ซูจิ่นซีกำหมัดแน่นจนมีเสียงบีบข้อต่อดังขึ้น ดวงตาของนางราวกับจะมองจ้องทะลุเยี่ยเซิน
เยี่ยเซิน เ้าคอยดู หากแค้นนี้ไม่ได้ชำระ ข้าก็ไม่ใช่สกุลซูแล้ว
“พระชายาอ๋อง ในเมื่อเ้าสามารถรักษาโรคเก่าของเฉินไท่เฟยได้นั่นก็หมายความว่าทักษะทางการแพทย์ไม่ได้น้อยหน้าผู้ใด ทว่าเ้าเพียงไม่ยินยอมวินิจฉัยฮองเฮาเท่านั้นอย่าทำให้ข้าจักต้องสงสัยเ้าว่านี่เป็การหาคำอ้างเหตุปฏิเสธการรักษา หรือว่าโยวอ๋องกับเฉินไท่เฟยยังจะมีความคิดอื่นใดอีกกัน”
ฮ่องเต้มีพลังน่าเกรงขามที่ไม่สามารถปฏิเสธได้โดยง่ายความหมายที่ลึกซึ้งในคำพูดนั้นชัดเจนมาก หากซูจิ่นซีปฏิเสธไม่รักษาให้กับฮองเฮาหรือหากโรคของฮองเฮาไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ก็เป็เพียงข้ออ้างที่ทำให้นางถูกกล่าวหาเพิ่มยิ่งกว่านั้นถึงขนาดที่ว่าโยวอ๋องและเสด็จแม่ก็คิดเป็ฏไปเสียแล้ว
สมเป็พ่อลูกกันจริงๆ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นทุกวันฮ่องเต้ก็คิดแต่พี่น้องตัวเองจะก่อฏดูจากกษัตริย์ในประวัติศาสตร์ก็เป็เช่นนี้กันหมด
“ฝ่าา สามารถเปิดม่านที่เตียงให้หม่อมฉันดูฮองเฮาก่อนได้หรือไม่เพคะ?”
“เปิดม่าน! ”
ฮ่องเต้ออกคำสั่ง!
เมื่อม่านรอบเตียงถูกเปิดออกอย่างช้าๆ กลิ่นเหม็นนั้นก็รุนแรงมากยิ่งขึ้นแม้ว่าใบหน้าของฮ่องเต้จะดูปวดใจและกังวลใจ ทว่าเขาก็อดไม่ได้ที่จะปิดปากและจมูกเบาๆส่วนไท่จื่ออีกนิดก็เกือบจะอาเจียนออกมาแล้ว ทว่ามีฮ่องเต้อยู่ก็เลยไม่กล้าที่จะอาเจียนจริงๆ
ซูจิ่นซีเดินไปที่เตียงของฮองเฮาและตรวจสอบอีกครั้งในระยะใกล้ นางค่อนข้างแน่ใจว่าอาการป่วยของฮองเฮาเป็อย่างที่ตนเองคิดไว้ก่อนหน้านี้มันคือโรคฮวาหลิ่ว [1] ซึ่งในยุคปัจจุบันเรียกอีกอย่างว่าพิษเหมย
ไม่แปลกใจเลยที่พวกหมอหลวงจนปัญญาไม่มีหนทางรักษาคาดไม่ถึงเลยว่าในฐานะฮองเฮาที่เป็มารดาของประเทศจะเป็โรคที่ไม่สามารถเอ่ยปากได้แม้ว่าจะมีคนมองออก ก็ไม่กล้าที่จะพูด ยิ่งไม่กล้าที่จะเขียนใบสั่งยานี้เสียด้วย
ในเวลานี้ซูจิ่นซีไม่มีเวลาและพลังงานที่จะวิเคราะห์อย่างละเอียดว่าฮองเฮาติดเชื้อโรคนี้ได้อย่างไรเพราะว่าอ้างอิงจากระบบถอนพิษเมื่อเข้าประตูมาครั้งแรกบนร่างกายของฮองเฮายังคงมีพิษที่รุนแรงอยู่มาก
นางก้าวเข้าไปมองอย่างละเอียด พบว่าท้องส่วนล่างของฮองเฮายกขึ้นเล็กน้อยสีหน้าเหลืองราวกับเทียนไข ดูราวกับว่ากำลังทรงพระครรภ์ ทว่าตำแหน่งทารกในครรภ์ของพระนางไม่ถูกต้องหากฮองเฮาตั้งครรภ์จริง ระยะความสูงของช่องท้องส่วนล่างควรใกล้เคียงกับการคลอดบุตรร่างกายพระนางได้รับพิษหนักมากถึงเพียงนั้น และยังติดเชื้อพิษเหมยอีกด้วยหาก้ารักษาให้หาย เกรงว่าทารกในครรภ์อาจไม่สามารถรักษาไว้ได้แล้ว
หากผู้ที่ตั้งครรภ์เป็ผู้อื่นก็ไม่เป็อันใดมาก ทว่าบังเอิญเป็ฮองเฮาเด็กในครรภ์เป็ถึงบุตรของกษัตริย์ที่ผู้คนรู้จักหากไม่สามารถรักษาเด็กคนนี้ไว้ได้เกรงว่าจะเป็เื่ยากที่จะอธิบายกับฮ่องเต้และทุกคน
ซูจิ่นซีหยิบผ้าไหมจากแขนเสื้อของนาง วางไว้บนข้อมือของฮองเฮา นางนิ่งเงียบเพื่อตรวจชีพจรเดิมทีคิดที่จะดูว่าครรภ์ของฮองเฮาเป็อย่างไรบ้างครรภ์นี้จะสามารถช่วยรักษาไว้ได้ไหม ทว่าเมื่อมือของนางัักับข้อพระหัตถ์ของฮองเฮานางก็ใขึ้นในชั่วพริบตา
ชีพจรเดินราวกับไข่มุกนั้นถูกต้อง ทว่าชีพจรที่เต้นอย่างรุนแรงนี้คล้ายกับโรคที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหลอดเืหัวใจอย่างมากปกติผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในสถานการณ์นี้จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่จะรักษาเด็กไว้เลย
ทว่าฮองเฮานอกจากใบหน้าที่ซีดเหลืองเล็กน้อยก็บรรทมอย่างสงบบนเตียงการหายใจเป็ปกติสม่ำเสมอ ราวกับว่าพระนางกำลังบรรทมอย่างสงบ
นี่ไม่สอดคล้องกับเหตุผลเอามากๆ
ในเวลาเดียวกัน ซูจิ่นซียังพบว่า ท้องที่ยกขึ้นของฮองเฮาดูเหมือนจะมีสิ่งใดไหลไปไหลมาล้วนทำให้ผ้าห่มยกสูงขึ้น
ความคิดที่น่ากลัวแวบเข้ามาในหัวของนาง ซูจิ่นซียกผ้าห่มขึ้นมาโดยพลัน
“ซูจิ่นซี เ้า้าที่จะกระทำสิ่งใด? ”
ฮ่องเต้โกรธจัดและะโอย่างตื่นตัว หลังจากนั้นไม่กี่ก้าวเขาก็มาถึงด้านหน้าของซูจิ่นซีและคว้ามือของซูจิ่นซีที่ถือผ้าห่มไว้แน่นแล้วออกแรงกระชาก
ทว่าซูจิ่นซีไม่รู้สึกเ็ปใดๆ เลย ดวงตากลมโตของนางค่อยๆถอยออกมาด้วยความใอย่างไม่อยากจะเชื่อ
ตอนแรกนางแค่เดาว่าท้องของฮองเฮาเป็เพียงอาการท้องอืดหรือไม่ เพียงชีพจรใกล้เคียงกับการตั้งครรภ์เท่านั้นทว่าเมื่อได้เห็นสิ่งที่เคลื่อนไหวภายใต้เสื้อผ้าที่เบาบางของฮองเฮานางก็สับสนและใ
สิ่งนั้นคล้ายกับเท้าของเด็กอายุหนึ่งขวบตอนที่เคลื่อนไหวก็แทบจะทะลุท้องของฮองเฮาอยู่แล้ว
“ฝ่าา ฮองเฮา ทรงตั้งครรภ์มากี่เดือนแล้วเพคะ? ”
“กี่เดือนหรือ? จะเข้าปีสองแล้ว! ”
ฮ่องเต้พ่นลมหายใจอย่างเ็า จับมือของซูจิ่นซีด้วยความโกรธเล็กน้อยหลังจากที่ปล่อยมือของนางและประสานมือไว้ด้านหลังแล้ว ฮ่องเต้ก็หันหลังกลับ
จะสองปีแล้ว?
แม้ว่าในท้องจะเป็เด็กนาจาก็ควรที่จะเกิดออกมาแล้วนะ
ทว่าฮองเฮาจนถึงวันนี้ยังไม่ได้คลอดออกมาก็มีเพียงสองอย่างที่เป็ไปได้......
“ฝ่าา ถ้าหากหม่อมฉันกล้าใช้ชีวิตของตนเองเพื่อรับประกันว่าอาการป่วยของฮองเฮาหม่อมฉันสามารถที่จะรักษาให้หายขาดได้ ทว่าหม่อมฉันมีสองอย่างอยากจะขอร้องให้ฝ่าารับปากหม่อมฉันเพคะ”
“ซูจิ่นซี เ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่? เ้าคิดว่าเ้าเป็ใครกัน?กล้าที่จะต่อรองกับเสด็จพ่อ”
ความจริงแล้วไม่เคยมีผู้ใดกล้าที่จะมีข้อต่อรองกับโอรส์เลยไม่ว่าจะเป็จักรพรรดิหรือองค์รัชทายาทอย่างเยี่ยเซินก็ไม่เคยมาก่อน
ทว่าฮ่องเต้หรี่ดวงตาสองข้างของพระองค์อย่างอันตราย มือที่ไพล่ไว้ข้างหลังกำแน่นไม่ได้เอ่ยอันใดออกมาเลยเป็เวลาสักพักหนึ่ง
เมื่อเห็นเช่นนี้ซูจิ่นซีก็รู้ว่าความปราถนาของนางนั้นสำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่งสิ่งที่นางเดิมพันคือความรักของฮ่องเต้ที่มีต่อฮองเฮา
ในประวัติศาสตร์สนมวังหลังผู้งดงามสามพันนางของฮ่องเต้ผู้ที่เดิมทีก็ไม่เคยขาดสตรีมาก่อนซูจิ่นซีเชื่อว่าฮ่องเต้ที่อยู่ตรงหน้าท่านนี้ก็เช่นเดียวกัน
ทว่าแม้จะมีสตรีสาวอยู่มากมาย ฮองเฮาก็ป่วยมานานถึงสองปี ฮ่องเต้กลับยัง้าคนที่จะมารักษาให้ฮองเฮายิ่งไปกว่านั้นความสงสารและความเ็ปที่ซูจิ่นซีเห็นจากสายตาของฮ่องเต้ก่อนหน้านี้ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถหลอกลวงได้เลย
มิตรภาพของฮ่องเต้แม้ไม่ได้อยู่ลึกเท่าไร ทว่าขอให้มี ก็เพียงพอแล้ว
ดังนั้นซูจิ่นซีจึงมั่นใจว่า ฮ่องเต้จะต้องรักฮองเฮาอย่างแน่นอน
ขอเพียงยังมีรัก เขาจะไม่เพิกเฉยต่อความหวังที่ซูจิ่นซีมอบให้เช่นนั้นเงื่อนไขสองอย่างที่นางอยากให้รับปากก็มีโอกาสชนะ
เป็อย่างที่ซูจิ่นซีคาดไว้ หลังจากนั้นไม่นาน “อืม เ้าพูดมาก่อน สองเงื่อนไขนั้นคือสิ่งใด? ”
รอยยิ้มบนปากของซูจิ่นซีกระตุกขึ้นเล็กน้อย
“ประการแรก เพื่อที่จะเข้าใจอาการโรคของฮองเฮามากขึ้นหม่อมฉัน้าให้หมอจากสำนักหมอหลวงเข้ามาช่วย ก่อนหน้านี้หม่อมฉันได้พบหมอหลวงอวิ๋นที่มาดูอาการของเฉินไท่เฟยยิ่งไปกว่านั้นพวกเราร่วมมือกันได้เป็อย่างดีขอให้ฝ่าารับสั่งให้หมอหลวงอวิ๋นมาที่ตำหนักจ้งหวานี้เพื่อช่วยหม่อมฉันรักษาฮองเฮาด้วยเพคะ”
“อ้อ เื่นี้ไม่ยาก! ประการที่สองเล่า? ”
“ประการที่สอง... ” ซูจิ่นซีมองไปที่เยี่ยเซินด้วยท่าทางที่จริงจังมาก
ในใจของเยี่ยเซินเกิดความวิตกกังวลขึ้น ทว่ายังไม่เข้าใจถึงเหตุผลชัดเจนจึงรอฟังซูจิ่นซีพูด “ไม่ว่าหม่อมฉันกับไท่จื่อก่อนหน้านี้จะเป็อย่างไรทว่าตอนนี้หม่อมฉันเป็พระชายาของเสด็จอาโยวอ๋อง เมื่อไท่จื่อพบหม่อมฉันก็ควรจะทำตามขนบธรรมเนียมให้ความเคารพและเรียกหม่อมฉันว่าอาสะใภ้ ทว่าก่อนนี้ที่หน้าประตูตำหนักจ้งหวาไท่จื่อเรียกเพียงแต่ซูจิ่นซี ซูจิ่นซี ขอบังอาจสอบถามฝ่าาขนบธรรมเนียมในวังเปลี่ยนไปแล้วหรือเพคะ? แม่นมในจวนอ๋องเหตุใดไม่เคยสอนหม่อมฉันมาก่อนเลยเพคะ? ”
“ซูจิ่นซี เ้ากำลังฟ้องเสด็จพ่ออยู่งั้นหรือ? เ้านี่มันไร้ยางอายเสียจริง!”
สีหน้าเยี่ยเซินมืดสนิทมือที่กำแน่นของเขาดูเหมือนอยากจะบีบที่คอของซูจิ่นซีเกลียดจนอยากจะบีบคอซูจิ่นซีให้ตาย
ในตอนนี้ซูจิ่นซีไม่จำเป็ต้องสนใจเขานาง้าที่จะเจรจาเงื่อนไขกับฮ่องเต้เท่านั้น
“พระชายาโยวอ๋อง เ้าพูดเช่นนี้ เซินเอ๋อร์จะต้องขุ่นเคืองเ้าเป็แน่ตามความคิดของเ้าควรจะจัดการเช่นไร?”
ใบหน้าที่น่าเกรงขามของฮ่องเต้ไม่ลดลงเลย
“ไท่จื่อทรงเป็องค์รัชทายาท มีเกียรติมีฐานะ จะให้กระหม่อมจัดการก็คงมิกล้าขอเพียงก่อนหน้านี้ไท่จื่อมีมารยาทเสียหน่อย อย่างไรเสีย... หากในสายตาของผู้อื่น เื่ที่องค์รัชทายาทโตมาอย่างไม่รู้จักมารยาทถูกพูดกันออกไปจะทำให้ราชวงศ์และตงกงเสียพระพักตร์ ทั้งยังส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของไท่จื่ออีกด้วยเพคะ! ”
......
เชิงอรรถ
[1] โรคฮวาหลิ่ว คือ โรคซิฟิลิสที่เป็โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์