“เป็อย่างไรบ้าง เ้ายังจดจำวิธีการผลาญโลหิตหลอมกายาได้อยู่หรือไม่?”
มู่เฟิงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มหลังจากการฝึกฝนของเขาเสร็จสิ้น
“ข้าจดจำมันได้แล้ว การผลาญโลหิตหลอมกายานั้นมหัศจรรย์มาก แม้ว่าระหว่างทางมันจะสร้างความเ็ปอย่างแสนสาหัส แต่ข้าสามารถััได้อย่างชัดเจนเลยว่าความแข็งแกร่งของข้าเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังจากการฝึกฝนนี้”
มู่ขวงยิ้มกว้างออกมาอย่างใสซื่อ
“มีเพียงการยอมอดทนต่อความเ็ปทรมาน เ้าจึงจะสามารถเป็คนเหนือคนได้ กระบี่คมที่ล้ำค่าต้องหมั่นลับคมด้วยตัวของมันเอง ขอเพียงเ้ายืนหยัดที่จะฝึกฝนต่อไป พี่เฟิงเชื่อว่าในภายภาคหน้า เ้าจะต้องประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้แน่นอน”
มู่เฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เอาละ เรามาล่าสัตว์อสูรตัวอื่นกันต่อเถอะ ฮ่าๆ การรับสมัครศิษย์เข้าสำนักศึกษาในคราวหน้า ข้าจะแสดงให้คนพวกนั้นได้เห็นเอง”
“ฮ่าๆ ไปกันเถอะ”
สองพี่น้องต่างหัวเราะออกมาเสียงดัง จากนั้นพวกเขาก็ได้ทำการสำรวจผืนป่าอันกว้างใหญ่นี้ต่อ
หกวันต่อมา ภายในพงไพรรกทึบ
“บรู๊ววว…!”
เสียงคำรามเสียงหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับการปรากฏตัวของหมาป่าขนเทาที่มีความยาวกว่าสองเมตร และมีความสูงเทียบเท่ากับอกของผู้ใหญ่ เวลานี้มันกำลังออกมาหาอาหาร หมาป่าตัวนี้คือสัตว์อสูรขั้นเก้าที่มีแรงกัดอันน่าสะพรึง ปากของมันสามารถบดขยี้กระดูกของมนุษย์ได้อย่างง่ายดาย
หมาป่าขนเทากำลังดมกลิ่นเพื่อหาอาหารในป่า และเพียงไม่นานมันก็ได้กลิ่นของเหยื่อ เป็กลิ่นคาวเืที่โชยมาจากระยะไกล หมาป่าตัวนั้นรีบเร่งไปยังต้นตอของกลิ่นคาวเืในทันที เมื่อไปถึงมันได้พบว่ามีขาหมูป่าเปื้อนเืกำลังแขวนอยู่บนต้นไม้ ซึ่งมีความสูงจากพื้นกว่าสี่เมตร
“โฮก…!”
เนื้อชิ้นนี้มาอยู่บนต้นไม้ได้อย่างไร? แม้จะมีสติปัญญาที่ค่อนข้างต่ำ ทว่ามันก็สามารถรับรู้ได้ถึงความผิดปกตินี้ เพียงแต่กลิ่นหอมของเืนั้นเย้ายวนมากเกินไป ดังนั้นมันจึงไม่เสียเวลาคิดให้มากความอีก รีบพุ่งกระโจนตัวสูงกว่าสี่เมตรเพื่อกัดน่องขาน่องนั้นและดึงมันลงมาในทันที
ขณะที่กำลังจะได้เพลิดเพลินกับอาหารอันโอชะตรงหน้า ฉับพลันนั้นได้มีแสงสว่างสีขาววาบส่องกระทบลงบนดวงตาของมัน พร้อมกับที่ร่างของเด็กหนุ่มอายุราวๆ สิบห้าสิบหกปีผู้หนึ่งได้กระโจนลงมาจากต้นไม้พร้อมกับตวัดดาบในมือเหวี่ยงมาทางมัน
ดาบนี้มีความเร็วดุจสายฟ้าฟาด แต่ในฐานะนักล่าผู้เชี่ยวชาญของผืนป่าแห่งนี้ แน่นอนว่าปฏิกิริยาของหมาป่าย่อมว่องไวเป็พิเศษ มันเบี่ยงตัวหลบไปฝั่งซ้ายอย่างรวดเร็วเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตี ทว่าปลายคมดาบยังคงเฉือนผ่านแผ่นหลังของมันจนเืไหลซึม
“โฮก...!”
ความเ็ปบริเวณแผ่นหลังได้กระตุ้นความดุร้ายของหมาป่าออกมาทันที สายตาของมันพลันเปลี่ยนเป็เยือกเย็นในแบบของนักล่า พร้อมกับแสดงเขี้ยวอันแหลมคมของมันออกมาให้เห็น ดวงตาวาวโรจน์ของมันจ้องมองไปยังร่างของเด็กหนุ่มพร้อมกับส่งเสียงครางต่ำอยู่ในลำคอ ด้านหลังของมันกดต่ำลงเล็กน้อย คล้ายกับว่ากำลังเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้
ส่วนเด็กหนุ่มนั้นได้จับดาบเอาไว้มั่นเตรียมพร้อมยู่ก่อนแล้ว สายตาอันแน่วแน่คู่นั้นของเขากำลังจับจ้องไปยังหมาป่าเช่นกัน
“โฮก…!”
หมาป่าเริ่มโจมตี ขาหลังของมันดีดตัวรวดเร็วราวกับเป็ะุ ส่วนขาหน้าของมันก็กางกรงเล็บออกมาและตบไปทางเด็กหนุ่มในทันที
เด็กหนุ่มผู้นั้นขยับฝีเท้าหลบหลีกอย่างคล่องแคล่ว เมื่อเห็นหมาป่ายังคงพุ่งตัวเข้ามา เขาก็ตวัดดาบออกไปด้วยความว่องไว
ฉัวะ!
คราวนี้คมดาบได้ฝากรอยแผลไว้บริเวณ่ท้องของหมาป่า เป็ผลให้มันล้มลงบนพื้น มันยังคงส่งเสียงครางต่ำ ก่อนจะโผเข้าหาเด็กหนุ่มอีกครั้ง
้าของต้นไม้ที่สูงกว่าสิบเมตรยังมีเด็กหนุ่มในชุดคลุมสีดำอยู่อีกคน บนคิ้วคมของเขามีรอยบากของาแขนาดเล็ก เด็กหนุ่มกำลังมองสถานการณ์การต่อสู้เบื้องล่างก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา
เวลานี้ทักษะการใช้ดาบของมู่ขวงนั้นเฉียบคมกว่าก่อนที่เขาจะขึ้นมาบนูเาแห่งนี้มากนัก นอกจากนี้จิตสังหารของอีกฝ่ายยังน่าเกรงขามขึ้นอีกด้วย ซึ่งมันก็ทำให้มู่เฟิงพึงพอใจเป็อย่างมาก
ในระยะเวลาหกวันที่ผ่านมา ระดับวรยุทธ์ของมู่เฟิงได้พัฒนาขึ้นเป็ระดับทงม่ายขั้นแปดแล้ว นอกจากนี้เส้นลมปราณในจุดที่เก้าของเขายังอยู่ในระหว่างการฟื้นฟู ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ระดับทงม่ายขั้นเก้า เด็กหนุ่มก็มั่นใจว่าเขาจะสามารถเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย
ตอนนี้ร่างของหมาป่าได้เปรอะเปื้อนไปด้วยเืแล้ว กระทั่งความเร็วในการจู่โจมของมันยังช้าลงกว่าเดิมมาก เมื่อถึงเวลาที่ต้องสังหาร มู่ขวงได้ทะยานร่างไปข้างหน้าก่อนจะย่อตัวลงเล็กน้อย และแทงดาบในมือออกไปอย่างรวดเร็ว
ฉึก!
ดาบนี้ทะลวงผ่านลำคอของหมาป่าโดยตรง อุ้งเท้าของมันยังคงพยายามตะกุยตะกายอีกหลายครั้ง แต่ท้ายที่สุดสัตว์อสูรขั้นเก้าที่มีน้ำหนักมากกว่าหนึ่งร้อยกิโลกรัมก็ถูกสังหารลงในการโจมตีเพียงครั้งเดียว
“ฮ่าๆ ทำได้ไม่เลว ทักษะดาบและทักษะร่างกายของเ้าดีขึ้นกว่าเมื่อหลายวันก่อนมาก”
มู่เฟิงะโลงจากต้นไม้และหัวเราะออกมา
“คิกๆ ต้องต่อสู้กับสัตว์อสูรทุกวัน หากข้ายังไม่มีความก้าวหน้าคงกลายเป็คนไม่เอาไหนแล้ว พี่เฟิง หมาป่าตัวนี้ข้ามอบมันให้ท่าน”
มู่ขวงหัวเราะออกมาพลางยกมือขึ้นเกาหัว
“ไม่ต้องหรอก ในเมื่อเ้าลงมือสังหารมันด้วยตัวเอง เช่นนั้นเ้าก็จงใช้มันเพื่อการฝึกของเ้าเถอะ ข้าจะคอยดูแลความปลอดภัยให้เ้าเอง”
มู่เฟิงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม
“อืม เช่นนั้นก็ได้ ข้าคิดว่าหากได้ทำการฝึกอีกครั้ง บางทีคราวนี้ข้าอาจจะสามารถแสดงโล่พลังออกมาได้”
มู่ขวงไม่ปฏิเสธ เขานั่งลงขัดสมาธิในทันที
การฝึกกายาและการฝึกวรยุทธ์นั้นมีการแบ่งระดับขั้นที่เหมือนกัน เพียงแต่ในทุกระดับขั้นของการฝึกกายาจะมีกลยุทธ์พิเศษบางอย่าง สำหรับผู้ฝึกระดับทงม่าย หากสามารถฝึกจนถึงระดับที่สามารถแสดงโล่พลังออกมาได้ ย่อมสามารถต้านทานการโจมตีจากผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ในระดับเดียวกันได้ ร่างกายของคนผู้นั้นจะเป็ราวกับอาวุธที่มีพลังป้องกันในตัวเอง
อาวุธของศัตรูที่อยู่ในระดับเดียวกันจะไม่สามารถทำอันตรายใดต่อผู้ฝึกกายาได้
โล่พลังนั้นจะอยู่ใต้ิัของผู้ฝึกกายา เป็เสมือนชั้นพลังปราณที่ไม่ปรากฏออกมาให้เห็น โดยปกติแล้วหากเป็ผู้ฝึกวรยุทธ์ทั่วไป การจะแสดงชั้นป้องกันแบบนั้นออกมาได้ จำต้องมีวรยุทธ์ระดับหนิงกังขึ้นไป แต่สำหรับผู้ฝึกกายาจะสามารถแสดงออกมาได้ั้แ่ระดับทงม่าย
ดังนั้นมู่ขวงจึงมีข้อได้เปรียบเหนือผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไป เขามีพลังปราณคอยช่วยเื่การฝึกกายา และเมื่อรวมเข้ากับเคล็ดผลาญโลหิตหลอมกายาซึ่งเป็วิธีการฝึกที่น่าอัศจรรย์แล้ว ยิ่งทำให้เส้นทางการฝึกกายาของเขานั้นเป็ไปอย่างรวดเร็ว
โดยปกติแล้วผู้คนส่วนใหญ่ที่เลือกฝึกกายาล้วนเป็เพราะไม่มีปราณกระดูก หรืออาจจะมีปราณกระดูกแต่อยู่ในระดับธรรมดาที่ไม่ถือว่าดีนัก
มู่ขวงกัดกิ่งไม้เอาไว้แน่นในระหว่างที่เขาทำการฝึกฝน ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวจากความทรมาน พร้อมส่งเสียงครางต่ำอยู่ในลำคอ เห็นได้ชัดว่าการฝึกของเขานั้นมีความเ็ปมากเพียงใด ผิวหน้าและผิวกายของเขาพลันกลายเป็สีแดงก่ำ แม้พลังเืจะทำการเผาผลาญร่างกายอย่างต่อเนื่อง แต่สายตาของเขายังคงเปี่ยมล้นด้วยความมุ่งมั่นไร้ซึ่งความขลาดกลัว
มู่เฟิงรู้สึกชื่นชมในความมุ่งมั่นของมู่ขวง ความมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวของอีกฝ่ายนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย
เขาเคยผ่านประสบการณ์ที่มีซากศพกองพะเนินสูงเป็ูเา มีหยาดเืหลั่งไหลราวกับมหาสมุทร แต่มู่ขวงกลับไม่เคยได้รับประสบการณ์เช่นนั้นมาก่อน ดังนั้นการที่เขาสามารถมีพลังใจที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้ ทั้งหมดล้วนมาจากพร์ของตัวเขาเอง
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ในที่สุดการฝึกของมู่ขวงก็ได้สิ้นสุดลง สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความรู้สึกยินดี คราวนี้เด็กหนุ่มเร่งทดสอบโคจรพลังปราณในทันที เขาพบว่าตอนนี้ตนสามารถแสดงโล่พลังออกมาได้แล้ว นอกจากนี้เหมือนว่าพละกำลังของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นอีกด้วย
มู่ขวงหยักกายลุกขึ้นหลังจากเสร็จสิ้นการฝึกฝน จากนั้นเขาและมู่เฟิงได้มุ่งไปข้างหน้าต่อเพื่อล่าสัตว์อสูรอีกครั้ง
ในครึ่งเดือนต่อมา คราวนี้พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับอสูรร้ายระดับจื่อฝู่ที่มีเกล็ดสีนิลปกคลุมไปทั่วร่าง ทันใดนั้นหมูป่าหุ้มเกล็ดที่มีน้ำหนักหลายร้อยจินได้ถูกหมัดของมู่ขวงกระแทกเข้าอย่างจัง จนร่างของมันปลิวไปไกลหลายเมตร
มู่เฟิงที่อยู่ด้านข้างฉวยโอกาสนี้ลงมืออย่างฉับพลัน เขารวบรวมพลังปราณมายังแขนทั้งสองข้าง ขณะดีดฝ่าเท้าทะยานร่างออกไปราวกับลูกธนู และทะลวงดาบไปยังหน้าท้องอ่อนนุ่มที่อยู่ภายใต้เกล็ดสีนิลของหมูป่าในทันที
หมูป่าตัวนั้นกรีดร้องโหยหวนออกมา มู่เฟิงใช้ดาบจวกลงไปอีกสามครั้ง กระทั่งหมูป่าตัวนั้นได้ตายอย่างสมบูรณ์
หลังจากนั้นมู่เฟิงก็ทำการดูดซับพลังเืของหมูป่าตัวนี้ต่อทันที และในที่สุดเส้นโลหิติญญาในจุดที่เก้าของเขาก็ฟื้นคืนกลับมาอย่างสมบูรณ์!
มู่เฟิงรู้สึกดีใจเป็อย่างยิ่ง แต่ทันใดนั้นเอง หลังจากที่เส้นโลหิติญญาในจุดที่เก้าถูกควบแน่นขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว เหมือนว่าเส้นโลหิติญญาในจุดที่สิบก็กำลังจะควบแน่นขึ้นมาเช่นกัน!
มู่เฟิงตกตะลึง แต่เขาไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเื่นี้ เด็กหนุ่มยังคงตั้งหน้าตั้งตาดูดซับพลังเืจำนวนมากที่เหลือต่อไป จนกระทั่งเส้นโลหิติญญาในจุดที่สิบถูกควบแน่นได้ถึงครึ่งทาง ในที่สุดพลังเืก็หมดลง
เวลานี้พลังปราณของเขาได้ไหลเวียนไปทั่วเส้นลมปราณทั้งเก้าจุดแล้ว!
กล่าวได้ว่าวรยุทธ์ของเขาในตอนนี้ได้อยู่ในระดับทงม่ายขั้นเก้าแล้ว นั่นหมายความว่าอีกไม่นานเขาก็จะสามารถฟื้นฟูวรยุทธ์ระดับจื่อฝู่ให้กลับคืนมาได้