เฉียวเยว่อารมณ์ไม่ค่อยดี หน้าตาบึ้งตึงทั้งวัน ปานอยากจะจับคนกิน
"นี่เ้าเป็อันใด อยู่บ้านดีๆ ไยชักสีหน้าเยี่ยงนั้น?"
เฉียวเยว่ยิ้มออกมาอย่างน่ารักทันควัน "ข้าผิดไปแล้ว"
หลังจากนั้นก็กล่าวว่า "ข้ามิได้ชักสีหน้านะเ้าคะ ข้าแค่กำลังใคร่ครวญบางเื่ ท่านแม่ก็รู้ขณะที่เราใช้ความคิดอาจมีสีหน้าบิดเบี้ยวอยู่บ้าง"
การอธิบายอย่างบิดเบือนเช่นนี้ทำให้ไท่ไท่สามรู้สึกจนปัญญา นางกลอกตาใส่บุตรสาว "เ้านี่คิดแต่เื่เพ้อเจ้อไร้แก่นสารจริงๆ"
เฉียวเยว่หัวเราะออกมา มองสังเกตสีหน้าของมารดาอย่างพินิจ แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยถาม "ท่านแม่ ดูเหมือนท่านจะไม่สบายใจนะเ้าคะ"
ไท่ไท่สามชะงักไปเล็กน้อย "ข้าไม่สบายใจที่ไหนกัน"
มีคำกล่าวว่าไม่มีผู้ใดรู้ใจมารดามากไปกว่าบุตรสาว เฉียวเยว่ในฐานะบุตรย่อมรู้ว่าไท่ไท่สามคิดสิ่งใดในใจ "มีคนรังแกท่านแม่หรือเ้าคะ?"
ไท่ไท่สามส่ายหน้า หลังจากนิ่งไปสักพักก็เอ่ยว่า "ฮองเฮามีพระเสาวนีย์เรียกข้าเข้าวัง"
เฉียวเยว่อึ้งงัน หลังจากนั้นก็หรี่ตาเล็กน้อยถามว่า "เพราะเหตุใด?"
แม้จะเป็ญาติฝ่ายบุตรเขย แต่เฉียวเยว่ก็ไม่รู้สึกว่าฮองเฮาจะทรงโปรดมารดาของนาง ถึงอย่างไรก็มีหลายเื่เข้ามาพัวพัน ท่านลุงก็เคยทำให้ฮองเฮาเสียพระพักตร์มาแล้ว พระนางไหนเลยจะไม่คิดแค้นเคือง
เฉียวเยว่ไม่คิดว่าผู้อื่นจะใจกว้างขนาดนั้น ในโลกนี้ไม่ว่าชายหรือหญิงยิ่งอยู่ตำแหน่งสูงนานเท่าไร ก็ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงความใจกว้าง ทุกคนล้วนต้องคล้อยตามนาง เคารพนาง แต่บัดนี้กลับมีคนต่อต้าน เฉียวเยว่ไม่คิดว่าฮองเฮาจะสามารถเปิดใจให้กว้างได้
"ข้าคิดว่า เป็ไปได้แปดส่วนที่ฮองเฮาจะไม่มีเจตนาดี"
ไท่ไท่สามหัวเราะพรืดออกมา "เ้ารู้อีกแล้วหรือ แต่อย่าเอาเื่ดีชั่วของฮองเฮาไปนินทาลับหลังอีกเล่า"
"ข้ามิได้พูดปดเสียหน่อย แท้จริงแล้วท่านแม่ก็รู้อยู่แก่ใจว่าข้าพูดมีเหตุผลอย่างยิ่ง"
ไท่ไท่สามย่อมเข้าใจ แต่นางกลับสงวนวาจาก้มหน้าใช้ความคิด
เฉียวเยว่นึกดูแล้วก็ถามอีก "ท่านแม่ ให้ข้าเข้าวังเป็เพื่อนท่านดีหรือไม่ ทัพมาเอาขุนพลต้าน น้ำมาเอาดินถม ต่อให้นางวางแผนเล่นงานพวกเรา พวกเราก็ยังเป็กองกำลังสองแม่ลูกร่วมด้วยช่วยกัน"
ไท่ไท่สามเดิมทีอารมณ์ไม่ดีนัก แต่ถูกนางพูดติดตลกจนอดไม่ไหวหัวเราะออกมา "เ้านี่นะ พูดเหลวไหลอันใดกัน ไม่มีพระเสาวนีย์ฮองเฮา เ้าจะเข้าวังไปพร้อมกับข้าได้อย่างไร"
นางไม่เห็นด้วย ต่อให้เกิดเื่ นางก็ไม่ปรารถนาให้บุตรสาวเข้ามาติดร่างแห
"แต่ว่า..."
"ไม่มีแต่" ไท่ไท่สามพูดตัดบทอย่างเด็ดขาด
ดวงหน้าน้อยของเฉียวเยว่พองออก สีหน้าเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
ขณะสองแม่ลูกกำลังคุยกัน ก็เห็นหลันหมัวมัวเข้ามาอย่างเร่งร้อน "ไท่ไท่ คุณหนูเจ็ด อวี้อ๋องกับคุณหนูหลี่มาถึงแล้วเ้าค่ะ"
หลายวันมานี้ในเมืองหลวงครึกครื้นอย่างมาก นอกจากข่าวลือเื่ที่ไท่ไท่สามสกุลซูมิอาจตั้งครรภ์ ก็ยังมีเื่ซุบซิบหนาหูว่าคุณหนูสามสกุลซูคิดจะถอนหมั้น ทั้งสองคนล้วนมีความเกี่ยวข้องกับสกุลซู ทว่าอีกคนที่ตกเป็ข่าวกลับไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับสกุลซู
ใครๆ ต่างรู้ว่ามีแม่นางโฉมงามประดุจบุปผาคนหนึ่งเข้ามาในจวนอวี้อ๋อง เื้ัไม่แน่ชัด สถานะไม่แน่ชัด ที่มาก็ไม่แน่ชัด แต่กลับมีรูปโฉมงามสะคราญ
มีคนคาดคะเนว่าสตรีผู้นี้จะเป็คนร่วมหมอนกับอวี้อ๋องหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรแม่นางคนนี้ก็งดงามสุดจะพรรณนา
แต่ดูจากท่าทีที่อวี้อ๋องให้ความเคารพยำเกรงต่อนางตลอดเวลา ทั้งยังเรียกว่าศิษย์พี่หญิง ก็ยิ่งเพิ่มความสับสนให้กับผู้อื่น กระแสข่าวนี้กลบเื่ของสกุลซูไปชั่วขณะ ทุกคนต่างคาดเดากันไปต่างๆ นานาว่าแม่นางผู้นี้เป็ใครกันแน่
หลันหมัวมัวไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ก็เกิดความสงสัยใคร่รู้ เอ่ยถามว่า "จะให้บ่าวไล่พวกเขากลับไปหรือไม่?"
เฉียวเยว่หัวเราะเสียงดังออกมา "หมัวมัว ไยต้องไล่ผู้อื่นไปด้วยเล่า"
"ตรวจอาการป่วยเสร็จสิ้นไปแล้ว ยังจะพาคุณหนูหลี่มาด้วยกันอีก นี่มิใช่เป็การวางอำนาจข่มคุณหนูหรือเ้าคะ"
เฉียวเยว่หน้าแดงซ่านในพริบตา พูดเสียงกระเง้ากระงอด "หมัวมัวน่าชังนัก ท่านพูดเหลวไหลอันใด ข้ากับพี่จ้านมิได้มีความเกี่ยวข้องกันสักนิด เหตุใดนางต้องมาวางอำนาจข่มข้าด้วยเล่า อีกอย่างศิษย์พี่ก็คือศิษย์พี่ พวกเ้าอย่าคิดกับนางไปในทางเหลวไหลพรรค์นั้น"
เฉียวเยว่ทำสีหน้าจริงจัง ไท่ไท่สามมองนางปราดหนึ่งก็อมยิ้ม "อย่ามัวแต่คุยไร้สาระ รีบไปเชิญแขกเข้ามาเถอะ"
ไม่ช้า ก็เห็นหรงจ้านเข้ามาพร้อมกับศิษย์พี่หญิงของเขา หลี่เฉิงซูยังคงเ็าตามความเคยชิน แต่เฉียวเยว่กลับเข้าอกเข้าใจ คนเคยตกระกำลำบากเผชิญกับความไม่เป็ธรรมมากมายขนาดนั้นั้แ่เล็ก จู่ๆ จะให้เปลี่ยนนิสัยตอนนี้ก็คงเป็ไปไม่ได้
"พี่หญิงหลี่" นางเอ่ยทักทาย หลังจากนั้นก็เข้าไปจับมือหลี่เฉิงซูอย่างกระตือรือร้น หรงจ้านเลิกคิ้วมองนาง
เฉียวเยว่ยิ้มพราย "พี่จ้านพาพี่หญิงหลี่มาที่นี่ ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะมีข่าวลืออันใดอีกบ้าง แต่หวังว่าในข่าวนี้ ภาพลักษณ์ของข้าจะออกมาดี"
ไท่ไท่สามอยากจะกลุ้มใจตายเพราะบุตรสาวคนนี้ นางพูดแต่เื่ไร้แก่นสารได้ทั้งวัน "เมื่อเ้ามีพลังพูดจาไร้สาระเหลือเฟือถึงเพียงนี้ ไยไม่คิดไตร่ตรองให้ข้าบ้าง ว่าสิ่งใดควรพูด สิ่งใดไม่ควรพูด"
เฉียวเยว่ถูกมารดาตำหนิก็แลบลิ้นออกมา
สายตาของหรงจ้านเลื่อนไปที่ริมฝีปากน้อยๆ ของนาง พลันรู้สึกคันยุบยิบในลำคอ
ั้แ่เริ่มจับความคิดของตนเองได้ หรงจ้านก็รู้สึกว่าตนเองเหมือนคนวิปริต ไม่ว่าตรงไหนก็คันยุบยิบไปหมด อยากจะัั อยากจะลูบคลำ อยากจะจุมพิตนาง ดูเหมือนว่าจะมีเพียงวิธีเหล่านี้เขาถึงจะรู้สึกสบายขึ้น
หรงจ้านเม้มปาก ก่อนเอ่ยว่า "ท่านป้าอย่าตำหนิเฉียวเยว่เลย นางพูดมาล้วนเป็ความจริง ่นี้มีคนมากกว่าหนึ่งคนมาเลียบเคียงสอบถามเื่นี้ถึงจวนข้า"
"ผู้อื่นจะเป็เช่นไรข้าไม่แยแส แต่สตรีไม่ควรพูดมากเกินไป เด็กคนนี้ไม่รู้เื่เลยสักนิด" ไท่ไท่สามกล่าว
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก ก่อนเอ่ยเสียงเบา "อันที่จริง ข้าก็ไม่ได้มีความหมายเป็อย่างอื่น แค่อยากสร้างบรรยากาศให้ครื้นเครงหน่อยเท่านั้นเอง มิเช่นนั้นท่านแม่ก็เอาแต่ทำหน้าบึ้งไม่มีความสุข พี่จ้านก็เป็ท่านอ๋องน้อยหุบเขาน้ำแข็ง ส่วนพี่หญิงหลี่ยังมีสีหน้าเ็าอีก จนในห้องนี้หนาวเย็นไปหมดแล้ว"
ไท่ไท่สามรู้สึกจนปัญญากับนางอย่างยิ่ง อยู่ต่อหน้าอวี้อ๋องจะทำตัวให้ดีหน่อยไม่ได้หรือ พูดแต่เื่ไร้แก่นสาร น่าขายหน้าเสียจริง
แต่ไท่ไท่สามก็ไม่ได้ว่าอะไร หรงจ้านนั่งลงแล้วเอ่ยเข้าเื่สำคัญ "แท้จริงแล้วที่พวกเรามาโดยมิได้รับเชิญครานี้ก็เพราะมีเื่สำคัญ"
"เื่อันใด?" ไท่ไท่สามงุนงง
"ก็เื่ที่เ้าต้องเข้าวังนั่นแหละ" ซูซานหลางเข้ามาในห้อง ประสานมือทำความเคารพอวี้อ๋อง แล้วกล่าวอีกว่า "รบกวนคุณหนูหลี่แล้ว"
"เมื่อจ้านเอ๋อร์เอ่ยปาก ข้าก็ไม่อยากให้เขาลำบากใจ" หลี่เฉิงซูกล่าวเรียบๆ
หลังจากนั้นก็พูดอีกว่า "ข้าจะเขียนเทียบยาให้พวกท่าน กินวันละสามครั้งหลังอาหาร และเย็นวันพรุ่งนี้ข้าจะมาค้างคืนในจวนของพวกท่านเพื่อฝังเข็มให้"
นางมิได้อธิบายมากมาย เพียงแต่บอกในสิ่งที่ตนเองต้องทำและสิ่งที่พวกเขาต้องทำ
แม้จะชวนให้รู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เวลานี้ซูซานหลางรู้ว่าเป็ไปไม่ได้ที่หรงจ้านจะเอาเื่นี้มาล้อเล่น ด้วยเหตุนี้จึงตอบกลับไป "พวกเราทราบแล้ว"
"ยานี้พวกเราต้องกินพร้อมกันใช่หรือไม่?" ไท่ไท่สามเอ่ยถาม
หลี่เฉิงซูพยักหน้า "ใช่แล้ว"
หลังจากนั้นก็ลุกขึ้น "วิธีการต้มแตกต่างจากทั่วไปอยู่บ้าง ข้าจะทำให้พวกท่านดูเป็ตัวอย่างครั้งหนึ่ง ท่านเตรียมคนที่เชื่อถือได้มาเรียนรู้ นอกจากนี้กากยาต้องเผาทิ้ง หากพวกท่านไม่อยากมีเื่วิตกกังวลภายหลัง ก็อย่าให้ใครเห็น"
ซูซานหลางพยักหน้ารับอย่างจริงจัง "จุดนี้ท่านวางใจได้"
หลี่เฉิงซูผงกศีรษะ "ท่านเข้าใจก็ดี"
แท้จริงแล้วคนของเรือนสามผ่านการคัดกรองมาอย่างพิถีพิถัน ทุกคนสามารถเชื่อใจได้ แต่ไท่ไท่สามก็ยังคงมอบหมายงานนี้ให้หลันหมัวมัว หลันหมัวมัวกับหลี่เฉิงซูไปห้องครัวเล็กด้วยกัน
ซูซานหลางมองหรงจ้าน เขาไม่เคยเคร่งขรึมจริงจังเท่านี้มาก่อน "เื่นี้ต้องขอบคุณท่านมาก"
หรงจ้านทำตัวปรกติ ยิ้มกล่าวเสียบเรียบ "สมควรแล้ว"
คำกล่าวนี้ฟังมีความหมายลึกซึ้งอยู่บ้าง
อันใดสมควร อันใดไม่สมควร!
แต่เวลานี้ซูซานหลางไม่คิดจะใส่ใจ กล่าวเพียงว่า "ไม่ว่าอย่างไรสิ่งที่ควรขอบคุณ ข้าต้องขอบคุณแน่นอน"
มุมปากของหรงจ้านโค้งขึ้น แลดูเยือกเย็นสง่างาม แล้วเอ่ยราวกับเป็เื่ธรรมดา "พอดีข้าเองก็ไม่ชอบฮองเฮาสักเท่าไร หากเดาไม่ผิด นางน่าจะตรวจร่างกายของพวกท่าน ไม่ว่าผลที่ออกมาจะดีหรือร้าย ปัญหาต้องถูกยัดเยียดให้เป็ท่านป้าอย่างแน่นอน"
เขาทำสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม "ท่านป้ามีปัญหา นางถึงจะสามารถจัดเตรียมอนุให้ท่านลุงได้อย่างถูกต้องชอบธรรม ถึงอย่างไรก็เป็ฮองเฮา ลุงท่านไม่สามารถปฏิเสธซึ่งหน้า อีกอย่างควรรู้ว่าเื่นี้ทำไปเพื่อประโยชน์ของท่านเอง"
จุดนี้ซูซานหลางย่อมคิดได้ แต่เป็ส่วนที่เขากำลังวิตกกังวล แต่ตราบใดที่ตรวจสอบไม่พบสภาพร่างกายที่แท้จริงของอาอิ่ง ฮองเฮาถึงจะหมดข้ออ้าง
เขาคุยกับฝ่าาแล้ว หากฮองเฮาทรง้าเช่นนี้จริง ฝ่าาก็จะเตรียมหมอหลวงให้ทำการตรวจสอบใหม่อีกครั้ง เพื่อไม่ให้ฮองเฮาสามารถเข้ามาแทรกแซงอะไรได้
เพียงแต่สุขภาพของอาอิ่ง... ซูซานหลางรู้อยู่แก่ใจ คนที่มีปัญหาแท้จริงแล้วคืออาอิ่ง แต่หลายปีมานี้เขาล้วนบอกใครๆ ว่าตนเองคือคนที่มีปัญหา อันที่จริงในใจอาอิ่งก็รู้เื่นี้มานานแล้ว นางเฉลียวฉลาดถึงปานนั้น จะไม่รู้ได้อย่างไร
ซูซานหลางมองภรรยา ฉีอิ่งซินทอยิ้มน้อยๆ เอ่ยเสียงเบา "ซานหลางอย่าวิตกไปเลย"
"พวกท่านวางใจได้ ฮองเฮาคิดจะเล่นลูกไม้ ก็ต้องดูก่อนว่าไทเฮาทรงยินยอมหรือไม่ ในวังหลังแห่งนี้ มิได้อยู่ในความควบคุมของฮองเฮาแต่เพียงผู้เดียว"
เฉียวเยว่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเื่เ่าั้ แต่ก็รู้สึกเหนื่อยใจอย่างมาก คนนอกอย่างนางยังรู้สึกได้ถึงความซับซ้อนวุ่นวายของวังหลัง พี่สาวของนางเป็ชายารัชทายาท คิดดูแล้วก็ยิ่งไม่ง่ายเลย
"ฮองเฮาทรงทำเช่นนี้ แท้จริงแล้วมีประโยชน์อันใดต่อตัวนางหรือ? สมองเลอะเลือนจริงๆ หากมีเวลามากขนาดนั้น มิสู้ไปหาวิธีผูกมัดใจฝ่าากับรัชทายาทให้ได้ถึงจะเรียกว่ามีความสามารถแท้จริง สู้กับไทเฮา สู้กับลูกสะใภ้ให้ได้อะไรขึ้นมา ดูท่าคงจะหมดปัญญาแล้วจริงๆ น่าเบื่อ! หรงเหยียนอยู่ว่างๆ ไม่มีงานทำก็ได้แต่อิจฉาริษยา เห็นผู้อื่นดีกว่าไม่ได้ นางให้ท้ายบุตรสาวเช่นนี้ ไม่ช้าก็เร็วต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน"
เฉียวเยว่พูดจบ ก็เห็นทุกคนมองมาที่นางอย่างพร้อมเพรียง
"ข้าพูดผิดหรือ?" นางยักไหล่อย่างไม่ยี่หระ
ซูซานหลาง "ว่าไม่ว่าจะผิดหรือไม่ นี่เป็ถ้อยคำที่เ้าสมควรพูดออกมาหรือ?"
เฉียวเยว่หัวเราะ ประกบฝ่ามือแล้วกล่าวว่า "ข้ารู้ พวกท่านไม่ทรยศข้าหรอก ข้าถึงวางใจเป็พิเศษ"
"เ้าไม่พูด ข้าจะวางใจมากกว่า" ซูซานหลางกล่าวอย่างระอาใจ
เฉียวเยว่หน้าแตกยับเยิน บิดาหักหน้ากันเช่นนี้จะดีจริงหรือ?
มุมปากของหรงจ้านโค้งขึ้น เฉียวเยว่ถลึงตาใส่เขาอย่างข่มขู่ หรงจ้านอึ้งเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นรอยยิ้มก็กว้างขึ้นกว่าเดิม
"ศิษย์พี่ต้มยาต้องใช้เวลาอีก่หนึ่ง ไม่ทราบว่าพวกเราจะอยู่จนถึงเที่ยงวันได้หรือไม่?"
ซูซานหลางมุมปากกระตุกเล็กน้อย ถอนใจให้กับความหน้าหนาของคนผู้นี้จริงๆ
"แน่นอนว่าต้องอยู่ต่อ หากท่านอ๋องจะไป ข้าคงจะไม่เห็นด้วย" ไท่ไท่สามตอบทันที
หรงจ้านอมยิ้ม "เช่นนั้นข้าจะไปทำกับข้าวให้พวกท่านสักสองสามอย่าง"
เขาถกแขนเสื้อขึ้น "พวกท่านอย่ารังเกียจก็พอ..."
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้