บทที่ 43 สตรีผู้นั้น
ได้ยินโม่เต้าจื่อพูดเช่นนั้น ในหัวของฉินชูก็ผุดภาพสตรีผู้หนึ่งขึ้นมา มาดสูงส่งน่าเกรงขาม สวยงามหมดจด
ครั้งนั้นเขาพบกับนางตอนที่ทะเลาะกับหลิ่วเจ๋อด้านนอกหอคุณูปการบนยอดเขาหลัก สตรีผู้นี้เป็ผู้ที่ออกมาห้ามปราม นางมีนามว่า ‘ซั่งซูอวี๋’
“เ้ารู้จัก?” เห็นฉินชูเงียบไป โม่เต้าจื่อจึงเอ่ยถาม
ฉินชูพยักหน้า “ศิษย์เคยเจอนางครั้งหนึ่งขอรับ”
“นางสามารถปลุกเจตจำนงดั้งเดิมแห่งวิถีกระบี่ได้แล้ว หรือพูดง่ายๆ ก็คือนางเข้าถึงวิถีกระบี่ขั้นเจี้ยนอี้ได้แล้ว ทำให้แสนยานุภาพของวิชากระบี่ของนางเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ แม้เ้าจะบรรลุวิถีกระบี่ขั้นเจี้ยนหลิงได้ก็จริง แต่พื้นฐานพลังปราณของเ้ายังไม่อาจเทียบเท่านางได้ ดังนั้นเ้าต้องพยายามฝึกฝนให้มากกว่านี้” โม่เต้าจื่อเตือนฉินชู
“ท่านาุโขอรับ ศิษย์ขออนุญาตถาม ต้องทำเยี่ยงไรถึงจะสามารถเข้าถึงเจตจำนงดั้งเดิมแห่งวิถีกระบี่ได้” ฉินชูรู้สึกว่าวิถีกระบี่ขั้นเจี้ยนอี้ทรงพลังที่สุด หากสามารถเข้าถึงได้คงดีไม่น้อย
โม่เต้าจื่อเงียบอยู่พักหนึ่ง “การบรรลุวิถีกระบี่ขั้นเจี้ยนหลิงได้จำเป็ต้องมีพลังจิต นอกจากท่านบรรพชนผู้ก่อตั้งสำนักแล้ว มีเพียงข้ากับเ้าเท่านั้น แต่ถึงแม้ข้าจะมีพลังจิตมากแค่ไหน ก็ยังไม่มากพอที่จะหยั่งถึงเจตจำนงแห่งวิถีกระบี่ได้ ชะตาชีวิตของข้าได้คลาดวาสนากับเจตจำนงแห่งวิถีกระบี่ไปแล้ว ทว่าเ้ากลับมีหวัง ข้าเชื่อว่าเ้าทำได้ แม้ผู้ที่สามารถหยั่งถึงเจตจำนงแห่งวิถีกระบี่ในสำนักชิงหยุนจะมีไม่มาก แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มี”
“ศิษย์ผู้น้อยเข้าใจแล้วขอรับ จะไม่ทำให้ท่านาุโผิดหวัง” ฉินชูประสานมือคารวะโม่เต้าจื่อ
“ข้าเห็นความมั่นใจในตัวเ้า ส่วนเื่ชาติกำเนิดของเ้า เมื่อฤกษ์ยามอันสมควรมาเยือน ข้าจะช่วยเ้าย้อนนิมิตเอง ตอนนี้ฤกษ์ยามยังไม่ประจวบเหมาะ ่เวลาที่กำลังรอคอยฤกษ์ยามอันสมควรมาเยือน เป็เวลาที่เ้าต้องพัฒนาขัดเกลาตัวเอง” โม่เต้าจื่อบอกฉินชู
ฉินชูลุกขึ้นโค้งคำนับโม่เต้าจื่อ เขาััได้ถึงความจริงใจที่โม่เต้าจื่ออยากจะช่วยเขา
โม่เต้าจื่อไม่พูดอะไรอีก หลังจากฉินชูประสานมือคำนับโม่เต้าจื่ออีกครั้ง ก็หันหลังออกจากศาลาที่พักไป
เดินออกมาได้สักพัก โม่เต้าจื่อก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าฉินชูไม่เอ่ยปากพูดเื่แต้มคุณูปการหนึ่งแสนแต้มที่ติดค้างเลยสักคำและไม่บอกว่าจะคืนเมื่อใด
หลังจากออกจากที่พักของโม่เต้าจื่อมา ฉินชูก็ไปแลกโอสถหนิงหยวนมาสองสามขวดและยังแลกโอสถเจินหยวนมาจำนวนหนึ่ง แต่ตอนนี้เขายังใช้ไม่ได้ แค่เตรียมพร้อมสำหรับการบรรลุขั้นที่สามในเร็ววันนี้เท่านั้น
หลังจากกลับมาถึงผาหินตัด ฉินชูก็เริ่มฝึกวิชากระบี่ต่อ เขาชินกับการฝึกวิชากระบี่ตอนกลางวันและเข้าฌานบ่มเพาะพลังปราณตอนกลางคืน
ในขณะเดียวกัน ไป๋อวี้ก็กำลังพยายามฝึกตนอยู่เช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาแลกตำรากระบี่มาหนึ่งเล่ม แม้พลังจะไม่รุนแรงเท่าเคล็ดกระบี่กายสิทธิ์ของฉินชู แต่ก็เป็ท่าไม้ตายที่คุ้มค่ากับแต้มคุณูปการที่สูงถึงแปดหมื่นแต้ม
เพียงชั่วพริบตา เวลาสองสามวันก็ผ่านไป วันนี้เหยียนอี้แวะมาที่หอศิษย์รับใช้เพื่อมาหาฉินชูและไป๋อวี้
“หอศิษย์รับใช้... ั้แ่มาถึงยอดเขาชิงจู๋ ก็เลื่อนขั้นไปเป็ศิษย์สายหลัก เป็เวลาร่วมสิบปีแล้วที่ไม่ได้มาที่หอศิษย์รับใช้ แต่ปีนี้กลับมาบ่อยถึงสองสามครั้งภายในปีเดียว” หลังจากออกจากหอศิษย์รับใช้ เหยียนอี้ก็พึมพำอยู่กับตัวเอง
“หอศิษย์รับใช้ไม่ได้แย่เหมือนที่ทุกคนคิดขนาดนั้นเสียหน่อย” ฉินชูพูดขึ้น
เหยียนอี้หันกลับมามองฉินชู “ถ้าไม่มีเ้า ที่นี่ก็เป็ได้แค่หอศิษย์รับใช้ในนิยามแบบเมื่อก่อน ก่อนหน้านี้ ศิษย์รับใช้ที่นี่ไม่มีความคิดจะพัฒนาตัวเอง ก็แค่ใช้ชีวิตไปวันๆ แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว”
ฉินชูไม่โต้แย้งคำพูดของเหยียนอี้แต่อย่างใด เพราะเป็เื่จริง ตอนที่เขาเพิ่งมาถึง บรรยากาศภายในหอศิษย์รับใช้ไม่ได้เป็แบบทุกวันนี้
ต่อมาฉินชูได้เดินทางมาที่ตำหนักหลักบนยอดเขาชิงจู๋ หลัวเจินกำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ประจำตำแหน่ง โดยมีศิษย์สายในอีกสองสามคนคอยรับใช้อยู่ข้างๆ
“พวกเ้าทั้งห้าคนคือผู้ถูกเลือกให้เข้าไปในโบราณสถานชิงหวาง โดยมีฉินชูเป็หัวหน้า พวกเ้าทั้งสามคนมีปัญหาหรือไม่” หลัวเจินมองไปทางศิษย์สายในทั้งสามคน
“ศิษย์ไม่มีปัญหาขอรับ พวกเรายินยอมให้ฉินชูเป็หัวหน้า” ศิษย์สายในทั้งสามคนหันมาโค้งคำนับให้ฉินชู พวกเขารู้ดีว่าฉินชูเป็ศิษย์รับใช้ที่ไม่ใช่ศิษย์รับใช้ธรรมดา หลัวเจินเคยเอ่ยปากจะเลื่อนตำแหน่งให้แล้ว หากฉินชูยินยอม ก็สามารถเลื่อนขั้นเป็ศิษย์สายในได้ทุกเมื่อ ในเื่ของพลังการต่อสู้ก็เป็ที่ประจักษ์ ศิษย์สายในอันดับสองอย่างอู๋เฉิงถูกฉินชูฆ่าตายคาลานประลอง ส่วนอันดับหนึ่งก็แพ้การต่อสู้วัดฝีมือ เท่านี้ก็เป็เครื่องยืนยันได้แล้วว่าฉินชูคือผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาผู้ฝึกที่มีตบะต่ำกว่าขั้นที่สี่ นอกจากนี้ ฉินชูยังสร้างชื่อเสียงให้กับยอดเขาชิงจู๋ ดังนั้นพวกเขายินยอมติดตามฉินชูอย่างเต็มใจ
“พวกเ้าวางใจ ฉินชูผู้นี้ไม่มีวันเอาเปรียบพวกพ้องของตัวเอง” ฉินชูพูดกับศิษย์สายในทั้งสามคน
“เอาล่ะ ไปเตรียมตัวกันได้แล้ว พรุ่งนี้เช้ามาเตรียมตัวกันที่นี่” หลัวเจินเอ่ย
ฉินชูพาไป๋อวี้ไปแลกโอสถจำนวนหนึ่ง แล้วก็กลับมาที่หอศิษย์รับใช้
สิ่งแรกที่ฉินชูเห็นหลังกลับมาถึงคือ ศิษย์สายในทั้งสามคนกำลังยืนอยู่ด้านในหอศิษย์รับใช้อย่างงงงวย สองคนถือห่อกับข้าว อีกคนถือไหสุรา
“ไฉนถึงยืนอยู่เช่นนี้ ไม่มีใครต้อนรับหรือ มานี่ เข้าไปนั่งข้างในกันเถอะ” ฉินชูพาศิษย์สายในทั้งสามคน รวมทั้งไป๋อวี้มาที่กระท่อมไม้ที่ผาหินตัด จากนั้นลูกศิษย์สายในทั้งสามก็วางห่อกับข้าวและไหสุราลงบนโต๊ะ
“ข้าชื่อเจิ้งชิว ส่วนพวกเขาชื่อหานอวี้กับชิวจ้าน พวกเราไม่มีอะไรทำ เลยแวะมาพูดคุยกับศิษย์น้องฉิน” ศิษย์สายในนามว่าเจิ้งชิวที่ดูเหมือนาุโที่สุดเอ่ยปากแนะนำตัว
“เชิญนั่ง ข้าเป็แค่ศิษย์รับใช้ เกรงว่าคงไม่เหมาะสมหากใช้คำว่าศิษย์น้อง เรียกข้าว่าฉินชูก็พอ” ฉินชูพูดขึ้นอย่างถ่อมตัว
เจิ้งชิวคลี่ยิ้ม “ศิษย์น้องฉินพูดเองไม่ใช่หรือว่าศิษย์รับใช้ก็เป็ลูกศิษย์ของสำนักชิงหยุนเช่นกัน แค่งานที่ได้รับมอบหมายแตกต่างกัน แต่สิทธิความเป็มนุษย์ยังคงเหมือนกัน”
ได้ยินเช่นนั้น ฉินชูก็พยักหน้าตาม เขารู้สึกว่าศิษย์สายในทั้งสามคนนี้เป็คนจริงใจตรงไปตรงมา
“การเข้าไปยังโบราณสถานชิงหวางครั้งนี้ นอกจากพวกเราต้องเผชิญกับอันตรายด้านในโบราณสถานแล้ว ยังต้องเผชิญกับศัตรูจากยอดเขาหลักที่จ้องจะฆ่าข้า พูดได้เลยว่ามีอันตรายแฝงอยู่ทุกย่างก้าว” ฉินชูพูดเปิดประเด็น
“พวกเขาไร้มนุษยธรรม ดังนั้นต้องสั่งสอน” ไป๋อวี้เปิดไหสุราพลางดื่มไปพูดไป
“ข้าให้เ้าเป็คนตัดสินใจแล้วกัน” เจิ้งชิวแสดงความคิดเห็นขึ้น
ฉินชูลังเลสักพัก “จุดยืนของข้าง่ายมาก ใครทำดีมา ข้าทำดีกลับ ใครริอ่านทำร้ายข้า มันผู้นั้นตายสถานเดียว นอกจากนี้ ท่านปรมาจารย์ผู้ดูแลยอดเขาเชียนหลัวได้มาพบข้า เพื่อฝากฝังให้พวกเรากับลูกศิษย์จากยอดเขาเชียนหลัวดูแลซึ่งกันและกัน ข้าตอบตกลงกับข้อเสนอนี้ เพราะว่าภายในโบราณสถานชิงหวางเต็มไปด้วยอันตรายที่พวกเราไม่รู้จักมาก่อน การมีพันธมิตรย่อมดีกว่ามีศัตรู”
หลังจากดื่มสุราเสร็จ พวกเจิ้งชิวก็จากไป พวกเขามาเพื่อสร้างความคุ้นเคยกับฉินชูและไป๋อวี้ก่อนเข้าไปในโบราณสถานชิงหวางเท่านั้น
หลังจากพักผ่อนหนึ่งคืนเต็ม รุ่งขึ้นฉินชูก็พาไป๋อวี้มาที่ตำหนักหลักบนยอดเขาชิงจู๋ ไม่นานพวกเจิ้งชิวก็ตามมา เมื่อมากันครบ หลัวเจินก็พาทั้งห้าคนมารวมตัวที่ยอดเขาหลักกับกองกำลังจากยอดเขาอื่นๆ
การปรากฏขึ้นมาของโบราณสถานชิงหวางถือเป็เื่สำคัญของสำนักชิงหยุนยิ่งนัก มันเป็จุดหมายที่ยอดเขาทั้งเจ็ดแห่งในสำนักชิงหยุนจะออกเคลื่อนไหวพร้อมกัน
เมื่อมาถึงลานด้านหน้าตำหนักหลักของสำนักชิงหยุน กองกำลังของยอดเขาหลักและยอดเขาที่เหลืออีกห้ายอดเขาก็ได้มาถึงกันพร้อมหน้าแล้ว
หลังจากกองกำลังจากยอดเขาชิงจู๋มาถึงได้ไม่นาน ซูซานเหอก็ปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อเล่าเื่โบราณสถานชิงหวางคร่าวๆ และมอบหมายให้กองกำลังจากแต่ละยอดเขาออกตามหาร่องรอยของบุคคลสำคัญในอดีต และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเหรียญลัญจกรชิงหวาง
หลังจากซูซานเหอมอบหมายภารกิจเสร็จ เหลยอินจึงหันไปทางกองกำลังของยอดเขาหลักพร้อมกับพูดขึ้น “ศิษย์สายหลักสี่คนนั้นลดทอนตบะลงให้เหลืออยู่แค่ขั้นที่สาม ปรมาจารย์ซูยอมลงทุนขนาดนี้เชียวหรือ”
ฉินชูมองตามไป เห็นหลิ่วหนานยืนอยู่ด้านหน้ากองกำลังของเขา จากนั้นจึงหันไปมองซั่งซูอวี๋
ในเวลาเดียวกัน ซั่งซูอวี๋ก็หันมามองเขาด้วยเช่นกัน