คนทั้งสองถูกแขวนไว้กลางอากาศ เฉินเปิ่นหวาหัวเราะ แววตาเ็า “ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองเป็คุณชายท่านใดของตระกูลจิ่งหรือ? เข้ามาได้เพียงไม่นานก็ฆ่าคนตระกูลเฉินข้าไปนับสิบคนโดยไร้สุ้มเสียงแล้ว ฝีมือไม่ธรรมดาเลยนี่!”
อ๋าวหรานอยากแก้ตัวว่าไม่ได้ฆ่า แค่ทำให้สลบไปเท่านั้น แต่พอนึกถึงจิ่งฝานที่ลงมือ สุดท้ายจึงเงียบปากไป
ที่เขาพูดมาก็ไม่ผิด
“ทำไม? กล้าทำไม่กล้ารับหรือ? ตระกูลจิ่งจะว่าไปแล้วก็ไม่เห็นเท่าไรเลยนี่” เฉินเปิ่นหวาหัวเราะอย่างเ็าออกมาทีหนึ่ง
แต่ประโยคนี้ผิดแล้ว
อ๋าวหรานแก้ตัวว่า “รับสิ จะไม่รับได้อย่างไร? แต่ว่า...” แล้วหยุดคำไปเล็กน้อย จู่ๆ ก็หัวเราะออกมา ดวงตาโค้งมน “ข้าไม่ใช่คนตระกูลจิ่ง”
และประโยคนี้ก็ไม่ใช่คำโกหก
ริมฝีปากบางเฉียบของเฉินเปิ่นหวาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม หัวเราะอย่างเ็าออกมา “ไม่ใช่ตระกูลจิ่ง? ดึกดื่นค่ำคืนเยี่ยงนี้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่านอกจากตระกูลจิ่งแล้วจะยังมีผู้ใดกล้าเข้ามาขโมยของในอาณาเขตของข้าอีก!”
...
พูดมาได้ช่างน่าไม่อายปากเสียจริง อ๋าวหรานอดรู้สึกขบขันขึ้นมาไม่ได้ “คุณชายเฉิน ท่านเข้าใจอะไรผิดเกี่ยวกับอาณาเขตของตัวเองไปหรือไม่?”
เฉินเปิ่นหวาส่งเสียงดัง 'อ้อ' ออกมาทีเสียงอย่างมีนัยยะ แล้วพูดอย่างเชื่องช้าไม่ใส่ใจว่า “เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าคนที่เข้าใจผิดนั้นคือเ้ากัน?”
อ๋าวหรานขมวดคิ้ว คนผู้นี้ค่อนข้างหน้าไม่อาย เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วว่าลักษณะของคนตระกูลเฉินเป็เช่นไร
“คุณชายเฉินหาได้เกรงใจไม่จริงๆ อยู่ในเขตอิทธิพลของผู้อื่นแล้วยังไม่รู้จักระมัดระวังถ่อมตน แถมยังคงทำตัวเป็นกพิราบครองรังนกกางเขน1 อย่างโอหังเช่นนี้อีก ช่างหน้าหนาไร้ยางอายยิ่งนัก”
เฉินเปิ่นหวาหาได้สนใจคำเสียดสีของอ๋าวหรานแม้สักนิดไม่ กลับพูดว่า “ช่างไร้เดียงสานัก! ตระกูลจิ่งไม่ออกสู่โลกภายนอกมานาน เหตุใดถึงกลายเป็ดังคำที่ว่า 'กบก้นบ่อ'2 ไปได้ พวกเ้าคิดว่าแผ่นดินตรงนี้ยังเป็ของพวกเ้าอยู่อีกหรือ?” เขาพูดแล้วก็เดินขึ้นหน้ามาหนึ่งก้าว สีหน้าแสดงออกอย่างเต็มที่ว่าสองคนตรงหน้านั้นช่างโง่เขลาเสียจริง “อย่าฝันไปหน่อยเลย! วันนี้ข้ากล้าชิงของของพวกเ้ามาอย่างผ่าเผย พรุ่งนี้ข้าก็กล้าฆ่าล้างตระกูลเ้า! เชื่อข้าเถิด แค่ไม่กี่วัน ไม่เพียงแค่ตระกูลจิ่งของพวกเ้า ครึ่งหนึ่งของภาคตะวันออกนี้ล้วนต้องเป็ของพวกข้าตระกูลเฉิน!”
ละโมบโลภมาก ดูท่าคงไม่อาจหลุดพ้นจากวงจรนี้ได้แล้ว!
ตระกูลเฉินเริ่มแยกเขี้ยวเต็มที่แล้ว
“เฉินเปิ่นหวา ตั๊กแตนจับจักจั่นไม่ระวังนกขมิ้นที่อยู่ด้านหลัง อย่าโง่งมไปเป็อาวุธให้ผู้อื่นใช้ พอหันหลังกลับไปเขาก็รอฆ่าลาเมื่อเสร็จงานโม่แป้ง3 มันจะได้ไม่คุ้มเสียเอารู้หรือไม่” น้ำเสียงของอ๋าวหรานเต็มไปด้วยความจริงใจ เฉินเปิ่นหวาคิดว่าเขาเป็คนโง่งม พวกอ๋าวหรานเองก็มองเขาเช่นนั้นเหมือนกัน สองพี่น้องของตระกูลเฉินนี้ไม่มีผู้ใดมีสมองสักคนเดียว
น่าเสียดายที่คำตักเตือนอย่างตรงไปตรงมาของอ๋าวหรานนี้ เฉินเปิ่นหวากลับเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ตอนนี้เขากำลังลุ่มหลงอยู่กับความรื่นเริงในการยึดตระกูลจิ่งมาไว้เป็ของตนเอง ผู้ใดพูดอะไรก็ไม่ฟัง กลับหัวเราะพรืดออกมา “ข้าชักสงสัยขึ้นมาจริงๆ แล้วว่าเ้าเป็คุณชายคนใดของตระกูลจิ่งกัน? ปากนี่ช่างพูดเหลือเกิน”
อ๋าวหรานถูกอวนรัดแน่นจนรู้สึกทรมาน จึงขยับตัวชนจิ่งฝานไปหลายที จนเขาขมวดคิ้วน้อยๆ อ๋าวหรานก็ยังไม่รู้ตัว “ปกติข้าเป็คนชอบพูดความจริง ก็แค่ไม่รู้ว่าเ้าจะฟังเข้าใจสักกี่มากน้อย”
ดวงตาคู่นั้นที่ไม่ใหญ่มากของเฉินเปิ่นหวาคล้ำลงทำให้ดูมีตบะอยู่บ้าง “ก็แค่การดิ้นรนของคนใกล้ตายเท่านั้น ความจริงคำพวกนี้เก็บไว้พูดให้พวกบรรพชนตระกูลจิ่งฟังตอนที่เ้าตายเถอะ!”
อ๋าวหรานถอนหายใจ “ดูท่าว่าคุณชายเฉินคงจะไร้ปัญญาจนกู่ไม่กลับเสียแล้ว”
พูดจบ...
เฉินเปิ่นหวาก็ราวกับไม่คิดจะสนใจเขาอีกต่อไปจึงถอยหลังไปก้าวหนึ่ง สายตาเกรี้ยวกราด “ปล่อยธนู!”
ครู่เดียวธนูแหลมคมนับร้อยก็พุ่งแหวกอากาศเข้ามา ทำให้สายลมในค่ำคืนหิมะโปรยนี้ยิ่งส่งเสียงฮูๆ ดังก้อง
ถึงแม้อ๋าวหรานจะพอเดาได้ว่าจิ่งฝานคงมีวิธี แต่ความรู้สึกที่หัวธนูโลหะแหลมคมนับร้อยที่สะท้อนประกายหนาวเหน็บพุ่งเข้ามาตรงหน้าของตนในชั่วขณะนั้นก็ทำให้เขาถึงกับรู้สึกเย็นวาบที่แผ่นหลัง แค่มองดูก็ทำให้หวาดหวั่นแล้ว
ใกล้จะถูกเสียบพรุนเป็รังแตนอยู่แล้ว อ๋าวหรานฝืนหันคอไปพูดกับจิ่งฝานอย่างร้อนรนว่า “พี่ชาย ไฟจะลนคิ้วอยู่แล้ว!” ท่านยังทำราวกับพระเข้าฌานอยู่อีก
...
อากาศหนาวมาก
หิมะยิ่งตกหนักขึ้นเรื่อยๆ ทะลุอวนที่รัดร่างอยู่เข้ามา ร่วงลงบนใบหน้า มือ และเส้นผม แค่ชั่วระยะเวลาไม่นานก็เริ่มจะขาวโพลนทั้งหมดแล้ว
แต่จิ่งฝานกลับรู้สึกอบอุ่นมาก
อยู่ใกล้เกินไปเหมือนจะกอดเขาไว้เต็มอ้อมแขน การััเช่นนี้ราวกับจะทำให้หัวใจเขาเต้นแรงขึ้น
เนิ่นนานมาแล้วเขาก็เคยถูกสตรีสองสามคนกอดมาก่อน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังรู้สึกเหมือนห่างไกล มีเพียงเซียงเซียงเท่านั้นที่อบอุ่น ตอนนี้อ๋าวหรานเองก็เช่นกัน แต่ก็ยังต่างกันอยู่ดี
ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้มีมานานเท่าไรแล้ว?
แต่คนผู้นี้จะเชื่อได้จริงหรือ?
มีคำถามเช่นนี้มาหลายครั้งหลายหน
อ๋าวหรานมองจิ่งฝานที่ไม่รู้สติล่องลอยไปถึงไหนแล้ว ใน่เวลาคับขันไม่รู้เหตุใดการกระทำถึงเร็วยิ่งกว่าสมอง บิดกายขยับอวนหมุนไปครึ่งรอบเพื่อใช้ร่างกายของตนเองบังจิ่งฝานไว้ ธนูแหลมคมพุ่งเข้ามาใกล้ หอบลมพัดมาจนผมปลิวไสวขึ้นอย่างบ้าคลั่งแล้วตีลงบนหน้าจิ่งฝาน
อ๋าวหรานหลับตาโดยไม่รู้ตัว
จะเป็หรือตาย ร่ำรวยหรือยากจนล้วนขึ้นอยู่กับฟ้า4
เดิมทีก็ได้ใช้ชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งชาติ แล้วยังเป็ชีวิตที่สุขยิ่งกว่าทุกข์มากนัก แค่นี้ก็ไม่ขาดทุนแล้ว
——
ธนูห่าใหญ่เหมือนจะปกคลุมพวกเขาไว้ทั้งหมด พวกเฉินเปิ่นหวาหาได้มีสีหน้าได้ใจแม้สักนิดไม่ แต่กลับมีสีหน้าตกตะลึงราวกับยากจะเชื่อแทน หมอกสีขาวราวกับม่านไหมเดี๋ยวชัดเดี๋ยวหายเหมือนจะมองไม่เห็นในค่ำคืนที่มีหิมะตกหนักเช่นนี้ มีเพียงลูกธนูร้อยกว่าดอกที่นิ่งสนิทไม่ขยับอยู่กลางอากาศราวกับโดนของก็ไม่ปาน จิ่งฝานที่หยุดลูกธนูไว้ได้ค่อยๆ เชิดคางขึ้นเล็กน้อย หนังตาที่หรี่ลงครึ่งหนึ่งบดบังสีแดงเข้มในดวงตา
“เกิด...เกิดอะไรขึ้น?!”
ผู้เฒ่าผู้หนึ่งที่อยู่ข้างกายเฉินเปิ่นหวา พูดด้วยความตกตะลึงจนสั่นสะท้าน
ในโลกนี้คนที่สามารถควบคุมกำลังภายในได้ถึงเพียงนี้ พูดตามจริงแล้วก็มีไม่น้อย แต่ครั้งนี้ตระกูลจิ่งที่มากันแค่สองคนกลับยังอายุน้อยอยู่ น้ำเสียงใสกังวานเหมือนเด็ก อีกคนถึงแม้จะไม่พูดอะไรเลย แต่รูปร่างท่าทางชัดเจนว่าก็เป็แค่หนุ่มน้อยผู้หนึ่ง อายุน้อยเพียงนี้...อีกทั้งมือและเท้าก็ยังถูกรัดไว้อยู่กลับทำได้ถึงขนาดนี้ ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว
หรือว่าพวกเขาคาดเดาอีกคนหนึ่งผิดไป
ไม่รอให้พวกเขาคิดอะไรอีก หมอกขาวที่ผสมกลมกลืนอยู่ในหิมะปลิวไสวเบาๆ ราวกับถูกควบคุมโดยลม ธนูคมกริบหลายร้อยดอกถูกการพัดที่แ่เบาของมันทำให้พากันหันเปลี่ยนทิศทางไปในทางเดียวกันทั้งหมด
อ๋าวหรานเพิ่งจะลืมตาก็พบว่าตรงหน้าที่เดิมทีเป็หัวธนูตอนนี้กลับกลายเป็ขนนกที่หางลูกศรแทน พวกมันลอยค้างอยู่กลางอากาศ ไม่รอให้เขาตกตะลึง ธนูนับร้อยก็ส่งเสียง 'ฟ้าว…' แล้วพุ่งออกไป โดยมีเป้าหมายคือพวกเฉินเปิ่นหวา
พอเห็นว่าเป็เช่นนี้ พวกเขาก็ตกตะลึงไปตามกัน พวกเฉินเปิ่นหวาพากันถอยหลัง แต่เพียงชั่วครู่ธนูพวกนั้นก็พุ่งมาตรงหน้าแล้ว ทั้งยังเร็วยิ่งกว่าตอนที่พวกเขายิงมันออกไปเสียอีก
คนกลุ่มใหญ่ปัดลูกธนูกันเป็พัลวัน รีบตั้งรับอย่างรีบร้อน แค่ชั่วขณะก็สับสนวุ่นวายกันแล้ว คนที่เพิ่งยิงธนูออกไปอย่างไรก็คงคิดไม่ถึงว่าธนูพวกนี้จะย้อนกลับมาได้ ล้วนพากันมองบรรดาผู้าุโตระกูลเฉินที่กำลังมือเท้าวุ่นวายกันเป็พัลวันอย่างตะลึงงัน
เฉินเปิ่นหวาใช้กระบี่ปัดลูกธนูจนแขนชาแล้ว เมื่อหันไปเห็นพวกคนยิงธนูที่ยังยืนอึ้งอยู่ก็รู้สึกโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันใด ะโด่ากราดดังลั่นว่า “แต่ละคนยืนโง่งมมองอะไรอยู่ เ้าพวกไร้ประโยชน์ อยากตายหรืออย่างไร?”
พอได้ยินเช่นนั้นทุกคนก็ตกตะลึงจนมีปฏิกิริยาขึ้นมา รีบพุ่งขึ้นหน้ามาคุ้มครองเ้านายของพวกเขาอย่างรวดเร็ว ฉากความวุ่นวายนี้...พูดตามจริงแล้วนั้นเกิดขึ้นในระยะเวลาไม่นาน คนตระกูลเฉินเริ่มเืตกยางออกกันแล้ว แม้าแไม่ร้ายแรง แต่ก็ทำให้พวกเขาทั้งลำบากและรำคาญ
อ๋าวหรานมองคนด้านล่างที่ราวกับเผชิญาใหญ่แล้วกะพริบตาอย่างตะลึงงัน เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็วเกินไป
เขาคงจะประเมินพลังของจิ่งฝานต่ำเกินไป ไม่รอให้เขาคิดอะไรมากมายก็รู้สึกว่าบริเวณเอวมีแขนข้างหนึ่งมารัดเอวเขาไว้แน่น
อวนที่หดรัดเข้ามานั้น อ๋าวหรานดิ้นอยู่เป็นานก็ไม่คลายลงแม้สักนิด รัดแน่นเสียจนแม้แต่นิ้วมือเขายังขยับไม่ได้ ตอนนี้จิ่งฝานกลับแค่ยื่นมือออกไปอย่างไม่ใส่ใจ อวนที่แข็งแรงเมื่อมาอยู่รอบตัวเขาเหมือนเป็แค่อวนจากเชือกฟางธรรมดาๆ ขาดออกอย่างง่ายดาย
จิ่งฝานโอบเอวอ๋าวหรานเอาไว้ บรรยากาศรอบกายเปลี่ยนเป็แข็งกล้าขึ้นเรื่อยๆ ราวกับกลุ่มน้ำวนที่พัดรุนแรงเสียจนไม่มีผู้ใดต่อต้านได้ อ๋าวหรานรู้สึกว่าอากาศโดยรอบเริ่มเบาบางลงจนหายใจลำบาก อวนที่รัดอยู่รอบตัวถูกบรรยากาศนี้ทำให้สลายกลายเป็ฝุ่นผงในทันที แล้วค่อยๆ ร่วงลงไปบนพื้นพร้อมกับหิมะ
เมื่อเท้าแตะถึงพื้น อ๋าวหรานถึงเริ่มรู้สึกมั่นคงขึ้น
หัวธนูทั้งหมดก็ร่วงหล่นบนพื้นแล้วเช่นกัน พื้นหิมะหนาถูกรอยเท้าที่สับสนวุ่นวายทำลายไปนานแล้ว ล้วนมีหยดเืแต้มอยู่เป็จุดทำให้สภาพดูไม่ได้
พวกคนตระกูลเฉินมองคนทั้งสองตรงหน้าที่ยืนอย่างมั่นคง แววตาล้วนมีความหวาดกลัวเพิ่มเข้ามา ส่วนเฉินเปิ่นหวานั้นแววตามีไฟลุกโหม โกรธจนแทบทนไม่ไหว
ส่วนอีกด้านหนึ่ง
พวกเหยียนเฟิงเกอกลับราบรื่นเป็อย่างมาก
นกพิราบครองรังนกกางเขน1 (鸠占鹊巢)หมายถึงเข้าหรือบุกยึดครองที่ดินบ้านเรือนของผู้อื่นโดยพลการ
กบก้นบ่อ2 มีความหมายเหมือนกับสำนวนไทยที่ว่า 'กบในกะลา'
ฆ่าลาเมื่อเสร็จงานโม่แป้ง3 (卸磨杀驴)มีความหมายเหมือนกับสำนวนไทยที่ว่า 'เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล'
จะเป็หรือตาย ร่ำรวยหรือยากจนล้วนขึ้นอยู่กับฟ้า4 (生死由命,富贵在天)หมายถึงทุกอย่างขึ้นอยู่กับโชคชะตา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้