วันต่อมา หลินฟู่อินตั้งใจตื่นแต่เช้าแล้วรีบไปยัง ‘ห้องทดลอง’ ของนางหลังแต่งเนื้อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย
ภายในขวดโหลที่ตั้งทิ้งไว้ครึ่งบนปรากฏเป็น้ำสะอาดใส ส่วนด้านล่างเป็ผงแป้งที่ตกตะกอนแยกตัวนอนก้นพื้น
นางเทน้ำสะอาดนั้นทิ้งก่อนใช้ใบมีดตักผงแป้งใส่ในตลับแล้วปาดให้เรียบ จากปริมาณแป้งหนึ่งจินที่ได้ หลินฟู่อินสามารถทำแป้งหอมได้หลายตลับ หากนำไปวางขายจริง แม้ต้องขายตลับละไม่กี่ตำลึงเงิน นางก็ยังได้กำไรอยู่ดี
“พี่เฟิน พี่ฟาง วานพวกท่านหยิบตลับเล็กๆ มาสองสามใบที” สำหรับหลินฟู่อิน การทำแป้งหอมจากเมล็ดดอกมะลิและสารสกัดดอกหอมหมื่นลี้เป็ครั้งแรกมีความหมายกับนางมาก จึงคิดเก็บเอาไว้เป็ที่ระลึก
ความทรงจำอันล้ำค่า
“แป้งหอมนี้มีกลิ่นหอมยิ่งนัก! หอมเหมือนดอกหอมหมื่นลี้ที่ผลิบานในฤดูใบไม้ร่วงไม่มีผิด เพียงแต่มีกลิ่นที่เบาสบายกว่านั้น!” หลินเฟินดมแป้งหอมในมืออย่างตื่นเต้น ั์ตาสวยหลับพริ้มพร้อมทำจมูกฟุดฟิดโดยไม่คิดรักษาภาพลักษณ์ของตนแต่อย่างใด
หลินเฟินกล่าวต่อ “ดอกหอมหมื่นลี้มีกลิ่นเย้ายวนก็จริง แต่บางครั้งก็ฉุนเกินไป ข้าคิดว่ากลิ่นที่ได้จากการสกัดใส่เครื่องหอมเช่นนี้นุ่มนวลกว่ามาก”
“จริงตามนั้น! ข้าเองก็คิดเช่นกันว่ากลิ่นจากแป้งหอมนี้ดีกว่า!” หลินฟางพยักหน้าเห็นด้วย ไม่รอช้า นางแตะผงแป้งด้วยปลายนิ้วแล้วทาลงบนใบหน้าก่อนเช็ดออกอย่างเบามือ จากนั้นนางหันกลับมามองหลินฟู่อินและหลินเฟินอย่างมีความหวัง “พี่เฟิน ฟู่อิน พวกเ้าว่าใบหน้าข้าผ่องใสขึ้นหรือไม่?”
หลินฟู่อินยื่นหน้าเข้าไปมองใกล้ๆ เห็นได้ชัดว่าผงแป้งหอมบนใบหน้าของเด็กสาวนั้นสว่างขึ้น ผ่องใสขึ้น นอกจากขับให้ผิวออกสีกุหลาบระเรื่อแล้ว ยังช่วยทำให้ผิวดูเนียนละเอียดมากยิ่งขึ้นด้วย พูดแบบไม่อ้อมค้อมเลยก็คือแป้งหอมนี้ดีกว่าแป้งหอมที่ดีที่สุดในร้านไฉ่จือไจ
“ดูสิ! แค่ภายนอกก็ดูดีมีราคาแล้ว ยิ่งเป็แป้งหอมที่ฟู่อินเป็คนทำยิ่งทำให้มันดูมีราคามากขึ้นไปอีก!” คำพูดของหลินเฟินเปี่ยมไปด้วยความชื่นชม นางมองไปยังหลินฟู่อินด้วยสีหน้าตื่นเต้นว่า “ฟู่อิน ข้าว่าแป้งหอมของเ้าดีกว่าของร้านไฉ่จือไจเสียอีก!”
หลินฟู่อินรู้สึกเช่นเดียวกัน แต่ยังคงอยากรู้เหตุผลจากหลินเฟินอยู่ดี “พี่เฟิน ท่านคิดว่าแป้งหอมนี้มีดีอย่างไรบ้าง?”
หลินเฟินใช้เวลาครุ่นคิดสักครู่ก่อนชี้ไปที่ใบหน้าของหลินฟาง “เมื่อใช้แป้งของเ้าทาให้ทั่วแล้ว ใบหน้าดูเนียนเป็ธรรมชาติ ไม่เหนียวเหนอะหนะ แถมยังดูขาวผ่องและนุ่มชุ่มชื้น อาฟางดูสมเป็สตรีก็คราวนี้!”
หลินฟางยิ้มกว้างจนตาหยีเมื่อได้ยินคำชมจากปากของพี่สาว “จริงอย่างว่า ขนาดข้าเองยังรู้สึกว่าแป้งหอมของร้านนั้นเหนียวเหนอะเวลาทา ราวกับมีชั้นแป้งแปะอยู่บนหน้าของข้า แต่แป้งหอมตัวนี้กลับไม่ให้ความรู้สึกเช่นนั้นเลย”
“ผงแป้งอันนั้นแห้งหยาบกว่า แต่ผงแป้งอันนี้ให้ความรู้สึกชุ่มชื้น” หลินฟางกล่าวเสริม
ผู้เป็พี่พยักหน้าเห็นด้วย “ถูกต้อง”
ั์ตาของหลินฟู่อินปรากฏรอยยิ้มไม่ต่างกัน แน่นอนว่านางรู้ดีว่าแป้งหอมของนางไม่แห้งหยาบเหมือนของคนอื่น เคล็ดลับก็คืออี่ฉุน [1] จากเหล้าขาวที่นางใส่ลงไปตอนต้มน้ำนั่นเอง
อี่ฉุนที่ว่าไม่เพียงแต่ช่วยฆ่าเชื้อซี่จวิน [2] ในเครื่องสำอางเท่านั้น แต่ยังช่วยเื่การทำความสะอาดและขจัดคราบไขมันอีกด้วย
ผิวหน้าของคนสมัยก่อนนั้นดีกว่าสมัยปัจจุบันเป็ไหนๆ ปัญหาเื่ผิวแม้มีก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เหมาะกับการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของจิ่วจิงเช่นนี้ และแน่นอนว่าสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการทำเครื่องสำอางอื่นได้อย่างกว้างขวาง
ยิ่งคิดหลินฟู่อินก็ยิ่งมั่นใจ “ข้าขอตัวไปหาแม่นางฉินก่อน ส่วนพวกท่านเก็บตลับเล็กๆ พวกนี้ไว้ใช้เถิด”
“ช้าก่อนฟู่อิน แป้งหอมของเ้าใช้งานง่าย พวกข้าอยู่บ้านวันนี้ เ้าแค่สอน พวกข้าจะช่วยเ้าทำเอง!” หลินฟางหยุดอีกฝ่ายเอาไว้ทันที
หลินฟู่อินใช้เวลาคิดครู่หนึ่งก่อนจะบอกวิธีทำแป้งหอมให้สองพี่น้องอย่างละเอียด
หลินเฟินได้เห็นขั้นตอนครึ่งหลังที่นางเองเข้าใจดีแล้ว นางจึงฟังหลินฟู่อินสอนขั้นตอนการทำใน่แรกอย่างตั้งใจ
“เอาละ ง่ายนิดเดียว พวกท่านลองทำจากวัตถุดิบเล็กน้อยก่อนก็ได้ ถ้ารอข้ากลับมาไม่ไหว” หลินฟู่อินพูดขณะหยิบขวดโหลมาถือไว้ในมือแล้วเดินจากไป
เด็กสาวสองคนยิ้มให้กันและกัน
หลินฟางพูดขึ้นมาว่า “สิ่งที่ฟู่อินมอบให้แก่เรา มันยิ่งใหญ่มากจริงๆ”
หลินเฟินเหลือบมองผู้เป็น้องที่ยืนอยู่เคียงข้าง “เ้ายังกล้าใช้นางเป็เครื่องมืออีกหรือ?”
เด็กสาวตอบรับ “ข้าโง่หรือไม่?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น” หลินฟางหลุบตาต่ำ “หากไม่ใช่เพราะฟู่อิน เกรงว่าเราทั้งคู่คงไม่อาจหนีออกมาจากหลินต้าหลางและท่านปู่ได้ ทำตามฟู่อินก่อนเถิดตอนนี้ อย่าทำเื่เลวร้ายกับนางเลย ไม่เอาน่า!”
ยิ่งได้ฟังคำพูดของพี่สาว ดวงตาของหลินฟางก็ยิ่งฉายแววมุ่งมั่นพลางพยักหน้าตอบรับไปด้วย
ณ ภัตตาคารเยว่เค่อ
เมิ่งจวิ้นนั่งอยู่ภายในห้องพักส่วนตัวชั้นสามที่ตกแต่งอย่างหรูหรา ขณะยกแขนเท้าคางมองผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาผ่านหน้าต่างบานกว้าง
“คุณชายใหญ่ ส่งผู้ดูแลฮวาเรียบร้อยแล้วขอรับ” หนุ่มน้อยชุดดำคุกเข่ารายงานอย่างนอบน้อม
เมิ่งจวิ้นหันหน้ามามองเ้าของเสียงดังกล่าวแล้วพยักหน้ารับรู้ “เป็อย่างไร? มีอะไรผิดปกติหรือไม่?”
เด็กหนุ่มส่ายหน้าปฏิเสธ “คุณชายใหญ่ ผู้ดูแลฮวาตื่นตระหนกจนหัวใจแทบวาย ไม่อยากเชื่อว่า…”
เด็กหนุ่มออกอาการลังเล
“มีอะไรก็พูดมาเถิดเด็กน้อย คิดว่าข้าไม่เคยผ่านพายุโหมมาก่อนหรืออย่างไร?” เมิ่งจวิ้นลุกขึ้นพลางส่งรอยยิ้มน้อยๆ เพื่อกลบเกลื่อนเสียงที่สั่นเครือ
“ใช่แล้วขอรับ!” เด็กหนุ่มก้มหัวลงพร้อมรายงาน “บุตรชายคนโตของผู้ดูแลฮวามีนิสัยโหดร้าย เขาชอบโอ้อวดว่าตนคือลูกชายของผู้ดูแลฮวา เขาบอกว่านายท่านและคุณชายใหญ่ไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนี้ พวกเขาจะไม่ปล่อยให้นายท่านและคุณชายใหญ่เอาไว้แน่!”
“โอ้?” เมิ่งจวิ้นลากเสียงหลังได้ยินคำบอกเล่านั้น ใบหน้าหล่อเหลาปรากฏรอยยิ้มกว้าง “ไม่แปลกใจที่ผู้ดูแลฮวาต้องลงมือจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง จริงสิ…”
ชายหนุ่มก้มหัวลงต่ำ
“เ้าพูดว่านายน้อยของเราอายุเท่าไรแล้วปีนี้?” เมิ่งจวิ้นลูบหลังมือตัวเองไปมาขณะถามถึงชายหนุ่มอย่างต่อเนื่อง
“ตามที่นายท่านบอก ปีนี้นายน้อยอายุย่างเข้าสิบเก้าแล้วขอรับ”
“อืม… นับว่าอ่อนกว่าข้าคนนี้สองปี ได้เวลาที่ชายชราเริ่มหาทิศทางให้กับเขา” เมิ่งจวิ้นหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เกรงว่าต่อให้พยายามมากแค่ไหน เด็กน้อยคนนั้นก็ไม่สามารถแบ่งเบาอะไรได้”
หนุ่มน้อยคนนี้กลัวเกินกว่าจะตอบรับอะไรออกไป
เมิ่งจวิ้นไม่คาดหวังคำตอบจากอีกฝ่ายั้แ่ต้น เขาพูดด้วยอารมณ์เบื่อหน่ายว่า “จัดการเื่ผู้ดูแลฮวาให้เรียบร้อย ปิดภัตตาคารเยว่เค่อแห่งนี้เสีย แล้วเตรียมตัวกลับเจียงหนานด้วยกัน”
“คุณชายใหญ่?” เด็กหนุ่มอุทานด้วยความใก่อนเงยหน้ามองผู้เป็นาย “คุณชายใหญ่ขอรับ แม้รายได้ของภัตตาคารเยว่เค่อแห่งนี้จะน้อยลงมากเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่กิจการของเรายังคงทำเงินได้มหาศาลนะขอรับ”
“แม้ที่แห่งนี้จะตั้งอยู่ในทำเลที่ดีในชิงเหลียน แถมยังทำเงินได้มาก แต่ตอนนี้ร้านตกเป็เป้าหมายของคนในราชสำนักขององค์หญิง ปิดกิจการตัดปัญหาทิ้งย่อมดีกว่า” เมิ่งจวิ้นตัดจบโดยไม่ลังเล
ก็แค่ร้านอาหารที่ทำเงินได้ ไม่คุ้มต่อการถูกรุกรานโดยคนของราชวงศ์ต้าเว่ยที่มีนิสัยเด็ดขาด ไม่อาจมีใครกล้าข้องเกี่ยว
“เช่นนั้นแล้ว… คุณชายใหญ่ เราจำต้องปิดภัตตาคารเยว่เค่อด้วยหรือ?” เด็กหนุ่มเอ่ยถาม
เมิ่งจวิ้นใช้เวลาครุ่นคิดสักพักใหญ่ ก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วตอบกลับว่า “ภัตตาคารเยว่เค่อในชิงเหลียนทำเงินได้เทียบเท่ารายได้จากเมืองใหญ่ทางตอนใต้ของเจียงหนาน เก็บภัตตาคารแห่งนั้นไว้ก่อน จากนั้นทยอยปิดภัตตาคารเยว่เค่อรอบตัวเมือง สำคัญที่สุดคือค่อยเป็ค่อยไป หาโอกาสปิดตัวทีละร้าน อย่าเร่งรีบจนผิดสังเกต”
เด็กหนุ่มรับสั่งก่อนพูดว่า “คุณชายใหญ่สบายใจได้ บ่าวของท่านจะหาคำแก้ตัวบอกกล่าวแทนท่านเอง”
เมิ่งจวิ้นพยักหน้า “ไปเถิด”
หลังจากชายหนุ่มจากไป เมิ่งจวิ้นก็หันหน้ากลับไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง ทันใดนั้นเขาสังเกตเห็นเด็กสาวแสนคุ้นหน้าคุ้นตา
นั่นคือเด็กสาวคนเมื่อวานมิใช่หรือ?
ในมือถือขวดโหลใบใหญ่? เอาไปทำอะไรกัน?
เมิ่งจวิ้นสงสัย แต่ใจเขามิได้สนใจสาวชาวไร่มากขนาดนั้น จึงทำเพียงแสยะยิ้มให้หญิงสาวที่เดินผ่านไป
หลินฟู่อินเดินเข้าไปยังร้านของแม่นางฉิน
โอ้!
ได้เห็นภาพสาวน้อยใหญ่มากมายเดินทางมาเพื่อซื้อชาดชื่อดัง แม่นางฉินและเด็กสาวทั้งหลายคงยุ่งวุ่นวายน่าดู
หลินฟู่อินยิ้มกว้างออกมา นางรู้สึกปลื้มใจแทนแม่นางฉินอย่างแท้จริง
หลังจากแม่นางฉินหยุดค้าขายที่ร้านไฉ่จือไจ ดูเหมือนว่ากิจการของนางจะดีขึ้นกว่าเดิม
หากคิดดูให้ดีแล้ว อาจเป็เพราะราคาสินค้าที่ร้านไฉ่จือไจสูงมากเกินไป แม้ว่าลูกค้าจะมีกำลังซื้อ แต่ก็ทำกำไรได้จากลูกค้าเก่าที่มาซื้อประจำเพียงเท่านั้น ลืมรายได้จากลูกค้าใหม่ไปได้เลย
และแม้ว่าจะมีเด็กสาวที่มีเงินหลายตำลึงเงินมาซื้อชาดราคาแพงมากมาย พวกเขาก็จะใช้ชาดเ่าั้อย่างประหยัด กว่าจะใช้หมดก็เป็เวลานาน ยอดการขายชาดจึงลดลงเรื่อยๆ
เห็นแม่นางฉินกำลังยุ่งอยู่กับการแนะนำสินค้าใหม่ให้กับลูกค้า หลินฟู่อินจึงยืนรออยู่เงียบๆ
นางแอบสังเกตสีหน้าของลูกค้าที่มาเยือนรวมถึงสินค้าในมือที่พวกเขาถูกใจ พบว่าสินค้าที่ขายดีที่สุดในหมู่เด็กสาวเหล่านี้คือชาดหิมะหลอม
ใบหน้าสวยหลุดยิ้มออกมาทันที ชาดหิมะหลอมขายในราคาค่อนข้างถูก ไม่แปลกใจที่จะขายดิบขายดีอย่างที่เห็น
“เถ้าแก่เนี้ยฉิน ของที่ดีที่สุดในร้านของท่านคือชาดหิมะหลอมที่ทั้งถูกทั้งดี แต่ของอย่างอื่นนั้น…” หญิงวัยกลางคนแต่งตัวดีเดินเข้าไปพูดกับแม่นางฉิน
หญิงสาวตอบรับด้วยรอยยิ้มทันที “หม่าฮูหยิน ความจริงข้าเองก็อยากเอาของดีเช่นชาดหิมะหลอมเข้ามาเพิ่มเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่ของเ่าั้หาไม่ได้เสียแล้ว”
สตรีสกุลหม่าหัวเราะแล้วพูดต่อว่า “ถูกของเ้า ชาดที่เ้าขายอยู่ตอนนี้ก็ไม่เลว แม้จะไม่ดีเท่าชาดที่เคยขายในไฉ่จือไจ แต่ก็ช่วยให้ข้าและลูกสาวประหยัดเงินค่าของเหล่านี้ไปมาก”
แม่นางฉินหัวเราะร่า “ของในไฉ่จือไจคุณภาพดีแต่ราคาค่อนข้างสูง คนงบน้อยเช่นเรา้าของที่ทั้งถูกทั้งดี และใช้ได้ในระยะยาวมากกว่า”
สตรีสกุลหม่าก้มหน้าพร้อมยิ้มเล็กน้อย “ที่เถ้าแก่เนี้ยฉินพูดมาก็มีเหตุผล ด้วยความสัตย์จริง ข้าไม่คิดว่าแป้งหอมของไฉ่จือไจแตกต่างจากร้านอื่นมากนัก ก็แค่มีกลิ่นหอมกว่า ทาแล้วขาวผ่องมากกว่า แต่สุดท้ายก็แห้งหยาบบนหน้าเหมือนกัน”
“ว่ากันตามจริง ไม่ใช่แค่แป้งหอมของไฉ่จือไจ ของร้านอื่นก็เป็เช่นนี้ แม้จะใช้ส่วนผสมที่แตกต่าง ท้ายที่สุดขั้นตอนการทำก็เหมือนกันอยู่ดี” แม่นางฉินจนปัญญาหาคำตอบ
หลินฟู่อินที่ได้ยินทั้งสองพูดคุยกัน ก้มมองขวดโหลในมือด้วยรอยยิ้ม
จากนั้นไม่นานเมื่อลูกค้าในร้านหายไปกว่าครึ่ง แม่นางฉินจึงสังเกตเห็นหลินฟู่อิน
“ฟู่อิน เ้ามาทำอะไรที่นี่? ข้าไม่พบเ้ามานานกว่าสองเดือนแล้ว” แม่นางฉินทักทายอย่างดีใจที่ได้เห็นแขกมาเยือน นางมอบหมายงานให้เด็กในร้านแล้วรีบเดินเข้าไปหาหลินฟู่อินทันที “มานี่สิ มาพักดื่มชากันก่อน”
หลินฟู่อินยิ้มรับแล้วเดินตามแต่โดยดี
“เหตุใดเ้าจึงแบกขวดโหลใหญ่เช่นนี้มา?” แม่นางฉินเดินนำหลินฟู่อินไปยังสวนหลังร้าน เชิญให้เด็กสาวนั่งแล้วเดินไปหยิบใบชาหอมกรุ่น
หลินฟู่อินหัวเราะร่า “นี่คือสมบัติล้ำค่าของข้าเอง”
แม่นางฉินเหลือบมองด้วยรอยยิ้มก่อนยกถ้วยชามาวางบนโต๊ะข้างหน้า “นี่คือชาจากหลงจิ่ง หรือชาก่อนวัสสานฤดูที่พี่ชายและพี่สะใภ้ของข้านำกลับมาฝากจากเจียงหนาน เ้าลองดื่มดูสักหน่อย”
หลินฟู่อินยิ้มขอบคุณก่อนชวนคุยว่า “ไม่เจอกันนาน ดูเหมือนกิจการของท่านจะไปได้สวยกว่าเดิมมาก”
ใบหน้าของแม่นางฉินปรากฏแววปลื้มปีติยินดี ก่อนนางจะส่ายหัวแล้วตอบอย่างถ่อมตน “เ้าคิดผิดแล้ว เบื้องหน้าอาจเห็นผู้คึกคัก แต่แท้จริงแล้วนั้นยังไม่ดีอย่างที่เคย”
หลินฟู่อินพยักหน้าอย่างเข้าใจ หลังจากแลกเปลี่ยนสารทุกข์สุกดิบกันพักใหญ่ นางก็ได้รู้ว่าข้าวของที่แม่นางฉินขายในตอนนี้ราคาสูงกว่าร้านรวงข้างนอกทั่วไป แต่นับว่ายังถูกกว่าตอนที่ขายในไฉ่จือไจสองเท่าตัว แปลว่ากำไรที่ได้อาจยังไม่ดีเท่าที่ควร
“ข้าคิดว่าท่านกำลังไปได้สวย อย่างน้อยท่านก็ดูเป็ผู้เป็คนมากกว่าเมื่อก่อน” หลินฟู่อินเอ่ยล้ออย่างขำขัน
แม่นางฉินไม่คิดโต้เถียง แต่กลับตอบรับว่า “ถูกของเ้า ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดก่อนหน้านี้ข้าถึงรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่นเสมอ หากไม่มีเ้าแวะมาครานั้นข้าคงยังคิดไม่ได้จนถึงตอนนี้ ข้าคงคิดว่าของของข้าดีที่สุด มีก็แต่เ้าที่รู้จริง”
พูดจบ แม่นางฉินไม่ปล่อยให้หลินฟู่อินตอบอะไรเพราะนางชิงหัวเราะขึ้นมาก่อน
“ข้ามีความสุขมาก ที่ร้านมีแวะเวียนเข้าออกกันตลอด และแม้ว่าพวกเขาจะไม่ซื้ออะไรกลับไป ข้าก็รู้สึกดีที่ได้พูดคุยกับพวกเขาสองสามคำ”
หลินฟู่อินพยักหน้าตอบรับ
“นั่นคือทั้งหมดเกี่ยวกับข้า แล้วเ้าล่ะ? ขวดโหลใบใหญ่นั้นที่เ้าอุ้มไว้คืออะไร? มีสมบัติอะไรซ่อนอยู่ในนั้นหรือ?” หญิงสาวถามอย่างร่าเริง
หลินฟู่อินขยิบตาอย่างมีเลศนัย ก่อนวางขวดในอ้อมกอดลงบนโต๊ะแล้วพูดกับแม่นางฉินว่า “นี่คือแป้งหอมที่ข้าทำขึ้นมาใหม่ แม่นางฉินโปรดชี้แนะ”
“เ้าทำเองอย่างนั้นหรือ?” แม่นางฉินมองหน้าหลินฟู่อินอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองจนเด็กสาวมุ่ยปากเล็กน้อย “ท่านดูก่อนเถิด”
แม่นางฉินคว้าปิ่นเงินปักผมจากศีรษะของนางแล้วยื่นเข้าไปตักผงแป้งออกมาจำนวนหนึ่ง
“กลิ่นหอมดีจังเลย!” เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวตกหลุมรักกลิ่นหอมของดอกหอมหมื่นลี้ทันทีที่กลิ่นเตะจมูก ก่อนแม่นางฉินจะใช้นิ้วััเนื้อแป้งอย่างตั้งใจ “โอ้ ผงแป้งนี่ยังคงชุ่มและชื้น”
หญิงสาวลืมการพูดคุยกับหลินฟู่อินไปชั่วขณะ นางถูแป้งที่ตักจากปิ่นปักผมบนหลังฝ่ามือก่อนแตะบนใบหน้าอย่างระมัดระวัง
“ข้าใช้แล้วรู้สึกว่ามันนุ่มเนียนไปกับผิว บางเบา ไม่หยาบกร้าน” แม่นางฉินอุทานด้วยความประหลาดใจ นางหันมาจ้องหน้าของหลินฟู่อินอย่างจริงจัง “เ้าทำแป้งนี้ขึ้นมาเองจริงหรือ?”
หลินฟู่อินหยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ท่านคิดเช่นไรเ้าคะแม่นางฉิน? แป้งหอมนี้เทียบได้กับแป้งหอมที่ดีที่สุดของไฉ่จือไจหรือไม่?”
ลึกๆ แล้วหลินฟู่อินมั่นใจว่าแป้งหอมที่นางทำขึ้นเองนั้นย่อมดีกว่าของไฉ่จือไจเป็ไหนๆ แต่สุดท้ายนั่นก็คือสิ่งที่นางคิดเองฝ่ายเดียว
“ข้าคิดว่าแป้งหอมนี่ดีกว่าของไฉ่จือไจเสียอีก! ข้าบอกได้เลยว่าแป้งหอมนี่มีกลิ่นหอมละมุนกว่า และช่วยทำให้ผิวหน้าขาวผ่องกว่าแป้งหอมของไฉ่จือไจ” หญิงสาวกล่าวต่ออย่างจริงใจ “ความจริงแล้ว แป้งหอมของไฉ่จือไจนั้นไม่ต่างจากแป้งหอมของร้านรวงข้างนอกเท่าไร มีเพียงสมุนไพรบางอย่างที่ใส่เพิ่มลงไป แต่ไม่เนียนละเอียดหมดจดเช่นนี้ บางครั้งหากเ้าถูผงแป้งลงบนหน้าอาจทำให้ผิวหน้าของเ้าเจ็บได้ แต่เพราะชื่อเสียงที่โด่งดังของไฉ่จือไจจึงไม่มีใครคิดโต้แย้งในเื่นี้”
หลังพูดจบ แม่นางฉินก็ยกมือขึ้นััใบหน้าของตนอีกครั้ง “ข้ารู้สึกได้ว่าแป้งหอมของเ้าวิเศษมาก นอกจากไม่ทำให้ผิวหน้าแห้งตึงแล้ว ข้ายังรู้สึกเย็นสบายอีกด้วย”
ผู้รู้ก็คือผู้รู้อย่างแท้จริง นางสังเกตและแยกแยะของค้าขายที่นางคุ้นเคยได้อย่างละเอียด
เมื่ออีกฝ่ายเอาแต่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร แม่นางฉินจึงหยุดความตื่นเต้นเอาไว้ แล้วเอ่ยถามหลังใช้เวลาคิดครู่หนึ่ง “ฟู่อิน เ้าสนใจขายแป้งหอมนี้หรือไม่?”
“แน่นอนอยู่แล้ว ปกติแล้วข้าไม่คิดขายแป้งหอมนี้ให้ใคร แต่หากเป็แม่นางฉินข้าย่อมแบ่งขายให้ได้อยู่แล้ว” หลินฟู่อินหัวเราะออกมาอีกครั้ง
ความสุขเปี่ยมล้นปรากฏบนใบหน้าของแม่นางฉิน นางกล่าวอย่างเร่งรีบ “เป็โชคดีของข้าที่เ้ายอมขายแป้งหอมนี้ให้ ลูกค้าของข้าไม่ค่อยชอบใจแป้งหอมที่ข้าวางขายตอนนี้สักเท่าไร พวกเขาบ่นเื่กลิ่นและเนื้อแป้งที่ค่อนข้างแห้งเวลาทาบนใบหน้า”
“พอเข้าใจได้” หลินฟู่อินพยักหน้ารับฟัง ก้อนเนื้อในหน้าอกของนางพองโตเพราะภูมิใจที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องสำอางอย่างแม่นางฉินยังการันตีว่าแป้งหอมของนางดีกว่าของไฉ่จือไจ
เด็กสาวขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่ง นางมองไปยังแม่นางฉินแล้วพูดว่า “การทำแป้งหอมในครั้งนี้ ข้าเสียทั้งเวลาและเงินต้นทุนจำนวนมาก ความพยายามตลอดวันตลอดคืนของข้าดูเหมือนจะคุ้มค่าแล้วตอนนี้”
ความหมายแท้จริงที่หลินฟู่อิน้าจะสื่อคือแป้งหอมนี้ไม่อาจขายในราคาต่ำกว่าปกติได้
ก็เหมือนกับไฉ่จือไจ นางกำลังเดินตามรอยเพื่อจับกลุ่มลูกค้ากระเป๋าหนัก
แม่นางฉินไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายพูดเช่นนั้น ทั้งยังตอบรับด้วยรอยยิ้มสดใส “แน่นอนอยู่แล้ว อย่างที่เ้าเห็นตอนยืนรอข้าก่อนหน้านี้ ลูกค้าที่มีฐานะไม่ค่อยพอใจในตัวแป้งหอมของข้าเท่าไรนัก แต่พวกเขามีเงินซื้อชาดของไฉ่จือไจไปใช้ได้ พวกเขาก็ต้องมีเงินเหลือพอสำหรับซื้อแป้งหอมที่เ้าทำด้วยเช่นกัน”
เพียงเท่านี้ลูกค้าเก่าของไฉ่จือไจก็จะกลับมา ส่วนลูกค้าใหม่ที่ไม่อยากเสียเงินเยอะก็สามารถเลือกซื้อของที่นางขายอยู่ในตอนนี้
ได้ยินดังนั้นหลินฟู่อินก็โล่งใจ “เช่นนั้นแล้วแม่นางฉิน ท่านคิดว่าข้าควรขายแป้งหอมนี้ในราคาเท่าไรเ้าคะ?” เด็กสาวไม่มีประสบการณ์ค้าขายแถวนี้ นางจึงอยากได้ยินคำแนะนำของเ้าถิ่นโดยตรง
แม่นางฉินส่งเสียงในลำคอ “แป้งของเ้าดีกว่าแป้งของไฉ่จือไจเพียงแต่ชื่อของเ้าดังไม่มากพอ ข้าคิดว่าขายในราคาเท่ากับแป้งที่ดีที่สุดของไฉ่จือไจจะเป็ดี”
“แล้วตอนนั้นแป้งหอมไฉ่จือไจตลับหนึ่งขายได้ในราคาเท่าไร?” หลินฟู่อินถาม
แม่นางฉินหัวเราะ “ข้าใส่ผงแป้งหอมลงในตลับเงินอย่างดี เพราะฉะนั้นจึงขายได้ราคาดีขึ้นเล็กน้อย และหากใช้แป้งหมดแล้วเรายังสามารถนำตลับนั้นไปที่ร้านเครื่องเงิน ให้พวกเขาหลอมมันเป็เครื่องประดับอื่นได้อีก เพราะฉะนั้นฟู่อิน เ้าต้องคิดก่อนว่าเ้าจะใส่แป้งหอมของเ้าไว้ในไหน เ้าจะเรียกชื่อมันว่าอะไร จากนั้นข้าจะวางขายทันที!”
“ชื่ออย่างนั้นหรือ?” หลินฟู่อินชะงัก จะว่าไปนางยังไม่ได้ตั้งชื่อให้แป้งหอมของนางอย่างจริงจังเลย
เสียงใสเอ่ย “ถ้าข้าเรียกมันว่าโม่กุ้ยเฝิ่นล่ะ?”
---------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] อี่ฉุน (乙醇) หมายถึง เอทานอลหรือเอทิลแอลกอฮอล์
[2] ซี่จวิน (细菌) หมายถึง แบคทีเรีย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้