เสียงเครื่องปรับอากาศในคอนโดสูงของประเทศสิงคโปร์ยังคงเย็นเงียบราวกับลมหายใจของใครบางคนที่เพิ่งดับ
ไป วีวี่ วรรษมน จันทรโรจน์ ใบหน้ารูปไข่ผิวขาวซีดแต่ดวงตาคมเข้ม ผมตรงยาวดำ ถึงกลางหลัง รูปร่างสูงโปร่ง นั่งนิ่งบนโซฟาตรงหน้าต่างเปิดกว้าง มองออกไปเห็นแสงไฟเมืองไกลสุดตา ทว่าใจของเธอกลับหม่นหมองเหมือนฟ้ายามค่ำ
เสียง “ติ๊ง!” จากมือถือกระตุกเธอให้กลับมารู้สึกถึงตัวหนังสือที่
ปรากฏบนหน้าจอคือชื่อ ป้าเพ็ญ หญิงมีอายุ รูปร่างสันทัด ผมสีดอกเลาหยักศกเล็กน้อย กับข้อความที่เหมือนลางร้าย
วีวี่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
แต่สุดท้ายปลายนิ้วก็เลื่อนรับสายด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
“วีวี่ ป้าเพ็ญเองนะลูก”
เสียงปลายสายนั้นสั่นสะท้าน ราวกับคนพูดต้องใช้แรงทั้งหมดในร่างกาย
“ป้าเพ็ญ ดึกขนาดนี้ มีอะไรหรือเปล่าคะ” เสียงของวีวี่แม้จะพยายามสงบ แต่ในใจกลับร้อนรุ่มคล้ายจะรู้ล่วงหน้าว่าต้องได้ยินอะไรบางอย่าง แม้จะไม่อยากได้ยินก็ตาม
“คุณยาย ลูก คุณยายเขา ไปแล้วนะ”
โลกทั้งใบหยุดนิ่ง
ภาพทุกอย่างรอบตัวพร่ามัว
เสียงนาฬิกาในใจเหมือนถูกหยุดเดิน
“อะไรนะคะ ป้าเพ็ญพูดใหม่อีกที”
เสียงวีวี่แ่ลงจนแทบไม่ได้ยิน
“คุณยายหลับไป ไม่ตื่นอีกเลย ป้าก็อยู่ด้วย ป้าพยายามปลุก แต่ คุณยายเขายิ้มก่อนจะหลับไป”
เสียงสะอื้นนั้นเหมือนลมหนาวตัดใจ
วีวี่กัดริมฝีปากแน่น พยายามข่มน้ำตา แต่ก็ไร้ผล
“แต่ แต่ทำไม ทำไมหนูถึงไม่รู้ข่าวเร็วกว่านี้ หนู หนูยังไม่ได้กลับไป หนูยังไม่ได้กอดคุณยายเลย ป้าเพ็ญ ป้าบอกหนูทีว่ามันไม่จริง”
“คุณวีวี่ ยายเขารอหนูทุกวัน ยายถามถึงหนูตลอด แต่เขาก็เข้าใจ เขารู้ว่าหลานตั้งใจทำงาน ท่านก็คงไม่คิดว่าจะจากไปก่อนที่คุณวีวี่จะกลับมาเยี่ยม”
“ป้าเพ็ญ หนูอยากกลับไป หนูอยากเจอคุณยาย หนู หนู”
เสียงของวีวี่ขาดหาย น้ำตาร่วงเงียบ ๆ
ภาพอดีตผุดขึ้นในหัว — มือเหี่ยวย่นของคุณยายลูบศีรษะในวันที่เธอร้องไห้ กลิ่นข้าวต้มปลาอ่อน ๆ ยามเช้า เสียงหัวเราะแ่เบาในวันฝนตก
“ยายรักหลานมากนะวีวี่ ยายอยากให้หลานอย่าโทษตัวเอง ยายจะเป็คนดูแลหนูเองแทนแม่และพ่อของหนูยายจะมอบความรักให้วีวี่ของยายเยอะ ๆ เลยนะ”
“แต่หนู หนูทำไม่ได้ ป้าเพ็ญ หนูไม่อยากให้มันเกิดขึ้นเลย ถ้าหนูรีบกลับไปเร็วกว่านี้ ถ้าหนูไม่มัวแต่ยุ่งกับงาน”
เสียงสะอื้นของเธอผสานกับเสียงสะอื้นของป้าเพ็ญ
ในค่ำคืนของสิงคโปร์ที่เต็มไปด้วยแสงไฟ
วีวี่กลับรู้สึกมืดมนราวกับห้องทั้งห้องไร้แสง
เธอล้มตัวลงกับโซฟา กอดหมอนข้างแน่น น้ำตาซึมแห้งเปรอะเลอะไปทั้งใบหน้าขาวซีด
หมอนข้างเปียกชื้นด้วยหยาดน้ำตา
หัวใจของหญิงสาวร้าวรานจนเจ็บไปทั้งร่าง
มีเพียงเสียงลมหายใจที่สะดุดขาดห้วงและประโยค
แ่เบา
“หนูขอโทษ ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้น”
ในความเงียบ
วีวี่รู้สึกเหมือนถูกทิ้งไว้ในโลกที่ไม่มีใคร
ความเสียใจค่อย ๆ กลืนกินเธอทีละน้อย ราวกับจะกลายเป็เศษเถ้าฝุ่นล่องลอยในอากาศ
‘คุณยาย หนูขอโทษ’
เสียงในใจดังแ่คล้ายเสียงลม
ภาพความหลังย้อนกลับมาพร้อมกลิ่นข้าวต้มและอ้อม
กอดอุ่น ๆ ที่ไม่มีวันกลับมา
วีวี่ร้องไห้ ทั้งที่พยายามเข้มแข็ง
แต่ในค่ำคืนนี้ เธอคือเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ที่สูญเสียโลกทั้งใบอีกครั้ง
แสงอาทิตย์ยามเช้าตรู่ที่สิงคโปร์ไม่ได้อบอุ่นอย่างที่เคย
เมื่อชีวิตของวีวี่ ถูกทิ้งไว้กับความรู้สึกผิดที่กัดกินหัวใจ
เธอไม่ได้นอนเลยตลอดทั้งคืน
ในขณะที่แสงไฟริมถนนค่อย ๆ มอดดับลง วีวี่นั่งกอดเข่ากับพื้นห้อง ปล่อยให้ความมืดกลืนกิน
ดวงตาบวมช้ำเพราะน้ำตาที่ไหลไม่หยุด
ทุกวินาทีที่ผ่านไปเหมือนมีใครเอามีดเล่มเล็กมากรีดซ้ำ
ในหัวใจ — เฉียบแหลมแต่ไร้เสียง
“ถ้าฉันกลับบ้านเร็วกว่านี้ ถ้าฉันไม่อ้างว่างานยุ่ง ถ้าฉัน”
ประโยคที่ไม่สมบูรณ์วนซ้ำในหัว วนจนเวียนหัว
วีวี่ลุกขึ้น กวาดสายตามองตั๋วเครื่องบินที่ยังไม่ได้ใช้ซึ่งวางนิ่งอยู่
ข้างแล็ปท็อป
ใบจองตั๋วกลับไทยสำหรับอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า
ช่างโหดร้าย — ชีวิตไม่เคยรอใคร
มือถือสั่นขึ้นอีกครั้ง ข้อความจากป้าเพ็ญ
“ไม่ต้องห่วงเื่ที่บ้าน ป้าจัดการทุกอย่างเอง ถ้ากลับมาเที่ยวบินไหนแจ้งป้านะคะ ป้าจะไปรับเอง”
วีวี่กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
เธอกดโทรศัพท์กลับไปหา แต่ไม่มีใครรับสาย
มีเพียงเสียงตอบรับอัตโนมัติที่ดังซ้ำ ๆ
“หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”
เธอขดตัวอยู่บนโซฟา เหม่อมองภาพถ่ายครอบครัวเก่า ๆ ที่ติดอยู่ในสมุดบันทึก
ภาพเด็กหญิงวัยหกขวบกอดคุณยายอมรา หญิงชราใบหน้าอิ่ม ยิ้มสวย รูปร่างสมส่วน ผมสั้นทัดหูสีขาวแซมดำ ไว้แน่น
ภาพนั้นสดใส — แต่ในวันนี้สีสันทุกอย่างหม่นลง
วีวี่ซบหน้ากับฝ่ามือ
เสียงสะอื้นพร่าดังขึ้นในห้องที่ไม่มีใครได้ยิน
ใจของเธอเต็มไปด้วย “ถ้า”
เต็มไปด้วย “ทำไมฉันถึงไม่อยู่ตรงนั้น”
เสียงในใจของเธอดังก้อง
“วีวี่ หลานรัก ยายอยู่ตรงนี้เสมอ”
“แต่ยายคะ หนูขอโทษ หนูอยากอยู่ข้างยาย หนูอยากบอกลา”
“อย่าร้องไห้นะลูก ยายรักหลานมาก รักเสมอไม่ว่าอยู่ที่ไหน”
ในความเงียบ วีวี่ได้แต่พร่ำขอโทษกับความว่างเปล่า
น้ำตาเปื้อนหมอนสีขาว
เวลาเดินช้า ๆ อย่างทรมาน
เครื่องบินหลายเที่ยวบินทะยานผ่านหน้าต่างสูง
แต่เธอไม่เหลือแม้แต่แรงจะซื้อตั๋ว หรือสติที่จะประคองเอาไว้ได้ การสูญเสียที่เธอไม่คาดฝันนี้ ทำให้ความเป็หญิงแกร่งของเธอ ถูกแทนที่ด้วยความอ่อนไหวในทุกสิ่ง
มีเพียงความเสียใจและความคิดถึงที่ทับถมจนแน่นอก
ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง โลกของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล
หญิงสาวนั่งนิ่งจนฟ้าสาง
หัวใจร้องไห้กับสิ่งที่ไม่มีวันได้พบอีก
เธอประคองสติทั้งหมดที่มีเอื้อมหยิบโทรศัพท์อีกครั้ง
เปิดรูปคุณยายอมราที่เคยยิ้มอ่อนโยน
“ยายคะ หนูจะรีบกลับไปหา อย่าน้อยให้หนูได้ลาคุณยายเป็ครั้งสุดท้าย”
เสียงแ่เบาราวกระซิบกับอดีตที่ไม่มีวันหวนกลับ
และใกล้รุ่งวันต่อมา
ชีวิตของวีวี่เปลี่ยนไป
เธอรู้สึกถึงหลุมดำในหัวใจ หลุมที่ไม่ว่าเวลาหรือความสำเร็จใด ๆ ก็ไม่อาจเติมเต็ม
การจากลาที่ไม่มีวันได้กล่าวลา
และคำว่า “เสียใจ” ที่ไม่มีใครช่วยปลดปล่อยนอกจากตัวเอง
เสียงล้อกระเป๋ากลิ้งไถลไปบนพื้นสนามบินชางงี
วีวี่ก้าวผ่านผู้คนมากมายในโถงผู้โดยสารขาออก
เธอสวมแว่นกันแดดบังตาบวม ๆ ทั้งที่ยังเช้ามาก ๆ
แต่ก็ปิดซ่อนไม่มิดรอยแดงช้ำและน้ำตา
ในมือถือเอกสารการเดินทาง อีกมือกำโทรศัพท์แน่น
มีแชทล่าสุดจากป้าเพ็ญที่เปิดวนอ่านซ้ำ
“เดินทางปลอดภัยนะคะ”
ข้อความนั้นสั้น แต่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี
เธอเดินไปต่อแถวเช็คอิน
เสียงประกาศภาษาจีนและอังกฤษคลออยู่รอบตัว
กระเป๋าเดินทางที่ใส่เพียงเสื้อผ้าชุดสีดำ โดยไม่เตรียมอย่างอื่นที่มีสีสรรมามากนัก
ทุกวินาทีที่ต่อคิวและเดินผ่านจุดตรวจ
วีวี่ได้แต่ภาวนาให้เวลาหมุนถอยหลังหรืออย่างน้อยก็วิ่ง
ให้เร็วขึ้นเพื่อเธอจะได้กลับไปทันกล่าวลา
ภายในห้องรับรองขาออก
เธอหยิบโทรศัพท์มาดูรูปภาพเก่า ๆ
รูปถ่ายกับคุณยายในวันสงกรานต์เมื่อสิบกว่าปีก่อน
รอยยิ้มในรูปตรงกันข้ามกับใบหน้าตัวเองที่กำลังร้องไห้
เสียงประกาศ boarding
เที่ยวบินเช้าสุดของวัน
เธอเดินขึ้นเครื่อง รู้สึกเหมือนตัวเองลอยคว้างกลางอากาศ
เบาะชั้นประหยัดที่เคยนั่งสบาย
กลับกลายเป็พื้นที่ที่แสนจะอึดอัด
เธอวางหัวพิงหน้าต่าง เครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ามืด
ไฟในห้องโดยสารหรี่ลง
ผู้โดยสารข้าง ๆ หลับไป ด้วยไฟล์บินที่เช้ามาก
แต่วีวี่นั่งกอดอก น้ำตาไหลเป็ทางในความเงียบ
เสียงเครื่องยนต์เครื่องบินและเสียงหัวใจของตัวเองกลบเสียงอื่นหมดสิ้น
หญิงสาวนั่งนึกถึงเสียงอบอุ่นของคุณยาย
คำพูดที่วนเวียนในความทรงจำ
“ถึงยายจะไป ยายก็ยังรักหลานเสมอ”
เธอเม้มปากแน่น พยายามไม่ร้องออกมา
แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้ให้กับความคิดถึงที่เอ่อล้น
“คุณยาย หนูกำลังกลับบ้าน ไปหาคุณยายนะ”
เวลาบนเครื่องเหมือนยืดยาวไม่มีที่สิ้นสุด
แสงจากพระอาทิตย์หน้าต่างบอกว่าใกล้ถึงสุวรรณภูมิแล้ว
มือของเธอเย็นซีด
ยามสาย ณ สนามบินสุวรรณภูมิ
วีวี่เดินออกจากเครื่องในชุดดำ
กระเป๋าเดินทางลากตามหลัง ท่ามกลางผู้โดยสารขวักไขว่
เธอหยุดยืนกลางโถงรับกระเป๋า
ที่เธอเคยมีคุณยายมารอรับ
แต่ตอนนี้คงไม่มีวันนั้นแล้ว
วีวี่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหมายเลขของป้าเพ็ญ
ลังเลว่าควรโทรหาเลยไหม
น้ำตารื้นขณะกดโทรออก
ปลายสายรับเร็วผิดปกติ
“วีวี่ ถึงแล้วหรือยังลูก”
เสียงป้าเพ็ญฟังดูแหบพร่า
“ถึงแล้วค่ะป้าเพ็ญ ขอบคุณที่มารอรับหนูนะคะ”
น้ำเสียงวีวี่สั่นสะท้าน
“ไม่เป็ไรลูก ป้ารออยู่ที่หน้าประตูทางออกหมายเลข 2 นะ”
วีวี่พยักหน้ากับโทรศัพท์
ขยับขาออกเดินทั้งที่หัวใจยังไม่พร้อม
ผู้คนมากมายเดินผ่าน
แต่มีเพียงความว่างเปล่าเคียงข้างเธอ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้