‘เป็สตรีที่งามเหลือเกิน’
สตรีนางนี้สวมชุดกระโปรงยาวบางสีชมพูที่ช่วยขับเน้นรูปร่างโค้งเว้าได้อย่างชัดเจน รองเท้าคู่เล็กสีดำที่นางสวมใส่ช่วยให้เรียวขาที่หลบซ่อนอยู่ใต้กระโปรงดูเรียวสวยอย่างเห็นได้ชัด
เยี่ยเฉินเฟิงเคยพบเห็นหญิงงามมาไม่น้อย แต่ต้องยอมรับเลยว่าหญิงสาวตรงหน้านี้งดงามเพียบพร้อมทั้งด้านรูปโฉมและกิริยาท่าทาง ในบรรดาสาวงามที่เขาเคยพบเจอมา คนที่พอจะเทียบเคียงกับนางได้คงมีแค่จีชิงเสวี่ย ยอดพธูอันดับหนึ่งของนครหลวงแคว้นจื่อจินเท่านั้น
แต่พอนึกถึงจีชิงเสวี่ยที่เคยหมั้นหมายกับเขาั้แ่เด็กและพร์อันสูงล้ำของนางแล้ว เยี่ยเฉินเฟิงก็ได้แต่ยิ้มเยาะตัวเอง
“เ้าเสียสติไปแล้วหรือซีหย่า ไอ้บ้านนอกนี่มันเป็มิจฉาชีพชัดๆ เ้าอย่าหลงเชื่อมันเชียวนะ” เหลียนซานจวินพูดแทรกอย่างไม่เข้าใจ
“มิทราบว่าท่านหมอชื่อแซ่ใด ได้ยินที่ท่านกล่าวเมื่อครู่ ท่านมีวิธีรักษาท่านปู่ของข้าจริงๆ หรือ?”
ใจจริงไป๋ซีหย่าก็ไม่อยากจะเชื่อหรอกว่าเยี่ยเฉินเฟิงที่อายุยังน้อยจะมีวิชาแพทย์อันยอดเยี่ยมได้ แต่เพราะนางไม่อยากละทิ้งความหวังแม้มันจะเลือนรางก็ตาม นางจึงได้ตัดสินใจไล่ตามออกมา
“ข้าแซ่เฉิน หากข้าไม่มั่นใจว่าจะรักษาได้ เ้าคิดว่าข้าจะยอมถ่อมาถึงที่นี่หรือ?” เยี่ยเฉินเฟิงที่ใช้แซ่ปลอมแสร้งทำเป็พูดจาวางมาดโอ้อวดวิชา
“จริงหรือ? ท่านหมอรักษาได้จริงๆ หรือ”
แม้ท่าทีของเยี่ยเฉินเฟิงจะดูไม่ค่อยดีนักแต่ไป๋ซีหย่านางก็ไม่ได้สนใจ พลันเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความตื่นเต้น
ไม่แปลกเลยที่นางจะดีอกดีใจขนาดนั้น เพราะ่สองสามวันมานี้มีหมอจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาที่ตระกูลไป๋อย่างไม่ขาดสาย ในจำนวนนั้นยังมีหมอหลวงที่ถูกเชิญตัวมาจากนครหลวงอีกด้วย ทว่าอาการป่วยของไป๋ซีซานแปลกประหลาดเกินไป จนแม้แต่หมอหลวงที่มีฝีมือล้ำเลิศยังเอ่ยปากว่าไร้หนทางเยียวยา
“หากไม่มีคนผู้นี้ขวางหูขวางตา ข้าก็มั่นใจถึงหกส่วน แต่ถ้ามีเขาอยู่ด้วย ข้าคงมั่นใจเพียงสองส่วนเท่านั้น” เยี่ยเฉินเฟิงปรายตามองไปทางด้านหลังของไป๋ซีหย่า เขาจงใจพูดกระทบเหลียนซานจวินที่ยืนทำหน้าไม่เป็มิตรอยู่แถวนั้น
“เ้า...”
เมื่อเหลียนซานจวินได้ยินสิ่งที่เยี่ยเฉินเฟิงพูด เขาก็โกรธจนแทบกระอักเื ไฟโทสะลุกโหมขึ้นภายในใจของเขา สีหน้ามืดครึ้มหนักยิ่งกว่าเดิม
“เ้ายังไม่ทันจะได้ตรวจวินิจฉัยอาการป่วยของท่านผู้เฒ่าก็กล้ารับปากส่งเดชเสียแล้ว เ้านี่ช่างอวดดีเสียจริงเชียว” พ่อบ้านไป๋ตั้งแง่สงสัย
เขาไม่มีทางเชื่อหรอกว่าวิชาแพทย์ของเยี่ยเฉินเฟิงจะมีฝีมือร้ายกาจกว่าหมอหลวงที่ถูกเชิญตัวมา อีกทั้งยังพาลรู้สึกว่าอีกฝ่ายต้องเป็มิจฉาชีพแน่ๆ จึงคิดที่จะขับไล่เขาออกไปให้เร็วที่สุด
“เพราะข้ามั่นใจในวิชาแพทย์ของตัวเองอย่างไรเล่า” เยี่ยเฉินเฟิงกล่าวเสียงเรียบ “จริงสิ ่หนึ่งเดือนมานี้ ทุกครั้งที่เ้าเริ่มบ่มเพาะพลังเ้าจะเกิดอาการปวดศีรษะ จุกแน่นหน้าอก จิตใจกระวนกระวายไม่สงบนิ่งใช่หรือไม่”
“เ้ารู้ได้อย่างไร?” พ่อบ้านไป๋เลิกคิ้วสูง สีหน้าดูตกตะลึง
เขาไม่เคยบอกเื่ที่ตนเองปวดแปลบกลางอก จิตใจไม่สงบตอนบ่มเพาะพลังให้ใครฟังเลย เยี่ยเฉินเฟิงยังไม่ทันได้ตรวจวินิจฉัย เขาอาศัยเพียงการมองปราดเดียวก็สรุปอาการป่วยของตนออกมาได้ เห็นได้ชัดแล้วว่าฝีมือของเขานั้นไม่ธรรมดา
“ห้วงจิตของเ้ามีพลังหยินสะสมอยู่ไม่น้อย ที่เส้นชีพจรของเ้าอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัดก็เพราะพลังหยินในร่างกายเ้ามีมากเกินไป อาการปวดหัวและจุกเสียดหน้าอกเป็เพียงขั้นแรกเท่านั้น หากเ้าไม่รีบขับพลังหยินในร่างกายออกมา เมื่อใดที่มันกัดเซาะเข้าไปในไขกระดูก มีโอกาสสูงมากที่เ้าจะต้องกลายเป็คนไร้น้ำยา”
แม้ว่าเยี่ยเฉินเฟิงจะไร้ประสบการณ์ด้านวินิจฉัยโรค แต่เขาที่ถูกบังคับให้หลอมรวมกับทักษะแพทย์จากสมองกลืนเทวะ ก็ไม่ต่างอะไรกับการขโมยวิชาความรู้จากปรมาจารย์แพทย์มาเป็ของตัวเองหรอก อาศัยประสบการณ์จากในห้วงความคิด อาการป่วยของพ่อบ้านไป๋เขามองเพียงปราดเดียวก็รู้แล้ว
“ท่านหมอ เช่นนั้นข้าต้องใช้วิธีใดขับพลังหยินออกจากร่างกายกันล่ะ?”
หลังจากถูกเยี่ยเฉินเฟิงเปิดเผยอาการป่วยด้วยการมองเพียงปราดเดียว พ่อบ้านไป๋ก็เริ่มเชื่อถือในฝีมือของเขา จึงได้พลิกลิ้นเปลี่ยนท่าทางและคำเรียกขานอีกฝ่าย พร้อมเอ่ยถามด้วยความนอบน้อม
“ตอนนี้เ้ายังคิดว่าข้าอวดดีอยู่หรือไม่?” เยี่ยเฉินเฟิงถามเสียงเรียบ
“อภัยให้ข้าด้วยท่านหมอ เมื่อครู่เป็ข้าเองที่มีตาหามีแววไม่ ขอท่านหมออย่าได้ถือสา” พ่อบ้านไป๋ก้มศีรษะโค้งหลังขออภัยด้วยความนอบน้อมและรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งที่ได้ล่วงเกินอีกฝ่ายไป
“เ้าคิดว่าการรักษาอาการาเ็ให้ผู้เฒ่าไป๋กับการรักษาอาการป่วยให้เ้า สิ่งใดสำคัญกว่ากัน?” เยี่ยเฉินเฟิงไม่พอใจท่าทีโอหังของอีกฝ่าย จึงเอ่ยถามอย่างจงใจ
“รักษาอาการของท่านผู้เฒ่าไป๋ย่อมสำคัญกว่าอยู่แล้ว ท่านหมอเชิญด้านใน”
พ่อบ้านไป๋ไม่กล้าวางท่าโอหังใส่เยี่ยเฉินเฟิงอีกแล้ว เขาเมินเฉยให้ใบหน้าถมึงทึงของเหลียนซานจวิน แล้วหันมาต้อนรับขับสู้เยี่ยเฉินเฟิงเข้าไปในคฤหาสน์เ้าเมือง ซึ่งมีสิ่งปลูกสร้างมากมายตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นที่อันกว้างขวาง
“จริงสิ ทำไมเขายังตามพวกเรามาอีกล่ะ หรือเขาจะเป็คนในตระกูลไป๋ด้วย?” เยี่ยเฉินเฟิงที่เห็นว่าชายหนุ่มในอาภรณ์หรูหรายังคงเดินตามมาติดๆ จึงแกล้งเอ่ยถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ
“ต้องขออภัยท่านหมอด้วย โปรดอย่าได้มีโทสะเลย ข้าจะไล่เขาออกไปเดี๋ยวนี้แหละ”
หลังจากได้เห็นฝีมือของเยี่ยเฉินเฟิงแล้ว ไป๋ซีหย่าก็เชื่อมั่นในความสามารถของเขาเป็อย่างมาก พลันรีบหันไปห้ามเหลียนซานจวินที่มีสีหน้าบึ้งตึงทันที “โรคของท่านปู่ข้าไม่มีอะไรน่าเป็ห่วงแล้ว เ้ารีบกลับไปเถอะ”
“ซีหย่า นี่เ้าเชื่อมันจริงๆ หรือ? มันก็แค่พวกโกหกหลอกลวง” เหลียนซานจวินพูดขึ้นอย่างมีโทสะ หากถูกไล่ตะเพิดออกจากตระกูลไป๋ไปเช่นนี้ เขายังจะมีหน้าไปพบใครได้อีกล่ะ
“เหลียนซานจวิน ที่นี่คือคฤหาสน์ตระกูลไป๋ของข้ามิใช่คฤหาสน์ตระกูลเหลียนของเ้า ถ้าเ้ายังพูดจาไม่ไว้หน้ากันอีกก็อย่ามาโกรธเคืองกันยามที่ถูกข้าโยนออกไปก็แล้วกัน” ไป๋ซีหย่าเห็นว่าเหลียนซานจวินเอาแต่พูดพร่ำไม่ยอมหยุด และเกรงว่าเขาจะทำให้เยี่ยเฉินเฟิงโกรธจนหนีกลับไป จึงกล่าวเตือนอีกฝ่ายอย่างเ็า
แม้ไป๋ซีหย่าจะไม่มั่นใจเต็มร้อยเหมือนกันว่าเยี่ยเฉินเฟิงจะรักษาอาการป่วยของท่านปู่ได้ แต่หากปล่อยให้เขาโกรธและจากไป ความหวังสุดท้ายที่มีคงดับสลายในชั่วพริบตา
“ได้ๆๆ ข้าไปก็ได้ หวังว่าเ้าจะไม่เสียใจภายหลังก็แล้วกัน”
เหลียนซานจวินพูดจบก็หันมาถลึงตาใส่เยี่ยเฉินเฟิง ก่อนจะเม้มริมฝีปากเดินออกจากจวนไปอย่างหัวฟัดหัวเหวี่ยง
“ท่านหมออย่าโมโหไปเลย หากท่านรักษาท่านปู่ของข้าให้หายดีได้ ตระกูลไป๋จะต้องตอบแทนท่านอย่างดีแน่นอน” ไป๋ซีหย่าพูดอย่างประจบประแจง ในขณะที่ลอบมองใบหน้าเรียบเฉยของเยี่ยเฉินเฟิง
“พาข้าไปพบท่านปู่ของจ้าเถอะ” เยี่ยเฉินเฟิงกล่าวเสียงเรียบ พลางเดินตามไป๋ซีหย่าไปที่ห้องโถงหลักของคฤหาสน์ ณ ที่แห่งนั้นเขาได้พบกับไป๋เจียงสุ่ยผู้เป็เ้าเมืองไป๋ตี้ พร้อมกับหมอชราชื่อดังในเมืองไป๋ตี้อีกสามคน
“ซีหย่า ท่านผู้นี่คือ?”
ไป๋เจียงสุ่ยเอ่ยถามด้วยความฉงน ในยามนี้เขาสวมชุดคลุมยาวสีน้ำเงินเข้มปักลายอสรพิษ กลิ่นอายบารมีอันน่าเกรงขามแผ่ไปทั่วร่าง ทว่าสีหน้ากลับดูกลัดกลุ้มอมทุกข์ สายตากวาดมองสำรวจเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่สะพายกล่องยาไว้ด้านหลัง
“ท่านพ่อ ผู้นี้คือท่านหมอเฉินที่จะมารักษาอาการป่วยของท่านปู่” ไป๋ซีหย่ากล่าวแนะนำ
“ท่านหมอเฉิน?” ไป๋เจียงสุ่ยเกิดอาการคิ้วกระตุกเล็กน้อย ปฏิกิริยายามแรกพบของเขาเหมือนกับพ่อบ้านไป๋ไม่มีผิด นั่นคือคิดว่าเยี่ยเฉินเฟิงเป็พวกมิจฉาชีพหลอกลวง
นั่นเป็เพราะว่าเขายังดูเด็กมากเกินไป จึงดูไม่คล้ายกับปรมาจารย์แพทย์ที่มีฝีมือล้ำเลิศ
“ข้าเห็นใบประกาศของตระกูลท่าน จึงได้มาเพื่อรักษาโรคของผู้เฒ่าไป๋”
เยี่ยเฉินเฟิงตอบอย่างเฉยชา พลางลอบสังเกตสายตาเคลือบแคลงของแต่ละคนอยู่เงียบๆ โดยไม่คิดจะถือโทษโกรธเคืองแต่อย่างใด
“เื่นี้...”
ไป๋เจียงสุ่ยเหลือบตามองหมอชื่อดังทั้งสามคน คล้ายกำลังขอความคิดเห็นจากพวกเขา
เื่นี้เกี่ยวพันถึงความเป็ความตายของบิดา ไป๋เจียงสุ่ยจึงไม่กล้าเสี่ยงที่จะตัดสินใจอะไร
“เ้าหนู รู้หรือไม่ว่าชีวิตของผู้เฒ่าไป๋สำคัญมากเพียงไร หากเ้ารักษาพลาดพลั้งไป คิดว่าจะมีปัญญาชดใช้อย่างนั้นหรือ” หมอชราผู้หนึ่งเอ่ยเตือน
“ในเมื่อข้าตั้งใจมา ข้าย่อมมั่นใจว่าเก่งกาจพอที่จะรักษาได้ ขึ้นอยู่กับท่านเ้าเมืองว่าจะยอมให้ข้าลองรักษาดูหรือไม่” เยี่ยเฉินเฟิงกล่าวตอบอย่างมีชั้นเชิง
“ท่านมั่นใจมากเพียงไร?” ไป๋เจียงสุ่ยเอ่ยถามด้วยความลังเล
“ข้ามั่นใจอยู่หกส่วน” เยี่ยเฉินเฟิงตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
“หกส่วน?” หมอชราผมขาวทั้งสามคนมองหน้าสลับกันไปมา ก่อนจะพูดจาเหน็บแนม “จะคุยโวโอ้อวดสิ่งใดก็ให้มันมีขอบเขตบ้าง ระวังเถอะ เ้าอาจจะ...”
ในตอนที่ทั้งสามคนคิดจะไล่ตะเพิดเขาออกไป ทันใดนั้น เบื้องหน้าของพวกเขาก็พลันเกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดขึ้น ซึ่งมันน่าตื่นตระหนกจนทุกคนดวงตาเบิกกว้าง อ้าปากค้าง สายตาราวกับเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น
