ขี่ไปด้วยกัน?
กับหนานกงฉี่?
มิต้องเอ่ยถึงการป้องกันระหว่างบุรุษและสตรี นางไม่มีอะไรประทับใจในคนตระกูลหนานกงอยู่แล้ว หนานกงฉี่เองก็ไม่มีข้อยกเว้น ให้นางขี่บนหลังม้าตัวเดียวกับเขา หึ...
สายตาของเหนียนยวี่ฉายแววดูแคลน หนานกงฉี่เห็นภาพนั้นในสายตาพลันขมวดคิ้วมุ่น ทว่ากลับมาเป็ปกติอย่างรวดเร็ว รอยยิ้มบนใบหน้าแย้มยิ้มกว้างกว่าเดิมเล็กน้อย ดวงตาดอกท้อขยิบใส่เหนียนยวี่ “คุณหนูยวี่กลัวว่าข้าจะกินเ้าหรือไร ถึงไม่กล้าขึ้นมาบนหลังม้า?”
เห็นได้ชัดว่า หนานกงฉี่ใช้วิธีประชดประชันรุกนาง แล้วเหนียนยวี่จะฟังไม่ออกได้อย่างไร?
ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา ทว่ากลับได้ยินของบุรุษอีกคนดังขึ้นมาเสียก่อน...
"คุณหนูยวี่..."
เสียงที่ดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน ทำให้ทั้งคู่ต่างตกตะลึง และเสียงที่คุ้นเคยนั้น ทำให้มุมปากของเหนียนยวี่ค่อยๆ ยกยิ้มขึ้นมา
นางหันหลังกลับไปมองบุรุษที่กำลังใกล้เข้ามา บนหลังม้าพันธุ์งาม ชุดจิ้นจวงสีดำทะมัดทะแมงที่คุ้นเคย หน้ากากสีเงินอันเป็เอกลักษณ์ ท่าทีองอาจไม่ธรรมดาและข้างหลังของเขาติดตามมาด้วยกองทัพทหารราชองครักษ์ ซึ่งเคลื่อนไหวมาพร้อมกับระเบียบอันเคร่งครัด และรังสีอันทรงพลัง
ฉู่ชิง...
เหนียนยวี่ไม่เคยตั้งตารอการปรากฏตัวของบุรุษผู้นี้ถึงเพียงนี้มาก่อน
รอจนฉู่ชิงขี่ม้าเข้ามาตรงหน้า เหนียนยวี่ย่อกายคำนับ “เหนียนยวี่คารวะท่านแม่ทัพหลวง”
ฉู่ชิงเหลือบมองเหนียนยวี่ หน้ากากสีเงินปกปิดใบหน้าจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา ทว่ายิ่งเป็เช่นนี้ ก็ยิ่งดูลึกลับและน่าเกรงขามมากขึ้น
เมื่อครู่นี้ ยามที่ฉู่ชิงปรากฏตัว ใน่เวลาสั้นๆ สายตาของหนานกงฉี่มิได้ละสายตาไปจากเขาเลย ทั้งสีหน้ายังแปรเปลี่ยนเป็เคร่งขรึม ฉู่ชิงผู้นี้ แม้ตัวตนจะเป็แค่บุตรชายของแม่ทัพเอก แต่ก็ไม่ควรประมาท
หลายปีมานี้ ในท้องพระโรงฉู่ชิงโชติ่รุ่งเรืองดั่งพระอาทิตย์กลางท้องนภา ทั้งยังมีความสามารถโดดเด่นออกมาจากกลุ่มคนรุ่นราวคราวเดียวกันในเป่ยฉี
กิริยาท่าทางและพลังอำนาจที่แผ่ซ่านออกมารอบตัวเขา ยิ่งทำให้ผู้คนมิอาจทำเมินเฉย
"คุณหนูยวี่้าความช่วยเหลือหรือไม่?" หลังจากเงียบไปนาน ฉู่ชิงจึงเอ่ยปากออกมาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูปกติอย่างยิ่ง
้า! ้าแน่นอน!
เพียงแต่...
เหนียนยวี่ขมวดคิ้ว “ท่านแม่ทัพหลวงช่างมาได้เหมาะเจาะเสียจริง เมื่อครู่นี้คุณชายรองหนานกงไม่ระวัง ทำม้าของเหนียนยวี่าเ็ หากเป็ม้าของเหนียนยวี่ก็ไม่เป็ไร ตายก็คือตาย ทว่าม้าตัวนั้นเป็ของจวนองค์หญิงใหญ่ชิงเหอ ตอนนี้ม้าก็กลายเป็เช่นนั้นแล้ว เกรงว่าเหนียนยวี่คงมิอาจอธิบายเื่นี้ได้แน่”
ยามที่เหนียนยวี่เอ่ย ใบหน้านางดูหมดหนทาง
หนานกงฉี่ตกตะลึงเล็กน้อย ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเหนียนยวี่...สีหน้าของนางเต็มไปด้วยอารมณ์เศร้าสร้อย ซึ่งต่างไปจากท่าทีโอหังอวดดีเมื่อครู่นี้อย่างยิ่ง
“คุณชายรองหนานกง สิ่งที่เหนียนยวี่กล่าวมาเป็ความจริงหรือไม่?” ฉู่ชิงหันไปสบตาหนานกงฉี่
หนานกงฉี่เป็คนฉลาด เมื่อครู่นี้เขาเป็คนที่ทำให้ม้าาเ็จริงๆ หากเหนียนยวี่้าสอบสวนขึ้นมาจริง เกรงว่าอาจจะชักจูงเื่อื่นๆ เข้ามาด้วย อย่างไรเสียเหนียนยวี่ในตอนนี้ก็ถูกบันทึกลงหนังสือราชสำนัก กลายเป็คนในราชวงศ์ครึ่งหนึ่งแล้ว ความปลอดภัยของนางมิอาจเทียบได้กับเมื่อครั้งวันวาน
เขารู้ว่าเหนียนยวี่กำลังพยายามทำให้เขาได้รับบทเรียน แม้นเขาจะไม่เต็มใจ ทว่าเขาก็ชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียได้เป็อย่างดี
“ใช่ หากกล่าวให้ละเอียด มันก็คือเื่เข้าใจผิด เพราะเช่นนั้น ข้าจึงจะมอบม้าตัวนี้ให้คุณหนูยวี่ คุณหนูยวี่จะได้ไปอธิบายแก่จวนองค์หญิงใหญ่ได้” เดิมทีหนานกงฉี่วางแผนจะให้เหนียนยวี่นั่งไปด้วยกันกับเขา แต่นึกไม่ถึงเลยว่า...
หนานกงฉี่เหลือบมองเหนียนยวี่พลางะโลงจากหลังม้า หยิบบังเหียนแล้วยื่นให้เหนียนยวี่ “คุณหนูยวี่ เมื่อครู่นี้หนานกงฉี่ขออภัยด้วย”
เหนียนยวี่จ้องมองหนานกงฉี่ที่เอ่ยขออภัยอย่างจริงใจ มุมปากนางค่อยๆ ยกยิ้มลำพองใจ ทว่าเพียงครู่เดียว นางกลับขมวดคิ้ว “คุณชายรองหนานกงเอาม้ามาให้ข้า แล้วท่านจะทำอย่างไร?”
หนานกงฉี่ลอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ทว่ายังคงแย้มยิ้มแบบไม่มีอะไร “ก็แค่เดินกลับ คุณหนูยวี่ เชิญ...”
คำว่า ‘เชิญ’ ในยามนี้กับคำว่า ‘เชิญ’ เมื่อครู่นี้ดังเข้ามาในหูของเหนียนยวี่แล้ว รู้สึกแตกต่างกันอย่างยิ่ง ฟังแล้วรู้สึกมีความสุขเป็พิเศษ
“เช่นนั้น เหนียนยวี่ก็ไม่ปฏิเสธ” เหนียนยวี่พยักหน้าตอบรับอย่างสุภาพให้หนานกงฉี่ รับบังเหียนมาจากมือเขาและควบขึ้นหลังม้าอย่างคล่องแคล่วว่องไว
เหนียนยวี่ที่นั่งบนหลังม้า จ้องมองหนานกงฉี่จากที่สูง เมื่อครู่นี้ยังเป็เขาที่มองนางเช่นนี้ ทว่าเพียงพริบตาเดียวเท่านั้นก็แลกเปลี่ยนตำแหน่งกันแล้ว
“คุณชายรองหนานกง เช่นนั้นเหนียนยวี่ไม่พาคุณชายไปด้วยนะ” เหนียนยวี่ค่อยๆ ยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ท่ามกลางแสงสว่างยามเช้า รอยยิ้มสดใสของนางช่างเจิดจ้า เดิมทีในใจของหนานกงฉี่อัดแน่นไปด้วยความกลัดกลุ้ม ทว่าครั้นปรายมองแวบเดียว เขากลับตกตะลึง
เหนียนยวี่ ผู้ซึ่งเคยมีท่าทีเหมือนเด็กชายอ่อนแอผอมบางผู้นั้นยังคงอยู่ในความทรงจำของเขา วันนั้นที่พบกันตรงประตูเมือง ความกล้าหาญในการตะบึงขี่ม้าไปตลอดทางของนางยังคงติดอยู่ในหัวเขา และรอยยิ้มของนางในยามนี้ราวกับทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้ จิตใจของหนานกงฉี่คล้อยตามอย่างลึกลับ แม้แต่ตัวเขาเองยังไม่สังเกตเห็น ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างแตกต่างออกไป
ยังมีฉู่ชิงอีกหนึ่งคน ผู้ซึ่งกำลังจ้องมองเหนียนยวี่อย่างเคลิบเคลิ้ม มุมปากภายใต้หน้ากากยกยิ้มเล็กน้อย ความเย็นเยียบเฉยเมยในดวงตาคู่นั่น อ่อนยวบลง แลดูอ่อนโยนนุ่มนวลขึ้น
จนกระทั่งเหนียนยวี่กุมบังเหียนและขี่ม้าออกไป ทั้งสองจึงกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง
ฉู่ชิงขมวดคิ้ว แล้วจึงนำทหารราชองครักษ์เดินหน้าต่อไป หนานกงฉี่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองทิศทางที่เหนียนยวี่จากไป ไม่รู้ว่าั์ตาคู่นั้นกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่
บนถนนหนทางเมืองชุ่นเทียน ผู้คนสัญจรไปมาค่อยๆ ทยอยเพิ่มขึ้น เหนียนยวี่ชะลอความเร็วลง ทว่ามิรู้ั้แ่เมื่อใดที่ข้างกายนางมีหนึ่งม้าหนึ่งบุรุษเพิ่มเข้ามา
เหนียนยวี่หันหน้าไปมองด้านข้างของบุรุษผู้สวมหน้ากากสีเงินผู้นั้น “ท่านแม่ทัพหลวงกำลังอู้งานอยู่หรือ?”
“ฐานะของคุณหนูยวี่นั้นสูงศักดิ์ การปกป้องคุณหนูยวี่ไปส่งที่จวนองค์หญิงใหญ่ก็เป็หน้าที่ของทหารราชองครักษ์เช่นกัน” เสียงของฉู่ชิงดังขึ้น เหนียนยวี่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขัน หน้าที่ของทหารราชองครักษ์งั้นหรือ?
เห็นได้ชัดว่า มีแค่เขา ‘แม่ทัพหลวง’ คนเดียวผู้นี้เท่านั้น มิใช่หรือ?
เหนียนยวี่ไม่กล่าวอะไร ปล่อยให้ฉู่ชิงอยู่เคียงข้างตนเอง
ทันใดนั้น ท่ามกลางผู้คนบนถนน เงาร่างในชุดเรียบง่ายของคนผู้หนึ่ง ทำให้เหนียนยวี่ชะงักงันเล็กน้อย บุรุษในชุดธรรมดาเรียบง่ายกำลังถือตะกร้ายา ข้างในมีสมุนไพรต่างๆ มากมาย และในมือของเขามีดอกไม้สีแดงสดใสสะดุดตา ดอกไม้สีแดงที่เขาถืออยู่ในมือดอกนั้นเป็ของล้ำค่าอย่างยิ่ง ขณะที่เหนียนยวี่จ้องมอง รอยยิ้มบนใบหน้านางพลันแย้มยิ้มบานสะพรั่ง
ศิษย์พี่ของนางผู้นี้ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้ เขาเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับการปรุงยา นางจำได้ว่าดอกไม้สีแดงนั้นคือสิ่งใด
สิ่งนั้นคือดอกกล้วยไม้โลหิตซึ่งจะเบ่งบานบนหน้าผา ดอกไม้มีสีแดงราวสีเื มันสามารถใช้เป็ยารักษาได้ั้แ่รากจรดลำต้น เป็ของล้ำค่ายิ่งนัก
ทว่ากล้วยไม้โลหิตจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อเก็บมาทั้งต้น ยามที่แย้มบานเท่านั้น ตอนต้นอ่อน ตอนต้นแก่ ก็เป็แค่วัชพืชไร้ประโยชน์เท่านั้น
คิดดูแล้ว ศิษย์พี่ยอมทุ่มเทความคิดจิตใจไปไม่น้อยกับกล้วยไม้โลหิตอันนี้!
ขณะที่เหนียนยวี่กำลังครุ่นคิด สายตาของนางไม่ละจากบุรุษผู้นั้นแม้เพียงวินาทีเดียว จนกระทั่งเงาร่างนั้นเดินผ่านม้าของพวกเขาไป
การกระทำและสีหน้าแววตาของนางอยู่ในสายตาของบุรุษด้านข้าง คิ้วของเขาภายใต้หน้ากากขมวดมุ่นเล็กน้อย
สายตาที่เหนียนยวี่จ้องมองบุรุษที่สวมชุดเรียบง่ายธรรมดาผู้นั้น เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ดวงตาของนาง เห็นได้ชัดว่าคือความเชื่อใจ
เชื่อใจ...
่เวลาสั้นๆ ที่พวกเขาได้รู้จัก ระหว่างนางกับเขามีอะไรหลายอย่างเกิดขึ้นมากมาย ทว่าเขาไม่เคยเห็นนางดูไว้ใจใครมากเพียงนี้มาก่อนเลย!
สัญชาตญาณบอกเขาว่า สำหรับเหนียนยวี่แล้ว การดำรงอยู่ของคนผู้นั้นมีความแตกต่างไปจากผู้อื่น
“คนผู้นั้น เ้ารู้จัก?” ฉู่ชิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม จนกระทั่งยามที่เขาถามออกไปแล้ว แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกประหลาดใจกับการกระทำของตนเอง แต่เขาก็ต้องยอมรับว่า ตัวเอง้าจะรู้ว่าคนผู้นั้นเป็ใคร และยิ่งกว่านั้น เหตุใดเหนียนยวี่จึงมีสีหน้าท่าทีว่าเชื่อใจเขา
ถ้อยคำที่ออกมาอย่างกะทันหันของฉู่ชิง ทำให้เหนียนยวี่กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ในชั่วพริบตา นางหันไปสบกับดวงตาสีดำสนิทลุ่มลึกคู่นั้น
คนผู้นั้น?
ศิษย์พี่เซียวหรานหรือ?