“บอกข้ามาตามตรง พวกเ้าเตรียมตัวล่วงหน้า เพราะคาดเดาจากฎีกาที่ข้าเขียนก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่?”
จบประโยคนั้น ใบหน้าิเยี่ยก็พลันซีดเผือก เหงื่อแตกพลั่ก
“เหตุใดใบหน้าเด็กหนุ่มถึงเต็มไปด้วยเหงื่อ?” เฉินปั๋วแอบยิ้มมุมปาก
ิเยี่ยไม่กล้าตอบ ิหยวนจึงตอบแทนเขา “ศิษย์พี่ประหม่าก็เลยเหงื่อออกขอรับ”
“แล้วเหตุใดเ้าเหงื่อไม่ออกเล่า?”
“ศิษย์ประหม่าแล้วจะตัวสั่น เหงื่อจึงไม่กล้าออกขอรับ”
คำตอบของเขาทำให้เฉินปั๋วหลุดขำทันที “เ้าอายุยังน้อย แต่กล้าหาญมาก อีกทั้งยังวิเคราะห์วรรณกรรมโบราณได้ไม่เลว”
“ขอบพระคุณฝู่จวินที่ชมขอรับ” ิหยวนแอบถอนหายใจ ก่อนจะนั่งตัวตรงและเอ่ยต่อ “ที่ฝู่จวินถาม ศิษย์ไม่กล้าปิดบัง ฎีกาที่ฝู่จวินเขียนถูกกล่าวถึงเป็อย่างมาก แทบไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก หลังได้ข่าวว่าฝู่จวินได้รับคำสั่งย้ายมาประจำที่เมืองเจียงโจว เราจึงพยายามอ่าน วิเคราะห์ และถกประเด็นในฎีกาของท่าน ศิษย์เชื่อว่าทุกท่านที่มาร่วมงานเลี้ยงในวันนี้ คงไม่มีผู้ใดเตรียมตัวมาล่วงหน้า หากมีคนกล้าทำเช่นนั้น ก็คงเป็คนที่แย่มากๆ ยังไม่ทันได้เป็ขุนนางก็คดโกงแล้ว ไม่มีความซื่อสัตย์เอาเสียเลย ในยุคที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ราชสำนักเปิดรับสมัครผู้มีความสามารถจากทุกชนชั้น พวกศิษย์มุ่งมั่นอยากเข้าร่วมการแข่งขันจริงๆ หากฝู่จวินเห็นว่าไม่เหมาะสม ขอฝู่จวินโปรดลงโทษด้วยขอรับ”
ที่เขากล่าวมา... เป็ความจริงครึ่งหนึ่ง
สองเดือนก่อน เฉินปั๋วเขียนฎีการายงานฮ่องเต้ผู้โง่เขลาหรือจะกล่าวว่าเขียนถึงเซี่ยไท่ฟู่ก็ไม่ผิด สาระสำคัญคือฎีกาฉบับนั้นมีหัวข้อว่า “เรียนเซี่ยไท่ฟู่ เื่การคัดเลือกขุนนาง มีใจความสำคัญทั้งหมดสามประการ” จากนั้นเื่นี้ก็กลายเป็ข่าวแพร่กระจายไปทั่วแคว้นภายในวันเดียว แต่ข่าวส่วนใหญ่เป็เื่ที่น่าอับอาย
ประการแรกคือ ขอให้ระบบการคัดเลือกขุนนางเป็ไปตามกฎระเบียบตามยุคราชวงศ์ฮั่น ฟื้นฟูระบบฉาจวี่ เพราะเขาเชื่อว่าระบบขุนนางเก้าขั้นที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันนั้น เป็เพียงระบบอุปถัมภ์ที่กลายเป็เครื่องมือให้ผู้มีอำนาจเอื้อประโยชน์ให้แก่กัน ตำแหน่งราชการได้มาเพราะอาศัยอำนาจชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล โดยได้เขียนในฎีกาไว้ว่า “งานราชการกลายเป็กิจการครอบครัว ตำแหน่งถูกกักไว้ให้คนของตน สร้างข่าวลือใส่ร้ายผู้ดำรงตำแหน่งคนปัจจุบัน บีบให้ออกจากตำแหน่ง แทนที่ด้วยคนของตน ตำแหน่งราชการควรมอบให้ผู้มีความสามารถตามอันดับ เบี้ยหวัดและศักดินากำหนดตามขั้น”
การคัดเลือกขุนนางควรเป็ไปอย่างโปร่งใส ชื่อเสียงอำนาจภูมิหลังต้องไม่มีผลต่อการคัดเลือก ในอนาคตจะต้องใช้ระบบฉาจวี่เป็หลัก อย่างน้อยๆ ขุนนางทั้งหลายจะต้องมาจากระบบฉาจวี่มากกว่าครึ่ง เพิ่มโอกาสให้บัณฑิตยากไร้ที่มีความสามารถ
ประการที่สอง ไม่ว่าระบบฉาจวี่หรือระบบขุนนางเก้าขั้นก็ตาม ผู้เข้าสมัครทุกคนจะต้องผ่านการสอบที่ทางการจัดขึ้นก่อนถึงจะเข้ารับตำแหน่งได้ และเนื้อหาในการสอบควรยึดตามคัมภีร์ของขงจื่อ การคัดเลือกขุนนางเข้ารับตำแหน่งใดๆ มิใช่ว่ามีตำแหน่งว่างแล้วจะแต่งตั้งผู้ใดก็ได้ทันที ควรแต่งตั้งตามความสามารถและความเหมาะสม จะได้ไม่มีขุนนางที่รับเพียงตำแหน่งและเงินเดือน แต่ไม่ทำหน้าที่ วันๆ ไม่ทำการทำงาน เอาแต่จัดงานเลี้ยงรื่นเริง คุยโวโอ้อวด ไม่ว่าจะเป็ขุนนางท้องถิ่นระดับเมืองหรือระดับอำเภอก็ควรรู้จักหน้าที่ตน สามารถแยกแยะห้าธัญพืช [1] ตัดสินคดี และดูแลการค้าขายในพื้นที่ได้
ประการที่สาม มีผู้คนจำนวนมากอพยพมาตั้งรกรากทางใต้ ทุกวันนี้ทางราชสำนักไม่มีข้อมูลสำมะโนที่ดินและสำมะโนประชากรที่แน่ชัด ต้องรีบทำการสำรวจจำนวนประชากรแต่ละพื้นที่เพื่อจัดสรรที่ดินทำกิน และกำหนดอัตราภาษีใหม่
ทันทีที่มีข่าวลือเกี่ยวกับฎีกาฉบับนี้ออกไป ความเดือดร้อนก็พลันมาเยือนศาลบรรพชนตระกูลเฉิน ลูกเมียเกือบติดร่างแห ตระกูลเฉินเกือบไร้ทายาท เกือบสิ้นลูกหลานจุดธูปสักการะบรรพชน หลังได้รับคำสั่งย้ายมาที่เมืองเจียงโจว เฉินปั๋วไม่แม้แต่จะจัดงานเลี้ยงอำลาญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง เขารีบควบม้ามารับตำแหน่งทันที ราวกับกำลังหนีตายจากเมืองหลวง
สาเหตุก็เพราะราชวงศ์ปัจจุบัน ก่อตั้งขึ้นได้ด้วยการแย่งชิงบัลลังก์มาจากราชวงศ์ก่อน และได้มีการปกครองร่วมกับเหล่าตระกูลสูงศักดิ์ ลูกหลานจากตระกูลเ่าั้จึงได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นทุกปีๆ ได้รับความโปรดปรานจากรุ่นสู่รุ่น กลายเป็ขุนนางหลวงเต็มราชสำนัก คนพวกนี้มีชีวิตมั่งคั่งมานานกว่าร้อยปี มีพื้นที่ศักดินาและบ่าวไพร่มากมาย หนึ่งตระกูลราวกับหนึ่งแคว้น ร้อยแปดตระกูลขุนนางก็ยิ่งเสมือนมีร้อยแปดผู้ปกครอง ทว่าเฉินปั๋วกลับยื่นฎีกาขัดผลประโยชน์ของตระกูลขุนนางน้อยใหญ่ จะไม่ให้คนพวกนั้นเกลียดเขาได้อย่างไร? ต่อให้มีคนบางส่วนเห็นด้วยกับเขา ก็มิอาจหยุดหลายปากหลอมทองกร่อนกระดูก [2]
แม้จะกล่าวว่าเหล่าตระกูลชนชั้นสูงนิยมพลักดันลูกหลานรับราชการผ่านระบบอุปถัมภ์ ทว่าตระกูลชนชั้นสูงในท้องถิ่นมักไม่นิยมทำเช่นนั้น เพราะส่วนใหญ่ใช้ระบบฉาจวี่ ต่อให้ที่นี่มีการถกเถียงกันและมีคนเห็นต่างไม่น้อย แต่ความรุนแรงนั้นมีไม่มากเท่าในเมืองหลวง ถึงอย่างไรตำแหน่งเ้าเมืองก็ยังมีอำนาจมากและยากที่จะสั่นคลอน นึกถึงตรงนี้เฉินปั๋วก็พลันรู้สึกซาบซึ้ง แม้เซี่ยไท่ฟู่จะไม่เห็นด้วยกับฎีกาของเขา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเซี่ยไท่ฟู่สั่งย้ายเขามาที่นี่เพื่อปกป้องเขา
แต่ตอนนี้เขากำลังถูกเด็กหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยชื่นชม เฉินปั๋วจึงเกิดหลายความรู้สึกตีกันในหัวใจ แต่แล้วความรู้สึกนั้นก็ชัดเจนขึ้น เฉินปั๋วเอ่ยชื่นชมทันใด “คำว่า ‘มุ่งมั่น’ ช่างเป็คำพูดที่ดีเหลือเกิน การศึกษามิใช่ว่าจะศึกษาเพียงแิของเล่าจื่อและจวงจื่อเท่านั้น แต่ต้องศึกษาแิของขงจื่อและเมิ่งจื่อด้วย ในหนึ่งชีวิต ใช่ว่าเราจะแสวงหาเพียงหนทางเป็อิสระ และหลีกหนีทางโลกได้เสียที่ใด หากแต่ต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตในสังคมด้วย หากไม่คิดทำสิ่งใดเลย ปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปตามธรรมชาติ เช่นนั้นบัณฑิตทั้งหลาย ขุนนางบุ๋นบู๊น้อยใหญ่ก็คงมิต้องทำสิ่งใดกันเลย! วันนี้มุ่งมั่นแข่งขันเพื่อคว้าโอกาสเข้าศึกษา มุ่งมั่นเพื่อความปรารถนาที่จะเรียนรู้ มุ่งมั่นสู่หนทางรับราชการ มุ่งมั่นเพื่อ้ารับใช้ราษฎรทั้งหลาย ความมุ่งมั่นก็คือความภักดีและความกตัญญูที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!”
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ห้าธัญพืช (五谷) หมายถึง ธัญพืชหลักห้าชนิดที่คนสมัยก่อนนิยมเพาะปลูก ถือเป็พืชผลที่มีความสำคัญมาก ได้แก่ ข้าว (稻) ข้าวฟ่าง (黍) ข้าวฟ่างไม้กวาด (稷) ข้าวสาลี (麦) และถั่วเหลือง (菽)
[2] หลายปากหลอมทองกร่อนกระดูก (众口铄金,积毁销骨) หมายถึง คำพูดจากคนหมู่มาก สามารถทำให้เื่ผิดกลายเป็ถูก เื่ถูกกลายเป็ผิดได้ หากคนๆ หนึ่งถูกใส่ร้ายซ้ำๆ จนถูกผู้คนเข้าใจผิด อาจถึงขั้นเกลียดชัง คนผู้นั้นก็จะใช้ชีวิตในสังคมได้ยากลำบาก
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้