ชิงอีอารมณ์ไม่ดี ทั้งยังไม่อาจทนดูคนหยิ่งทะนงกว่าตนเองได้
โม่วกว่างเป็คนที่คำพูดและการกระทำตรงกัน ถึงจะไม่ได้ฉลาดล้ำ ทว่า เื่การล่วงเกินผู้อื่นก็สามารถอยู่ไม่น้อย
คนหนึ่งก็พี่สาว อีกคนก็ลูกน้อง
ฉู่จื่ออวี้ไม่แปลกใจเลยที่ทั้งสองคนจะไม่ลงรอยกัน นอกจากนี้ ต้องโทษบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่น่ารำคาญที่สั่งโม่กว่างไปตำหนักเชียนชิว โดยไม่ไตร่ตรองให้ดี หากส่งคนปากหวานไป มันอาจไม่วุ่นวายแบบนี้ก็ได้
เพียงแต่ความคิดมีก่อนที่เขาจะได้ยินคำขอรับโทษของโม่วกว่างเท่านั้น
“ข้าสั่งให้เ้าไปจับแมวตัวนี้มา เ้ากล้าดีอย่างไรถึงชักกระบี่ภายในตำหนักเชียนชิว!” ฉู่จื่ออวี้โกรธเป็อย่างมาก จนเดินเข้าไปถีบหน้าอกของโม่วกว่าง
โม่วกว่างกัดฟันโดยไม่เอ่ยอะไร ทว่า หลังจากโดนถีบ ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ไม่อาจทนเอาไหว จึงกระอักเืออกมา จนกระเด็นไปโดนรองเท้าของฉู่จื่ออวี้
สิ่งนี้ทำให้องค์รัชทายาทถึงกับชะงักไป แม้ว่าเขาจะโกรธ แต่การเตะเมื่อครู่ไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมดเสียหน่อย เหตุใดเด็กคนนี้ถึงกระอักเืได้เล่า? หากมีสมรรถภาพทางกายเช่นนี้ยังเป็รองผู้บัญชาการของราชองครักษ์ได้อีกหรือ?
“ไสหัวออกไปซะ ทำโทษตัวเองโดยการถูกโบยห้าสิบครั้ง!”
“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอบคุณองค์รัชทายาทที่ทรงมีเมตตาพ่ะย่ะค่ะ” โม่วกว่างทำความเคารพ แล้วเดินออกไป
โบยห้าสิบครั้ง คนธรรมดาเกรงว่าแค่ครึ่งหนึ่งก็คงตายก่อนที่จะรู้สึกเจ็บ โม่วกว่างที่เป็คนที่ฝึกวิทยายุทธ์ แม้ว่าเขาจะผ่านความทรมานมาได้ กระนั้น คงต้องนอนทรมานอยู่บนเตียงเป็เวลาอย่างน้อยสิบเดือนกว่า
หลังจากที่ฉู่จื่ออวี้สั่งลงโทษโม่วกว่างแล้ว พบว่าเห็นชิงอียังคงนิ่ง สีหน้าของเขาก็ไม่ดีขึ้นเลย และคิดว่านางคงรู้สึกว่าการลงโทษเท่านั้นยังไม่เพียงพอ จึงเม้มปากแล้วพูดว่า “โม่วกว่างเป็คนมุทะลุบุ่มบ่าม แต่เขานิสัยดี ตระกูลโม่วเองก็สร้างคุณูปการมาหลายชั่วอายุคน...”
เขาได้ยินเื่ของหวังฮู่และคนอื่นๆ เลยรู้ว่าโม่วกว่างคงโกรธเกรี้ยวอยู่ไม่น้อย ในทางกลับกัน ฉู่จื่ออวี้เองก็ใเล็กน้อยกับความโหดร้ายของพี่หญิง
ความยโสโอหังกับความกล้าในการสังหาร สองสิ่งนี้ต่างกัน
ครั้งนี้โม่วกว่างทำร้ายนาง...
ฉู่จื่ออวี้ยังคงหวงแหนพร์ของโม่วกว่างอยู่บ้าง หลังจากพูดคุยกับชิงอีอยู่นาน แต่นางยังคงไม่ตอบสนองอะไร เขาจึงขมวดคิ้วและพูดว่า “หวังฮู่เคยเป็อาจารย์ของเขาในราชองครักษ์มาก่อน ดังนั้น...”
“เ้าพร่ำเื่ไร้สาระจบหรือยัง?” ชิงอีถามเขาอย่างเ็า
ฉู่จื่ออวี้คล้ายว่ากำลังทะเลาะกับฝาผนัง ไม่ว่าจะพูดอะไรไป นางก็ไม่ตอบสนองสักอย่าง จึงอึดอัดใจมาก จนสีหน้าดูแย่ลงทันที
บรรยากาศภายในท้องพระโรงดูเคร่งเครียด พวกชิวอวี่ที่รออยู่ข้างนอกก็กังวลไม่ต่างกัน
“ปิดประตู!” ฉู่จื่ออวี้ะโ เหล่าข้าหลวงก็รีบไปปิดประตู
เขาไพล่หลัง เดินไปที่เก้าอี้หน้าโต๊ะอย่างหงุดหงิด ก่อนจะทรุดตัวลงนั่ง จากนั้นจึงขมวดคิ้วมองนาง “ก็แค่สัตว์ร้ายตัวเดียว ท่านต้องโกรธเป็ฟืนเป็ไฟขนาดนี้เลยหรือ?”
มีสัตว์ร้ายบางตัวโกรธ แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา เลยยืนนิ่งๆ อย่างเหี่ยวเฉาอยู่ข้างๆ
“เ้าอยากฆ่าสัตว์เลี้ยงของข้างั้นหรือ?” ชิงอีมองเขาด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์
ฉู่จื่ออวี้หงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ “ท่านไม่ได้ยินข่าวลือในวังหลวง่นี้เลยหรือไร? ครอบครัวของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักต่างเจอเื่แปลกๆ และตอนนี้พวกเขาต่างชี้มาที่เ้าแมวที่ท่านเลี้ยงไว้ ท่านคิดว่าเมื่อครู่พวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่นั่นมาหาข้าทำไมกัน?” พูดจบเขาก็หยิบม้วนฎีกาที่พับไว้ข้างโต๊ะมาโยนลงบนโต๊ะ “ทั้งหมดคือท่านไงละ! บอกว่าท่านเลี้ยงสิ่งชั่วร้ายเอาไว้ในวัง ้าให้ท่านถูกลงโทษด้วยการขับไล่ออกจากวัง!”
สีหน้าของชิงอียังคงสงบ นางสืบเท้าอ้อมโต๊ะไป จนไปอยู่ตรงหน้าฉู่จื่ออวี้
ฉู่จื่ออวี้ทั้งโกรธ ทั้งเคลือบแคลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าการที่นางคิดจะทำอะไรถึงได้เข้ามาใกล้ขนาดนี้
วินาทีถัดมา เขาถูกชิงอีถีบลงออกจากเก้าอี้
“ข้ายืนพูดจนเบื่อแล้ว เ้าลงไปคลายร้อนตรงนั้นหน่อยดีกว่า”
ฉู่จื่ออวี้ล้มก้นกระแทกพื้นและตะลึงงันไป ก่อนที่ความโกรธจะพุ่งทะยานจนแทบะเิ เมื่อเขาลุกขึ้นมาก็เห็นนางเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน ทั้งสองขายกขึ้นวางไว้บนโต๊ะ ในมือก็ฎีกาที่ขุนนางเขียนถึงนางขึ้นมาอ่าน
“รองเสนาบดีประจำกรมพิธีการ เสนาบดีกรมพระคลัง ป๋อหยวนโฮ่ว...อืม ขุนนางศาลหลวง ในที่สุดก็มีสมาชิกของพรรคตู้ด้วยสินะ เื่ที่เกิดขึ้นในตระกูลนั่น อยู่ภายใต้คำสั่งของเ้าทั้งหมดหรือไม่?”
ฉู่จื่ออวี้ที่้าดุนาง ทว่า เมื่อได้ยินเื่นี้ ความโกรธพลันจางหายไป
“ท่านรู้เื่ของรัชสมัยก่อนได้อย่างไร?”
สายตาของชิงอีที่มองเขาเต็มไปด้วยการเยาะเย้ย หากนางอยากรู้เื่เหล่านี้มันจะไปยากอะไรกัน?
“สุนัขของตนเองก็ควบคุมไม่ได้ องค์ชายอย่างเ้านี่ ช่างงามหน้าเสียจริง”
ฉู่จื่ออวี้ที่เกือบจะสำลักออกมา นี่มันเื่เดียวกันหรือไม่? พวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่นั่นดีกว่าจิ้งจอกเฒ่านั่นเสียอีก อีกอย่างมันไม่ง่ายเลยที่จะจัดการกับเื่นี้ พวกเขายังเป็เหยื่อของเื่นี้อีกด้วย
ด้านหนึ่งก็ขุนนางที่สนับสนุนตน อีกด้านก็พี่หญิงของตัวเอง
ฉู่จื่ออวี้ที่อยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากผู้เฒ่าเ่าั้รู้เื่ที่ชิงอีใช้คาถาเซวียนเหมินละก็ เช่นนั้นคงรับมือยากยิ่งกว่า ตอนนี้เื่คนชั่วในวัดตงหวายังไม่ได้รับการสอบสวน ช่างเป็่เวลาที่เปราะบางเสียเหลือเกิน
ฉู่จื่ออวี้ไม่อยากให้ชิงอีมีส่วนร่วมในการต่อสู้ในราชสำนัก จากที่ดู เ้าแมวอ้วนก็เป็แค่สัตว์ร้ายตัวหนึ่ง หากการฆ่ามันแล้วสามารถปกป้องชิงอีได้ เขาก็ยินดีที่จะทำ
แต่ใครจะคิดล่ะว่า...
“เ้าคิดว่าการฆ่าเ้าแมวอ้วน จะทำให้ความโกรธของสุนัขรับใช้พวกนั้นหายไปได้งั้นหรือ?” สีหน้าของชิงอีเริ่มแสดงความดูถูกมากขึ้นเรื่อยๆ
ฉู่จื่ออวี้เม้มริมฝีปากแน่น นี่เป็วิธีที่เขาคิดออก เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน เขาเองก็รู้ดีว่าหากไม่กำจัดโรคแปลกๆ นั่นต่อให้เ้าแมวอ้วนจะถูกฆ่าตาย พวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่ก็ไม่ยอมอยู่ดี
ฉู่จื่ออวี้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ และพูดว่า “หมอหลวงในวังต่างไปดูกันมาหมดแล้ว และไม่สามารถระบุได้ว่าโรคนี้คืออะไร ข้าได้ยินว่าจวนทั้งหลายเ่าั้ต่างให้นักบวชลัทธิเต๋าไปดูเป็การส่วนตัว ทว่า ก็ไม่อาจหาวิธีการรักษาเช่นกัน”
ชิงอีมองเขา พลางครุ่นคิดครู่หนึ่ง เด็กคนนี้ยังอ่อนต่อโลกเกินไป
เอาเถอะ
ปัญหามาท้าทายถึงหน้าประตูขนาดนี้ หากนางไม่ได้ตบหน้ากลับไป เช่นนั้นนางก็ไม่ใช่นางมารร้ายแห่งปรโลกน่ะสิ เอ๊ย! ราชินีแห่งปรโลกน่ะสิ!
“เื่ควบคุมบรรดาสุนัขรับใช้พวกนั้น ข้าให้เ้าจัดการก็แล้วกัน ที่เหลือปล่อยเป็หน้าที่ข้า”
ฉู่จื่ออวี้พูดด้วยความประหลาดใจ “ท่านจะไปรักษาญาติของพวกเขาด้วยตนเองงั้นหรือ? ไม่ได้นะ! หากเกิดมีคนรู้เื่วิชาเซวียนเหมินของท่าน...”
“แค่เปลี่ยนสถานะ มันไม่พอหรอกนะ”
ชิงอีกลอกตา “ข้าตัดสินใจแล้ว”
ฉู่จื่ออวี้มองนางอย่างไร้คำพูดใดๆ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เ้าแมวอ้วนข้างๆ จากนั้นก็ขมวดคิ้ว และพูดว่า “เ้าแมวตัวนี้สำคัญขนาดนั้นเลยหรือ? เพื่อมันแล้ว ท่านถึงยอมเผชิญปัญหาเช่นนี้”
ชิงอีเหลือบมองเ้าแมวอ้วน “ก็แค่สัตว์เดรัจฉานเท่านั้น จะไปสำคัญอะไรละ”
และยังเป็เพียงสัตว์เดรัจฉานที่ไม่เข้าใจกฎระเบียบ
หูของแมวอ้วนยิ่งลู่ลงกว่าเก่า แววตามีความเ็ปอยู่เล็กน้อย
“ถ้าไม่สำคัญ เหตุใดท่านถึงต้องโกรธขนาดนี้ด้วยล่ะ?”
ฉู่จื่ออวี้ไม่เข้าใจนางเลยจริงๆ
ชิงอีพลิกดูฎีกาบนโต๊ะครู่หนึ่ง ทันใดนั้น ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “เ้าสุนัขผู้ซื่อสัตย์ที่ชอบออกความเห็นไร้ประโยชน์ของเ้าไปอยู่ไหนเสียล่ะ?” ราชสำนักวุ่นวายขนาดนี้ คิดไม่ถึงว่าเ้าหนุ่มน้อยผู้นั้นจะไม่ตอบสนองอะไรเลยแม้แต่น้อย หากเป็ฝีมือของเขาละก็ เด็กน้อยนี่คงไม่ตื่นตระหนกใจนทำอะไรไม่ถูกแบบนี้หรอกใช่ไหม?
ฉู่จื่ออวี้ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะเข้าใจว่านางกำลังพูดถึงเซียวเจวี๋ย การแสดงออกของเขาจึงยิ่งแปลกมากขึ้น “พี่ใหญ่เซียวลาพักร้อน อาการาเ็เก่าๆ ของเขากำเริบ ยามนี้กำลังพักฟื้นอยู่ที่จวน ท่านไม่รู้หรือ?”
หนุ่มน้อยนั่นป่วยงั้นหรือ?
ชิงอีไม่รู้จริงๆ หลังจากวันนั้นที่เขาไปจากตำหนักเชียนชิว พวกเขาก็ไม่ได้พบกันอีกเลย
ชิงอีโยนฎีกาลงบนโต๊ะ และพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “เ้านายยุ่งจนไม่ได้ออกไปเปิดหูเปิดตา มีที่ไหนกันที่ให้ทาสได้พัก? ถ้ายังไม่ตายก็ให้เขามาทำงานสิ!”
ฉู่จื่ออวี้ : “...”
ทาสผู้นั้นอาจเป็สามีในอนาคตของท่านก็ได้นะ...
