“ท่านยายกับท่านป้าสะใภ้?” ติงเหว่ยยิ่งฟังยิ่งสับสนมากขึ้นเรื่อยๆ แม่ของข้าเป็เด็กกำพร้าไม่ใช่หรือ หลังจากแต่งงานกับท่านพ่อ วันๆ ก็ยุ่งอยู่แต่ในร้านน้ำชา นางไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าท่านแม่ยังติดต่อกับทางญาติอยู่ เมื่อคิดได้เช่นนั้นนางจึงโผล่ศีรษะออกมาจากผ้าห่ม กำลังจะเอ่ยปากถาม ในคราแรกนางคิดว่าไม่ใช่เื่สำคัญอะไร แต่ในเสี้ยววินาทีต่อมาก็ต้องลุกขึ้นนั่งด้วยความใ
ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างนางคือใครกันนะ?
ดูท่าทางแล้วน่าจะอายุประมาณ 40 ปี รูปร่างอวบเล็กน้อย สวมเสื้อผ้าสีน้ำเงินลักษณะดูแปลกตาอย่างอธิบายไม่ถูก ผมของนางเกล้าไว้ด้วยปิ่นปักผมลายดอกไม้แกะสลักที่ทำจากไม้ ถึงแม้ว่าน้ำเสียงจะเหมือนท่านแม่ของนาง แต่ต้องไม่ใช่คนๆ เดียวกันอย่างแน่นอน!
“ท่านเป็ใคร?”
เดิมทีฮูหยินยังยิ้มอย่างอ่อนโยนและเต็มไปด้วยความรักความเมตตา แต่หลังจากได้ยินคำถามดังกล่าวถึงกับต้องสะดุ้ง นางรีบยื่นมือไปแตะหน้าผากของติงเหว่ย และถามด้วยความสงสัยว่า “เ้าเด็กคนนี้ หรือว่าเ้ากำลังฝันร้ายอยู่งั้นเหรอ? ข้าก็เป็แม่ของเ้าน่ะสิ!”
ติงเหว่ยเผลอหลบมือของนางโดยไม่รู้ตัว และหันไปมองรอบๆ ห้อง หน้าต่างไม้ที่ปกคลุมไปด้วยฉากกั้นสีแดงอ่อน เก้าอี้ทรงกลมตัวเล็กๆ ดูนุ่มๆ ตั้งอยู่ข้างใต้หน้าต่าง ทั้งยังมีตะกร้าเย็บผ้าที่สานจากฟาง ขาเตียงที่ตกแต่งด้วยผ้าคลุมสีแดง ทุกสิ่งทุกอย่างช่างดูแปลกตาไปหมดจนทำให้นางสงสัยว่าหรือนี่คือความฝันกันนะ ดังนั้นนางจึงยกมือขึ้นมาบีบที่หน้าตัวเองแรงๆ
ฮูหยินนางนั้นรู้สึกปวดใจ รีบดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดพร้ะโกนว่า “จือเอ๋อร์ จือเอ๋อร์ลูกแม่ เ้าเป็อะไรไป? เ้าอย่าทำให้แม่ใสิ ถ้าเ้าเป็อะไรไปข้าก็ไม่อยากอยู่แล้วเหมือนกัน!”
อาจเพราะได้ยินเสียงแปลกๆ ดังออกมาจากภายในห้องจึงทำให้มีคนสองสามคนวิ่งเข้ามาจากทางด้านนอกประตู ฮูหยินน้อยทั้งสองเข้ามาล้อมรอบทั้งคู่ไว้ตรงกลาง คนหนึ่งยืนข้างซ้ายและอีกคนหนึ่งยืนข้างขวา พวกนางรีบถามอย่างร้อนรนว่า “ท่านแม่ น้องหญิง เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?”
ฮูหยินวัยกลางคนกลับไม่สนใจพวกนาง พุ่งตัวไปคว้าชายหน้าตาซื่อๆ คนหนึ่งที่ยืนอยู่วงนอก พร้ะโกนว่า “ฉือโถว เ้ารีบไปเชิญท่านหมอจางมาเร็ว น้องหญิงเ้าป่วยเป็โรคอี้เจิ้ง [1] นางจำข้าไม่ได้แล้ว”
ทันทีที่ชายหนุ่มได้ยินดังนั้น เขาก็หันหลังกลับและวิ่งออกไปทันที หญิงสาวทั้งสองคนมองหน้ากันและพากันเกลี้ยกล่อมนางว่า "ท่านแม่รีบแต่งตัวน้องหญิงให้เรียบร้อยก่อนเถิด อีกครู่หนึ่งหากท่านลุงจางมาเห็นเข้าจะดูไม่ดีเอาได้"
“ได้ๆ” หญิงวัยกลางคนตั้งสติได้แล้วก็รีบสวมเสื้อคลุมและหวีผมให้ลูกสาว ติงเหว่ยปล่อยให้นางทำไป ดวงตาของติงเหว่ยเอาแต่จ้องไปที่หน้าต่าง ไม่กล้าขยับตัวแม้เพียงนิด ในสมองเต็มไปด้วยความสับสนราวกับชามที่ใส่แป้งต้มใบหนึ่ง [2]
……
เดิมทีเมื่อวานนางเพิ่งทะเลาะกับท่านพ่อใหญ่โตเื่การสืบทอดกิจการของตระกูล เนื่องจากท่านพ่อเป็คนหัวโบราณ ให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว รู้ทั้งรู้ว่าน้องชายของนางเรียนการออกแบบโปรแกรม ส่วนนางก็ชอบทำอาหารมาแต่ไหนแต่ไร และได้เรียนเคล็ดลับของตระกูลไปมากกว่าครึ่ง แต่ท่านพ่อกลับยืนกรานว่าตามธรรมเนียมต้องให้ลูกชายสืบทอดกิจการ ไม่ใช่ลูกสาว ให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมสอนเคล็ดลับการทำอาหารที่สืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษให้นาง นางโกรธมากจนผล็อยหลับไปทั้งน้ำตา วันนี้ยังวางแผนว่าจะทำซาลาเปาไส้ปูตอนเช้า เผื่อบางทีท่านพ่ออาจจะเปลี่ยนใจเพราะเห็นพร์ของนางก็เป็ได้ ทว่าในตอนกลางดึกนางกลับฝันหวานราวกับฤดูใบไม้ผลิ [3] แล้วทำไมพอลืมตาขึ้นมากลับอยู่ในที่แปลกๆ อีก?
หรือเหล่าเทียนเย่ [4] ทนไม่ได้ที่นางทำให้ท่านพ่อโกรธจนปวดหัว จึงขับไล่นางออกจากโลกที่เคยอาศัยอยู่? ต่อจากนี้ข้าจะทำอย่างไรต่อไป นี่มันโลกสมัยโบราณชัดๆ ไม่ว่าจะเป็วาดภาพ เล่นดนตรี แต่งกลอน หรือวิถีกุลสตรี นางทำไม่เป็สักอย่าง แถมในหัวยังเต็มไปด้วยแิสตรีนิยมอีก เช่นนี้คงไม่พ้นถูกมองว่าเป็นางปีศาจแล้วถูกจับเผาตายทั้งเป็หรอกหรือ?
เมื่อคิดเช่นนี้นางก็ตัวสั่นและเผลอโผเข้ากอดผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ โดยไม่รู้ตัว ในขณะที่ฮูหยินคนนั้นกำลังเช็ดน้ำตา เมื่อเห็นนางมีท่าทีเช่นนี้จึงเริ่มจะะโออกมาอีกครา โชคดีที่ชายหนุ่มคนนั้นพาท่านหมอาุโสวมชุดฉางเผ่า [5] สีน้ำเงินกลับมาได้ทันเวลาพอดี
ท่านหมอวางกล่องยาลงพร้อมค่อยๆ สูดลมหายใจช้าๆ จากนั้นยื่นมือมาจับชีพจรของติงเหว่ย ในที่สุดเขาก็กะพริบตาสองครั้งแล้วตำหนิว่า “ครอบครัวพวกเ้าคงจะเลอะเลือนกันไปหมดแล้ว สาวน้อยนางนี้ไม่ได้ป่วยเป็อะไรเลย ไม่รู้จะพาข้ามาให้วุ่นวายแต่เช้าตรู่ทำไมกัน?”
หญิงวัยกลางคนส่ายหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่าและร้องไห้พร้อมบอกว่า "ท่านหมอจาง ั้แ่นางตื่นนอนตอนเช้า จื่อเอ๋อร์ของเราจำใครไม่ได้เลย แม้กระทั่งข้านางก็จำไม่ได้ด้วยซ้ำ ท่านโปรดช่วยดูให้ละเอียดขึ้นอีกหน่อยเถิดว่านางเป็อะไรกันแน่?"
เมื่อท่านหมอได้ยินดังนั้นก็รีบจับชีพจรอีกครั้ง จากนั้นตรวจดูที่ลิ้นและตาของติงเหว่ยอย่างละเอียด แต่ท้ายที่สุดเขาก็เอ่ยออกมาด้วยความสับสน "แต่สาวน้อยคนนี้ไม่มีอะไรผิดปกติจริงๆ น่ะสิ?"
ในเวลานี้ติงเหว่ยพยายามระงับอาการตื่นตระหนกและเรียกสติกลับมา นางกลอกดวงตาไปมาและเอ่ยด้วยเสียงแ่เบาว่า “ข้าปวดศีรษะนึกอะไรไม่ออกเลย”
“อ้าว เ้าปวดศีรษะหรือ?” เมื่อหมอาุโได้ยิน "คำท้วง" ก็เริ่มตื่นตัวขึ้นมาทันที เขาแสร้งทำเป็ลูบเคราเบาๆ สองสามครั้งแล้วถามว่า "ใน่ไม่กี่วันที่ผ่านมาศีรษะเ้าได้กระแทกโดนอะไรหรือเปล่า หรือมีเื่โมโหทะเลาะวิวาทกับใครหรือไม่?"
หญิงวัยกลางคนดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงพูดขึ้นมาทันทีว่า "เมื่อคืนก่อนนอนนางทะเลาะกับข้าเพราะจะขอไปตลาด แต่ข้าคิดว่าวันนี้จะพานางไปบ้านยายข้าก็เลยไม่ได้ตอบรับ เป็เพราะสาเหตุนี้อย่างนั้นหรือ?"
“โธ่เอ๋ย เกรงว่าจะเป็เพราะเหตุนี้แหละ” หมอาุโพยักหน้าถี่ๆ “ความโมโหเป็อันตรายต่อตับ อารมณ์โกรธมากๆ จะเป็อันตรายต่อจิตใจ สาวน้อยคนนี้เข้านอนด้วยความโกรธจึงทำให้จิตใจบอบช้ำ แต่ไม่ต้องกังวล ข้าจะสั่งตำรับยาอันเฉิน [6] ให้ต้มกิน หลังจากที่กินแล้วร่างกายจะค่อยๆ รักษาตัว ไม่กี่วันก็หายดีแล้ว”
“จริงหรือ? ถ้า…ถ้าอย่างนั้นต่อไปข้ายังนึกอะไรไม่ออกล่ะ ข้าปวดศีรษะเหลือเกิน” ติงเหว่ยเอ่ยปากถามเพื่อเตรียมที่จะหาข้ออ้างสูญเสียความทรงจำต่อไปในอนาคต
ท่านหมอาุโโบกมืออย่างไม่กังวล แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เ้าเป็แค่หญิงสาว ไม่ใช่เด็กน้อยที่เรียนหนังสือ ต่อให้ลืมเื่ในอดีตไปแล้วอย่างไรคนที่เ้ารู้จักก็มีเพียงแค่คนในตระกูลไม่กี่คนเท่านั้น”
ติงเหว่ยถูกทำร้ายจิตใจอีกครั้ง ต่อให้เปลี่ยนเป็คนละยุคสมัยก็มิอาจหนีพ้นชะตากรรมที่โดนดูถูกในฐานะลูกสาวไปได้
หญิงวัยกลางคนสังเกตเห็นว่าลูกสาวมีสีหน้าไม่ค่อยดีจึงรีบเข้าไปปลอบ “เหว่ยเอ๋อร์อย่าได้เศร้าใจไปเลย หากเ้าลืมเื่อะไร จากนี้ไปแม่จะคอยช่วยเตือนเ้าให้เอง รอเ้าหายดีแล้วแม่จะพาเ้าไปตลาดนะ"
ติงเหว่ยทำได้เพียงพยักหน้า ถอนหายใจเงียบๆ ในใจ แล้วขอร้องว่า “ท่านแม่ ข้าเหนื่อยแล้ว ขอนอนพักอีกสักหน่อย”
“ได้ๆ ครั้งนี้แม่จะไม่กวนเ้าแล้ว เ้าอยากนอนนานเท่าไรก็ได้” เมื่อหญิงวัยกลางคนนางนั้นได้ยินลูกสาวเรียกนางว่าท่านแม่ก็เริ่มคลายความกังวล แล้วรีบพาลูกสะใภ้ทั้งสองออกไป
ติงเหว่ยจ้องมองไปยังไม้คานสีฟ้าอมดำที่เพดานห้องอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ยื่นมือทั้งสองข้างออกจากผ้าห่มเพื่อทำความคุ้นเคยกับร่างใหม่ ทว่าทันใดนั้นนางรู้สึกเ็ปจนต้องร้องออกมา นางตื่นตระหนกแต่ก็ไม่ได้สนใจ สักพักหนึ่งจึงเริ่มสงบลง นางค้นพบว่าเหตุใดร่างใหม่นี้ถึงได้ขยับแขนลำบากราวกับเคยโดยรถบรรทุกทับมาอย่างไรอย่างนั้น?
นางลองขยับขาทั้งสองข้างใต้ผ้าห่มอีกครั้ง ปรากฏว่าเ็ปจนต้องขมวดคิ้ว ไม่รู้เพราะเหตุใดอยู่ดีๆ ความฝันแปลกๆ เมื่อคืนกลับปรากฏขึ้นในใจของนาง เป็ไปได้หรือไม่ว่าความฝันนั้นจะทำให้รู้สึกเหนื่อยได้ถึงเพียงนี้?
จิตใจของนางเต็มไปด้วยคำถามเหล่านี้ สุดท้ายนางทนความเหนื่อยล้าทั้งกายและใจไม่ไหว จึงค่อยๆ หลับไป ขณะที่หลับอยู่ก็รู้สึกราวกับมีเสียงแ่เบาเกลี้ยกล่อมให้นางดื่มยาขมๆ หนึ่งชาม จากนั้นนางจึงผล็อยหลับลึกไป…
……
“ท่านอา เย็นนี้เราจะกินอะไรกันดี ต้าเป่าหิวแล้ว!” เด็กชายอ้วนกลมผมถักเปียนั่งอยู่บนธรณีประตู ดวงตากลมโตของเขามองไปยังหญิงสาวที่อยู่ไม่ไกลแล้วกลอกตาไปมา ทั้งยังกลืนน้ำลายไม่หยุดตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าเขาคงหิวมาก
ติงเหว่ยหันกลับมาเห็นเด็กชายอ้วนกลมท่าทางน่าเอ็นดู อดไม่ได้ที่จะยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ต้าเป่าเป็เด็กดีนะ เดี๋ยวเย็นนี้ท่านอาจะทำแป้งทอดไส้ผักบุ้งให้กิน ข้ารับรองว่าเ้าจะต้องกินอิ่มจนพุงป่อง”
“ดีจังเลยๆ ต้าเป่าชอบท่านอาที่สุด ท่านอาเป็คนดีที่สุด” เด็กอ้วนตัวน้อยรีบปรบมือพร้อมพูดชม เด็กน้อยช่างปากหวานอะไรเช่นนี้ ถึงกับทำให้ติงเหว่ยหัวเราะเสียงดังออกมา
จากวันนั้นที่นางตื่นขึ้นมาก็เป็เวลากว่าครึ่งเดือนแล้ว นางค่อยๆ เริ่มยอมรับความจริงว่านางกลายเป็หญิงสาวในสมัยโบราณที่มีชื่อเดียวกัน
สมาชิกในครอบครัวสกุลติงมีทั้งหมด 9 คน ท่านพ่อเป็ชาวนาดูซื่อๆ ชื่อติงเหล่าฉือ ตลอดชีวิตเขาหาเลี้ยงตระกูลด้วยผืนนาแปดหมู่ [7] ท่านแม่สกุลหลี่ว์ชื่อว่ากุ้ยเหนียง นางมีนิสัยอ่อนโยนและจิตใจดี มีชื่อเสียงมากในหมู่บ้านว่าเป็แม่ที่ดี เลี้ยงลูกเก่งแถมยังมีลูกชายสองคน และลูกสาวอีกหนึ่งคนให้กับสกุลติง
ลูกชายคนโตชื่อติงฉือโถว เป็คนซื่อสัตย์และขยันทำงาน ปกติจะช่วยท่านพ่อทำนา เขาแต่งงานกับภรรยาชื่อแม่นางหลิว มีลูกชายชื่อต้าเป่า ซึ่งก็คือเ้าเด็กชายตัวอ้วนกลมคนเมื่อกี้
ลูกชายคนรองชื่อติงชิงมู่ เป็ช่างไม้ เขาแต่งงานกับภรรยาชื่อแม่นางหวัง มีลูกสาวชื่อฝูเอ๋อร์ เพิ่งอายุได้เพียง 6 เดือน
ส่วนนาง ติงเว่ยเอ๋อร์ เป็ลูกสาวคนเดียวของตระกูลนี้ และเป็แก้วตาดวงใจของทุกคน ไม่เพียงท่านพ่อกับท่านแม่รักทะนุถนอมเป็อย่างดี พี่ชายทั้งสองที่อายุห่างกันห้าถึงหกปีต่างก็ประคบประหงมนางราวกับไข่ในหิน เพียงดูจากเครื่องแต่งกายก็เห็นได้ชัดเจนโดยไม่จำเป็ต้องพูดถึงเื่อื่น ทุกคนต่างใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบ มีเพียงนางที่ได้ใส่เนื้อผ้าชั้นดี และนางยังมีเสื้อผ้าทอชั้นดีอีกสองตัวด้วยซ้ำ
……
ตลอด่เวลาที่ผ่านมา ในขณะที่นางกำลังปรับตัวให้เข้ากับคนในครอบครัว คนในครอบครัวของนางก็ยอมรับความจริงที่นางมีนิสัยเปลี่ยนจากหน้ามือเป็หลังมือเนื่องจากสูญเสียความทรงจำ ในอดีตติงเหว่ยเอ๋อร์ไม่เคยมีท่าทีเช่นนี้มาก่อน ไม่เพียงแต่เกียจคร้าน ทั้งยังละเลยต่อพี่สะใภ้ทั้งสองเพราะได้รับความโปรดปรานจากคนทั้งครอบครัว
แต่ตอนนี้ติงเหว่ยกลับไม่เคยแม้แต่จะหยุดพัก ทันทีที่นางหายดีนางก็เข้าครัวดูแลอาหารของคนในครอบครัว แม้ว่าในฤดูหนาวจะไม่มีผักสด มีเพียงบะหมี่ข้าวโพดสองสามชาม ผักกาดเน่าสองสามอัน และมันฝรั่งครึ่งตะกร้า นางก็สามารถทำกับข้าวออกมาด้วยกลเม็ดใหม่ๆ ได้
ทั้งครอบครัวได้กินอิ่มท้อง แต่แล้วก็อดไม่ได้ที่จะถามนางด้วยความประหลาดใจ นางจึงถือโอกาสนี้บอกว่าในความฝันของนางมีหญิงชราคนหนึ่งคอยสอนนางหลายอย่างตลอด แม้ว่านางจะลืมเื่ในอดีตไปแล้ว แต่นางก็ตั้งใจจะกตัญญูต่อพ่อแม่ เป็ลูกสาวที่ดีและเป็น้องหญิงที่ดีในอนาคต
เมื่อได้ยินดังนั้นแม่นางหลี่ว์ถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาจนเต็มใบหน้า นางรู้สึกดีใจมากจนทำอะไรไม่ถูก แม้แต่พี่สะใภ้ทั้งสองก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกที่ไม่ต้องคอยลำบากรับใช้น้องหญิงอีกต่อไป แม่สามีกับลูกสะใภ้ทั้งสามคนต่างเชื่อว่าหญิงชราในความฝันอาจเป็ิญญาของท่านย่าเทวาูเา [8] ที่อยู่ใกล้ๆ นี้ก็เป็ได้ พวกนางจึงรีบพากันไปซื้อเทียนหอมและขนมหนึ่งกล่อง พร้อมพาเหว่ยเอ๋อร์ไปยังวัดที่อยู่ตีนเขาซีชานเพื่อคำนับ 9 ครั้ง
เหว่ยเอ๋อร์ทำนู่นทำนี่จนหัวหมุนไปหมด แต่เมื่อคิดว่าต่อไปนางจะไม่ถูกคนในตระกูลสงสัยอีกก็ทำได้เพียงอดทนต่อไปเงียบๆ
……
หมู่บ้านที่ตระกูลติงอาศัยอยู่เป็บริเวณที่ราบระหว่างูเาซึ่งถือว่าเป็สถานที่ที่ไม่เลวเลยทีเดียว แม้จะล้อมรอบไปด้วยูเาสามด้าน แต่พื้นที่ไม่สูงชันมากนัก มีป่าไม้และพุ่มไม้มากมาย ในฤดูร้อนสามารถเก็บเห็ด ในฤดูหนาวก็ไม่ขาดแคลนฟืน ถือเป็ความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์
หมู่บ้านนี้ตั้งอยู่ทางทิศเหนือและหันหน้าไปทางทิศใต้ มีบ้านหลายสิบหลังถูกสร้างขึ้นอย่างเป็ระเบียบ บางหลังสร้างด้วยอิฐดิน และบางหลังสร้างด้วยกระเบื้อง ส่วนสกุลติงนับว่าเป็ชนชั้นกลาง ภายในบ้านสร้างด้วยกระเบื้องสามห้อง ท่านพ่อกับท่านแม่อยู่ห้องทางทิศตะวันออก ส่วนเหว่ยเอ๋อร์อยู่ห้องทางทิศตะวันตก ส่วนครอบครัวพี่ชายคนโตและคนรองแยกกันอาศัยอยู่ที่ห้องสองฝั่งซ้ายขวาที่สร้างจากอิฐดิน
พื้นที่แปดหมู่ของตระกูลติงอยู่ห่างจากหมู่บ้านไปประมาณ 2 ลี้ [9] ด้านหนึ่งเป็ถนนลูกรัง อีกด้านหนึ่งเป็แม่น้ำ ซึ่งสะดวกต่อการเก็บน้ำในหน้าแล้งและเก็บเกี่ยวผลผลิตในฤดูใบไม้ร่วง นับว่าเป็พื้นที่เพาะปลูกที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้ ที่ดินแปลงนี้ได้รับการสืบทอดมากว่าสามสี่ชั่วอายุคน ไม่ว่าจะตกที่นั่งลำบากสักแค่ไหนสกุลติงก็ไม่เคยคิดที่จะขายมัน
-------------------—-------------------—-------------------
[1] โรคอี้เจิ้ง 癔症 หมายถึง โรคประสาทฮิสทีเรีย ผู้ป่วยจะมีความขัดแย้งทางจิตใจอย่างรุนแรงจนส่งผลให้เกิดความผิดปกติในด้านการเคลื่อนไหว หรือการรับรู้
[2] ชามที่ใส่แป้งต้มใบหนึ่ง 一盆浆糊 หมายถึง สำนวนจีนที่ใช้เปรียบเทียบบรรยายถึงสภาพหรือสถานการณ์ที่วุ่นวาย ยุ่งเหยิง หรือไม่เป็ระเบียบ คล้ายความยุ่งเหยิงของอะไรเหนียวๆ ขาดทั้งความเป็ระเบียบเรียบร้อยและความชัดเจน
[3] ฝันหวานในฤดูใบไม้ผลิ 春梦 หมายถึง ฝันว่ามีเพศสัมพันธ์
[4] เหล่าเทียนเย่ 老天爷 หมายถึง ท่านปู่์ ชาวจีนยกย่อง "อวี้หวง" หรือ "เง็กเซียนฮ่องเต้" เป็เทพเ้าผู้ปกครอง์สูงสุด และดูแลเทพเ้าทั้งปวง เป็ฮ่องเต้ของแดน์ ทรงปกครองทั่วทั้งสามภพ สิบทิศ กำเนิดสี่ ภพภูมิทั้งหก ทั้งยังดูแลความสุขและเภทภัยทั้งปวง
[5] ชุดฉางเผ่า 长袍 หมายถึง เครื่องแต่งกายที่เป็ชุดยาวของผู้ชาย
[6] ตำรับยาอันเฉิน 安神 หมายถึง ตำรับยาที่ช่วยระงับประสาทและผ่อนคลายอารมณ์ ใช้รักษากลุ่มโรคศีรษะและประสาท
[7] หมู่ 亩 หมายถึง หน่วยวัดพื้นที่ของประเทศจีน 1 หมู่ = 666.67 ตร.ม.
[8] ชานเฉินผัวพัว 山神婆婆 หมายถึง ท่านย่าเทวาูเา
[9] ลี้ 里 หมายถึง หน่วยวัดระยะทางของประเทศจีน 1 ลี้ = 500 ม.
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้