนี้บางมาก เ้าทำเองหรือ”
หลิ่วไป๋เจ๋อนั่งดื่มชาอยู่ในศาลาหิน เมื่อได้ยินคำถามของน้องชายก็หยิบกล่องเงินขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากแขนเสื้อ
“หากชอบก็เอาไป”
“จริงหรือ!”
หลิ่วเฉิงเฟิงวิ่งไปหยิบกล่องนั้นมา เมื่อเปิดออกก็พบว่ามีเข็มเงินหลายร้อยเล่มวางไว้อย่างเป็ระเบียบ
เขารู้ว่าตนเองไม่มีทักษะในการควบคุมพลังจิติญญาเท่ากับหลิ่วไป๋เจ๋อ คนผู้นี้สามารถแปลงพลังจิติญญาของตนได้อย่างอิสระ ทำให้กลายเป็อาวุธได้ แต่เขาไม่มีความสามารถในการควบคุมพลังเทียบเท่าอีกฝ่าย อาจกล่าวได้ว่ามีเพียงไม่กี่คนในแดนเจ๋อที่สามารถควบคุมพลังจิติญญาได้ดีเท่าหลิ่วไป๋เจ๋อ ส่วนมากเขามักจะปล่อยพลังออกมาเพื่อใส่เอาไว้ในอาวุธ เข็มเงินกล่องนี้จึงเป็สิ่งเลอค่าที่หายากสำหรับหลิ่วเฉิงเฟิง
หลิ่วเฉิงเฟิงเก็บเข็มเงินไว้ในแขนเสื้อ รู้สึกว่าตนเองมีวาสนายิ่งนัก เขายกเข็มเงินในมือขึ้นมา แล้วใช้พลังิญญาซัดออกไป ในที่สุดก็ทะลุผ่านลำไม้หนาในระยะไกลได้
เฉิงเฟิงรู้สึกดีใจเป็อย่างยิ่ง เข็มเงินนี้ช่างพอดีมือ ราวกับว่าถูกสร้างมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ
“ท่านทำได้อย่างไร บอกข้าหน่อยสิ”
หลิ่วไป๋เจ๋อส่ายหัว “เข็มหลายร้อยเล่มในกล่องนี้เพียงพอสำหรับเ้าแล้ว”
“ฮึ! เ้าคนขี้งก ไม่บอกก็ไม่ต้องบอก ใครสนล่ะ” เขาหันกลับมาเล่นสนุกกับเข็มเงินในกล่องแทบไม่ยอมวางมือ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ไม่ใช่ว่าหลิ่วไป๋เจ๋อไม่อยากบอกเขา แต่ขั้นตอนการทำนั้นยุ่งยากเกินไป ด้วยใช้เวลานาน อีกทั้งยังต้องใช้พลังจิติญญาค่อนข้างมาก แม้จะรู้วิธีการทำก็ไม่ใช่ว่าใครก็ทำได้ เข็มหลายร้อยเล่มนี้เขาใช้เวลาเต็มหนึ่งเดือนและผลาญพลังิญญาในการสร้างจนหมด บนเข็มทุกเล่มยังมีตราประทับพลังิญญาของเขาประทับอยู่ด้วย เมื่อนำไปใช้จู่โจมจะไม่พบาแบนร่างกาย แต่ทำให้เ็ปรวดร้าว นอกจากนี้ยังสามารถใช้ยับยั้งพลังิญญาของคู่ต่อสู้ได้ ถือเป็อาวุธซ่อนเร้นอันทรงพลังยิ่ง
เขาทำสิ่งนี้ขึ้นมาเพื่อเฉิงเฟิงโดยเฉพาะ และจะเป็การดีที่สุดหากอีกฝ่ายนำมันมาใช้เพื่อป้องกันตน
“จำเอาไว้ ใช้เข็มนี้กับศัตรูเท่านั้น อย่าใช้กับตนเอง”
หลิ่วเฉิงเฟิงที่กำลังเล่นเข็มเงินพยักหน้าหนักๆ “รู้แล้ว ข้ารู้แล้ว!”
เสียงร้องลากยาวดังมาจากท้องฟ้า หลิ่วเฉิงเฟิงจึงเงยหน้ามอง
“นกดวงดาวหรือ?”
อิ๋นซิงร่อนลงบนไหล่ของหลิ่วไป๋เจ๋อ ไม่ขยับเขยื้อนไปไหนอีก บนคอของมันมีกระบอกไม้ไผ่เรียวห้อยอยู่ หลิ่วไป๋เจ๋อจึงปลดออกมา เมื่อนำมาวางลงบนมืออาจไม่รับรู้ถึงน้ำหนักอะไร ทว่าอิ๋นซิงที่สวมมันเอาไว้และโบยบินมาเป็เวลาเจ็ดถึงแปดวันนั้นถือว่าหนักเป็อย่างมาก
หลิ่วไป๋เจ๋อยกมือลูบอิ๋นซิง จัดระเบียบขนที่ยุ่งเหยิงเพราะบินมาไกลให้เรียบร้อยก่อนจะหยิบเมล็ดดวงดาวสองสามเมล็ดออกมาจากแขนเสื้อแล้วป้อนให้มัน หลังปลอบประโลมอิ๋นซิง เขาก็เปิดกระบอกไม้และหยิบแผ่นไม้ไผ่ที่เชื่อมต่อกันสองสามอันออกมา
“ส่งมาจากหุบเขาไป่หลิงใช่หรือไม่ ต้องเป็อูิโยวแน่ๆ ที่มีความคิดแปลกๆ มากมายในหัวเช่นนี้ เพื่อให้ท่านสามารถอ่านจดหมายของเขาได้ด้วยตัวเอง”
หลิ่วเฉิงเฟิงเบะปากก่อนจะยกมือลูบอิ๋นซิง แต่มันกลับหลับตาและทิ้งตัวลงนั่งบนเส้นผมของหลิ่วไป๋เจ๋อ ไม่ยอมขยับไปไหน ไม่สนใจเฉิงเฟิง ดูเหมือนการที่มันบินติดต่อกันมาหลายวันคงทำให้เหน็ดเหนื่อยไม่น้อย
หลิ่วไป๋เจ๋อกางจดหมายจากแผ่นไม้ไผ่แกะสลักและใช้ปลายนิ้วแตะเบาๆ ตัวอักษรที่ชัดเจนพลันปรากฏขึ้นในหัวของเขาทีละตัว แม้แต่ลายมือที่ดูงุ่นง่านก็แสดงให้รับรู้ได้อย่างชัดเจน สิ่งนี้ทำให้หลิ่วไป๋เจ๋อตื่นเต้นเป็อย่างมาก ดูเหมือนที่อูิโยวเคยกล่าวว่าจะแกะสลัก “ตำราการแพทย์” ให้ตนเองก่อนหน้านี้ ท่าทางเขาจะไม่ได้พูดเล่น แต่ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ฝ่ายนั้นจะยังจำได้หรือไม่
“ในนั้นพูดถึงเื่อะไรบ้างหรือ”
ผ่านไปครู่หนึ่งก็เห็นหลิ่วไป๋เจ๋อม้วนจดหมายไม้ไผ่เก็บไว้ในอ้อมแขน หลิ่วเฉิงเฟิงจึงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“ไม่มีอะไร เ้ารำกระบี่ไปเถิด”
กล่าวจบก็จากไปพร้อมอิ๋นซิง หลิ่วเฉิงเฟิงส่งเสียงฮึ่มฮั่มไม่พอใจตามหลังอีกฝ่ายไป แต่เขาก็มองออกว่าหลิ่วไป๋เจ๋อกำลังอารมณ์ดี เพราะตอนนี้มุมปากของพี่ชายที่มักจะแข็งทื่ออยู่ตลอดนั้นยกขึ้น
หลิ่วไป๋เจ๋อพาอิ๋นซิงไปที่ส่วนลึกของูเาชุ่ยอวิ๋น บริเวณที่มีต้นฉางไหวโบราณสูงตระหง่าน กลายเป็สถานที่ที่ิโยวปลูกต้นขู่เล่อกั่วเอาไว้ อิ๋นซิงไม่ได้หลับลึก มันลืมตาแล้วบินขึ้นไปบนต้นไม้ต้นสูงนั้น ต้นฉางไหวรวบรวมพลังจิติญญาของ์และโลกมนุษย์เอาไว้กว่าหลายพันปี เมื่ออิ๋นซิงเกาะบนลำต้นก็สามารถฟื้นฟูร่างกายได้รวดเร็วขึ้น มันจึงตัดสินใจว่าจะนอนหลับพักผ่อนให้สบายอยู่ที่นั่นสักสองสามวัน
เสียงขลุ่ยอันไพเราะสะท้อนก้องอยู่ในูเา ท่วงทำนองเสนาะหูนั้นถูกบรรเลงโดยหลิ่วไป๋เจ๋อ
หลังจากอ่านจดหมาย ทำให้ทราบว่าอูิโยวไม่ได้โกรธตนเองแล้ว หลิ่วไป๋เจ๋อพลันโล่งใจและมีความสุขไปพร้อมๆ กัน เพียงแต่ว่าเมื่อนึกถึงใจความในจดหมายอย่างละเอียดก็เกิดความกังวลใจไม่น้อย
เขารู้ว่าสำนักมิ่งเก๋อได้ส่งคนมาที่นี่นานแล้ว ทว่าไม่เหมาะสมอย่างยิ่งที่เลือกคฤหาสน์อวิ๋นหลานซานเป็สถานที่สำหรับการหารือ อีกทั้งยังมีลั่วจิ่วเอ๋อร์ที่ไม่ทราบที่มาที่ไปอย่างแน่ชัดอยู่ในคฤหาสน์นั้นอีก
ทันใดนั้นขลุ่ยดินเผาทรงไข่ก็ถูกดึงออกจากริมฝีปาก อิ๋นซิงที่อยู่บนต้นฉางไหวก็ลืมตาขึ้นและมองเข้าไปในส่วนลึกของป่าฝั่งตรงข้ามด้วยท่าทีระแวดระวังภัย หลิ่วไป๋เจ๋อแขวนขลุ่ยไว้ที่เอวและยืนรอผู้มาเยือน
“คุณชายหลิ่วช่างเป็คนตรงต่อเวลาจริงๆ”
“เ้าเองก็มาเร็ว”
เมื่อถูกหลิ่วไป๋เจ๋อทักเช่นนั้นก็ทำให้ชายสวมหน้ากากชะงัก ไม่สามารถตอบคำถามไปได้ชั่วขณะหนึ่ง เดิมทีเขาตั้งใจจะมาให้เร็วกว่านี้เพื่อซ่อนตัวในความมืด คอยสังเกตการเคลื่อนไหวของหลิ่วไป๋เจ๋อ แต่คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมาเร็วกว่าตน ทำให้เขาไม่สามารถหลบซ่อนตัวได้
“ผลเป็อย่างไรบ้าง” หลิ่วไป๋เจ๋อถาม
ใครๆ ต่างก็พูดว่าบุตรชายคนโตของตระกูลหลิ่วเป็คนพูดน้อยและใจเย็น ยามที่พูดคุยกับคนอื่น เขาก็มักจะพูดตรงประเด็นไม่อ้อมค้อม คราวนี้ชายสวมหน้ากากได้เห็นกับตาแล้ว อีกฝ่ายไม่เอ่ยทักทายเลยด้วยซ้ำ นั่นทำให้เขาประหม่าไม่น้อย
เมื่อนายจ้าง้าทราบผลลัพธ์ก็ไม่มีความจำเป็ที่จะต้องทำให้เื่ยืดเยื้อ เขาหยิบห่อผ้าออกมาจากอก แล้วโยนไปให้หลิ่วไป๋เจ๋อ แต่กลับถูกนกตัวหนึ่งโฉบเอาไว้กลางอากาศ ก่อนจะบินไปที่ต้นฉางไหวโบราณ
“นกดวงดาว? มีคนจากหุบเขาไป่หลิงอยู่ที่นี่ด้วยหรือ” ชายสวมหน้ากากเกิดสับสน ไม่รู้ว่ามีผู้อื่นอยู่อีก ก่อนจะคิดในใจแล้วยิ้มออกมา
“ว่ากันว่าชิงหลิ่วถังและหุบเขาไป่หลิงเป็พันธมิตรที่ดีต่อกันมานานหลายชั่วอายุคน จากที่เห็นวันนี้คงจะไม่ใช่เื่โกหก แม่นางอูจากหุบเขาไป่หลิงมอบอิ๋นซิงของนางให้กับคุณชายหลิ่ว แสดงให้เห็นว่ามิตรภาพของทั้งสองนั้นไม่ธรรมดา”
หลิ่วไป๋เจ๋อหันหลังให้เขา “ทุกคนในิซิ่นถังพูดมากเหมือนเ้าหรือไม่”
ชายสวมหน้ากาก “...”
“เ้าทำงานเสร็จก็กลับไปได้แล้ว อย่างที่เ้าว่า ั้แ่วันนี้เป็ต้นไปชิงหลิ่วถังและิซิ่นถังไม่เกี่ยวข้องกัน ไม่ติดค้างต่อกันอีก”
ชายสวมหน้ากากประสานมือและจากไป
เสียงขลุ่ยดังขึ้น ทั่วทั้งป่าตกอยู่ในความสงบอีกครั้ง
สิบสามวันต่อมา หลิ่วไป๋เจ๋อออกจากเมืองหลวงโดยลำพัง ไกลออกไปบนหน้าผาสูงนอกเมือง เวลาอู่สือสามเค่อ คนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างช้าๆ ที่ปลายเขา
อิ๋นซิงที่อยู่ด้านหลังส่งเสียงร้องยาวทีหนึ่ง กระพือปีกแล้วบินนำรถม้า
อูิหลิงนั่งอยู่ด้านใน หลับตาเพื่อฝึกฝนบำเพ็ญเพียร ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเรียกที่คุ้นเคย นางจึงรีบเปิดม่านขึ้น ไม่นานก็มีก้อนกลมๆ สีเงินแวบเข้ามาในรถม้า อิ๋นซิงบินเข้าสู่อ้อมแขนของิหลิง ถูไถศีรษะกับเส้นผมของนางไม่หยุด ท่าทางดูตื่นเต้นมาก
“เ้าเด็กแสนซน ออกจากหุบเขามายังเฟิ่งเทียนตั้งหลายวัน เหตุใดไม่บอกข้าก่อนออกมา”
อิ๋นซิงส่งเสียงร้องจิ๊บๆ ิหลิงพลันมีท่าทีใ รีบบอกคนบังคับรถม้าให้หยุดรถลง เมื่อลงมานางก็เห็นชายสวมชุดขาวผู้หนึ่งยืนอยู่ ใบหน้านั้นยังคงเป็ใบหน้าของหลิ่วไป๋เจ๋อที่ใครต่อใครต่างอิจฉา ทั้งยังเป็คนเดียวกับที่นางคะนึงหาทั้งเช้าค่ำ
“คุณชายหลิ่ว”
ิหลิงก้าวไปข้างหน้าและโค้งคำนับ อีกฝ่ายจึงเอ่ยตอบ “เ้ามาแล้ว”
“เพราะน้องชายของข้ากังวลจนเกินเหตุ คราวนี้จึงทำให้คุณชายหลิ่วเดือดร้อน”
อิ๋นซิงเพิ่งบอกิหลิงถึงเหตุผลที่มันมาปรากฏตัว เมื่อรู้ว่าเป็ิโยวได้ส่งจดหมายมาหาคนเบื้องหน้าก่อนที่นางจะเดินทางมาถึง จึงคาดเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ไปกันเถอะ” หลิ่วไป๋เจ๋อเดินไปข้างหน้า อูิหลิงก็เดินตาม ทั้งสองเดินผ่านประตูเข้าเมืองโดยมีกลุ่มรถม้าทยอยตามมา
กว่าจะเดินทางมาถึงที่นี่ก็ผ่านไปหลายเดือน เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วราวกับกะพริบตา ความหนาวเย็นในฤดูใบไม้ผลิหมดไปแล้ว กลายเป็ความร้อนจากแสงแดดที่แผดเผาเข้ามาแทน
ในขณะเดียวกันที่ประตูเมืองทิศเหนือ หลิ่วเฉิงเฟิงทอดสายตามองออกไปไกล ขณะที่กำลังร้อนใจก็ได้ยินเสียงกีบม้าแว่วมา ถนนบนูเาเขียวชอุ่ม ชายสวมเสื้อผ้าสีม่วงดูเด่นสะดุดตา เมื่อเห็นภาพนี้หลิ่วเฉิงเฟิงก็รีบเข้าไปต้อนรับอย่างมีความสุข
“พี่จิ่วฟาง!”
เมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาหาคือหลิ่วเฉิงเฟิง จิ่วฟางเทียนฉีก็ประหลาดใจและโล่งใจไปพร้อมกัน เขามักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าเด็กคนนี้มีความสัมพันธ์อันดีกับผู้คนรอบข้างมากกว่าผู้เป็พี่ชายอย่างหลิ่วไป๋เจ๋อ
“เหตุใดเ้าถึงมาอยู่ที่นี่”
หลิ่วเฉิงเฟิงคว้าบังเหียนจากมืออีกฝ่ายแล้วเอ่ยว่า “ข้ามาต้อนรับท่าน ทำไม? ไม่ได้หรือ หรืออยากให้หลิ่วไป๋เจ๋อมาแทน”
จิ่วฟางเทียนฉีเคยเห็นเ้าเด็กตรงหน้าร่ำไห้มาก่อน ดังนั้นจึงไม่คิดจะยั่วโมโห แล้วรีบโบกมือ
“พี่เ้าจะไปมีอะไรดี เอาแต่เคร่งขรึมทั้งวี่ทั้งวัน เ้าดีกว่ามาก หากมีน้องชายแบบนี้สักคน ข้าคงจะปลาบปลื้มเป็แน่”
เมื่อถูกป้อยอด้วยคำพูดดีๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของหลิ่วเฉิงเฟิงก็ไม่จางหายไปเลยตลอดทาง
ทั้งสองจูงม้าแล้วค่อยๆ เดินไปไม่เร่งรีบ เมื่อผ่านตรอกหลิวอี จิ่วฟางเทียนฉีก็รู้สึกว่าสภาพโดยรอบรกร้างขึ้นมาก จึงเอ่ยถามคนด้านข้าง
“เกิดอะไรขึ้นหรือ เหตุใดถึงดูรกร้างขึ้นเช่นนี้”
หลิ่วเฉิงเฟิงไม่ปิดบัง ชี้ไปยังิเยวี่ยฟางที่อยู่ไม่ไกล และเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ให้เขาฟัง จิ่วฟางเทียนฉีไม่ได้มีท่าทีแปลกใจเท่าไรนัก อีกทั้งยังมีความคิดบางอย่างอยู่ในใจแล้ว
ทันทีที่ทั้งสองมาถึงชิงหลิ่วถังก็ได้ยินเสียงใครบางคนดังมาจากด้านหลัง เมื่อจิ่วฟางเทียนฉีหันกลับไปจึงเห็นหลิ่วไป๋เจ๋อเดินเข้ามาพร้อมกับอูิหลิง
จิ่วฟางเทียนฉีหัวเราะและพูดว่า “ข้าก็สงสัยว่าเหตุใดวันนี้เฉิงเฟิงถึงได้ออกไปรับข้า ที่แท้คุณชายหลิ่วไปต้อนรับแม่นางอูนี่เอง”
—-------------------------------
