เสินเล่อเหยียน บุตรีที่เกิดจากอนุแห่งตระกูลเสิ่นผิงโหว หลังมารดาตายจากไป เรือนหลังของตระกูลใหญ่ก็ไม่เหลือที่ว่างให้เด็กหญิงตัวเล็กๆ ยืนอยู่ นางจึงถูกฮูหยินใหญ่ส่งตัวไปอยู่ชนบทอันห่างไกล พร้อมแม่นมผู้ภักดี
ชีวิตในชนบทของนางแม้มิได้หรูหราเช่นในจวนโหว ทว่าสตรีทั้งสองที่ถูกส่งออกมากลับรู้สึกว่าพวกตนได้หลุดพ้นพันธนาการ
เสิ่นเล่อเหยียนที่เปลี่ยนสถานะ นางต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา แม่นมชรามิอาจช่วยเหลือนางได้มากนัก ทว่าจิตใจที่เข้มแข็งของเด็กน้อย ทำให้นางไม่ยอมแพ้ต่อความยากลำบาก
ในทุกๆ วัน เสิ่นเล่อเหยียนต้องหาบน้ำ เก็บฟืน และช่วยแม่นมปลูกผักเลี้ยงไก่ ความลำบากทำให้นางเติบใหญ่ขึ้น กลายเป็หญิงสาวที่แข็งแกร่งและไม่ยอมให้ใครดูแคลน
โชคดีที่แม่นมของนางเคยเป็สาวใช้ในห้องหนังสือมาก่อน จึงพอมีความรู้ติดตัวอยู่บ้าง ยามค่ำคืนเมื่อว่างจากงาน แม่นมจะสอนให้นางอ่านตัวอักษรทีละตัว และคัดลายมือ
แม้ลายมือของหญิงสาวจะไม่งดงามดั่งบุตรีตระกูลใหญ่ ที่ได้รับการศึกษาจากอาจารย์ผู้มีความรู้ แต่ก็เพียงพอให้นางเข้าใจโลกผ่านตัวหนังสือ
เสินเล่อเหยียนจึงเติบโตขึ้นเป็หญิงสาวที่มีทั้งความเข้มแข็งและสติปัญญา แม้จะถูกบิดาทอดทิ้ง แต่ในแววตาของนางกลับมีประกายแห่งความมุ่งมั่น ที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา
“แม่นมหลี่ ท่านรออยู่ที่นี่ ข้าขึ้นเขาเก็บผักป่าสักหน่อย” หญิงสาวเอ่ยกับหญิงชราที่ไม่ต่างจากมารดาคนที่สองของตน
“คุณหนู ท่านระวังตัวด้วยนะเ้าคะ” หญิงชราเอ่ยด้วยสีหน้าไม่สบายใจ มือที่หยาบกร้านจากการทำงานหนัก กำชายเสื้อของตนเองแน่น ทุกครั้งที่หญิงสาวขึ้นเขานางมักจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่เสมอ
“ไม่เป็ไรน่า...ท่านก็รู้นี่นา ว่าเหยียนเหยียนของท่านเก่งเพียงใด” เสิ่นเล่อเหยียนยิ้มบาง พร้อมดวงตาเปล่งประกายมั่นใจ
กระท่อมเล็กมุงฟางหลังนั้น ตั้งอยู่ท่ามกลางหุบเขาในหมู่บ้านเล็กๆ อันเงียบสงบ แม้จะเก่าคร่ำคร่าไปสักหน่อย ทว่าก็อบอุ่นด้วยความรักและความผูกพันของสองชีวิตที่พึ่งพากันมาตลอดหลายปี
นับั้แ่วันที่เสิ่นเล่อเหยียนถูกส่งออกจากตระกูลเสิ่น เมื่อนางอายุได้เพียงเจ็ดขวบ หญิงสาวก็ไม่เคยได้กลับไปเหยียบที่จวนเสิ่นผิงโหวอีกเลย
สิบปีผ่านไป เด็กหญิงในวันวานกลายเป็หญิงสาวที่แข็งแกร่งและเฉลียวฉลาด นางคือเสาหลักของเรือนหลังเล็กหลังเล็กนี้ และดูแลแม่นมชราด้วยความกตัญญู
วันนี้เป็อีกวันที่กิจวัตรของนางยังคงเหมือนเดิม สายลมยามเช้าพัดผ่าน เส้นผมดำขลับของนางปลิวไหว เสิ่นเล่อเหยียนสะพายตะกร้าไม้ไผ่เอาไว้ด้านหลัง ก่อนจะก้าวเท้าออกจากลานหน้ากระท่อม และมุ่งหน้าสู่เส้นทางบนูเา เส้นทางที่มีเพียงนางเท่านั้นที่กล้าเดินเข้าไป
“เหยียนเหยียน ขึ้นเขาหรือ ระวังตัวด้วยนะ” ชายวัยกลางคนเอ่ยทักทาย ขณะที่หญิงสาวเดินผ่านที่นาของเขา
สิบปีที่เสิ่นเล่อเหยียนใช้ชีวิตในหมู่บ้านสกุลจาง ทำให้นางกลายเป็ส่วนหนึ่งของที่นั่นแล้ว ไม่ว่าเดินไปที่ใด หญิงสาวก็รู้จักและคุ้นเคยกับทุกคนเป็อย่างดี
“เ้าค่ะ ท่านลุงจาง ข้าจะระวังตัวเองให้ดี” ร่างบางเอ่ยตอบอย่างร่าเริง พร้อมใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มสดใส
“เหยียนเหยียน เมื่อเช้า ท่านแม่ข้าได้ขนมมาจากในเมือง เอาไว้ข้าจะเอาไปฝากไว้ที่เรือนของเ้านะ”
“ขอบคุณเ้าค่ะ พี่หลิงหลิง” เสิ่นเล่อเหยียนเอ่ยตอบมู่หลิงหลิงด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ก่อนจะก้าวเท้าขึ้นเขาไปอย่างคล่องแคล่ว
แม้ที่จวนสกุลเสิ่น นางไม่เป็ที่้า หากทว่าที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ เสิ่นเล่อเหยียนกลับเป็ดั่งดาวนำโชคของทุกคน ไม่ว่าใครที่ทำดีกับนาง หลังจากกลับบ้านก็มักจะได้รับสิ่งดีๆ ตอบแทนเสมอ
เคยมีครั้งหนึ่ง หวังหมาจื่อคิดไม่ดีกับนาง วางแผนกับสหายนอกหมู่บ้าน เพื่อหวังฉุดตัวหญิงสาวขณะขึ้นเขาเพียงลำพัง ทว่าพวกเขากลับถูกหมูป่าไล่ทำร้ายจนทั้งสองตกเขา ขาสองข้างหัก กลายเป็คนพิการตลอดชีวิต
นับแต่นั้นมา เสิ่นเล่อเหยียนจึงกลายเป็หญิงสาวที่ทั้งหมู่บ้านให้ความเกรงใจและเคารพ อีกทั้งเพราะหญิงสาวมีน้ำใจ ไม่ว่าได้สิ่งใดจากบนเขากลับมา นางก็มักจะแบ่งปันให้ชาวบ้านเสมอ
ความอบอุ่นและความเมตตาของนาง จึงกลายเป็แสงสว่างเล็กๆ ที่ทำให้หมู่บ้านแห่งนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสุข
วันนี้เป็อีกวันหนึ่งที่หญิงสาวเดินผ่านน้ำตก เสียงน้ำกระทบโขดหินดังซู่ซ่าก้องไปทั่วหุบเขา สายหมอกบางเบายังคงลอยคลอเคลียอยู่เหนือผิวน้ำ แสงแดดยามสายสะท้อนเป็ประกายระยิบระยับ
เสิ่นเล่อเหยียนก้าวเท้าอย่างคล่องแคล่วไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย ตะกร้าไม้ไผ่บนหลังของนางเต็มไปด้วยผักป่าหลากชนิด รวมถึงทั้งเห็ดหอม และรากสมุนไพรที่เพิ่งขุดได้
แต่สิ่งที่ทำให้นางยิ้มออกมาในวันนี้ คือฝูงไก่ป่าที่นางจับได้ถึงสิบตัว ขนของมันยังเปียกชื้นน้ำจากละอองฝนเมื่อคืน เสียงขันเบาๆ ดังขึ้นเป็ระยะในตะกร้าที่คลุมด้วยผ้าผืนเก่า ร่างบางมองพวกมันด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างพอใจ
จะว่าไม่แปลกใจก็ไม่ได้ เพราะไม่ว่าครั้งใดที่เสิ่นเล่อเหยียนเข้าป่า นางมักจะได้ของดีติดมือกลับมาทุกครั้ง ทั้งสมุนไพรหายาก เห็ดหอมขนาดใหญ่ หรือสัตว์ป่าที่หลงทางมาให้จับโดยง่าย ราวกับป่าทั้งผืนนี้ มีชีวิตและรับรู้ถึงการมีอยู่ของนาง
บางคนในหมู่บ้านพูดกันว่า นางคงมีบุญสัมพันธ์กับภูตแห่งูเา บ้างก็บอกว่าว่าเทพแห่งขุนเขาคุ้มครองหญิงสาวผู้นี้ เพราะนางไม่เคยทำร้ายสิ่งใดโดยไม่จำเป็ ทุกครั้งที่เก็บของป่า นางจะเหลือไว้เสมอ ไม่เคยโลภมากจนทำให้ธรรมชาติโกรธเคือง
เสิ่นเล่อเหยียนเองก็ไม่รู้ว่าทำไมโชคถึงเข้าข้างตนนัก บางครั้งนางคิดว่า อาจเป็เพราะคำสอนของแม่นมหลี่ที่ว่า “ผู้มีใจเมตตา ย่อมไม่อดอยาก” นางจึงใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่เบียดเบียนใคร และไม่ลืมแบ่งปันสิ่งที่ได้ให้ชาวบ้าน
เสียงน้ำตกเบื้องหน้ายังคงดังต่อเนื่อง ละอองเย็นชื้นเกาะบนแก้มเนียนใสของนาง เส้นผมดำขลับเปียกเล็กน้อยจากไอหมอก ร่างบางหยุดยืนมองสายน้ำที่ไหลแรงราวกับไม่มีวันสิ้นสุด
จากนั้นจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ความสงบของป่าทำให้นางรู้สึกเหมือนได้อยู่ในอ้อมแขนของธรรมชาติ
“วันนี้คงได้ทำน้ำแกงไก่ให้แม่นมหลี่ทานแล้วล่ะ”
นางพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะยกตะกร้าขึ้นจัดให้เรียบร้อย แล้วก้าวเท้าเดินกลับไปยังเส้นทางเดิม เสียงฝีเท้าเบาๆ ของนางกลืนหายไปกับเสียงของน้ำตก และเสียงนกที่ขานรับกันไปมาอยู่บนยอดไม้สูง
สำหรับเสิ่นเล่อเหยียน ป่าแห่งนี้ไม่ใช่เพียงแหล่งอาหาร แต่เป็เพื่อน เป็ที่พึ่ง และเป็สถานที่ที่ทำให้นางไม่อดตาย
“แม่นมหลี่ ข้ากลับมาแล้ว!” เสียงใสของหญิงสาวดังขึ้นพร้อมกับฝีเท้าเบาๆ ที่ก้าวเข้ามาในลานหน้ากระท่อม
เสิ่นเล่อเหยียนวางตะกร้าไม้ไผ่ลง ก่อนจะเทไก่ป่าที่อยู่ข้างในออกมาเรียงบนพื้นดิน ไก่ป่าตัวโตนับสิบตัวที่ถูกมัดขา ดิ้นกระพือปีกเบาๆ ส่งเสียงร้องจ้อกแจ้ก
ชาวบ้านที่เดินผ่านไปมาต่างหยุดมองด้วยความตกตะลึง
“เหยียนเหยียน ได้ของดีกลับมาอีกแล้วหรือ” ชายชราผู้หนึ่งร้องถามด้วยน้ำเสียงที่ทั้งทึ่งปนตกตะลึง
“เ้าค่ะ ข้าเพียงเดินผ่านพวกมันก็ตกจากต้นไม้ บางตัวก็นอนอยู่ตามทางเดิน” หญิงสาวตอบกลับพร้อมรอยยิ้มสดใส
“โชคดีจริงๆ ท่านเทพแห่งพงไพรคงจะเอ็นดูเ้าอยู่แน่ๆ” หญิงชราผู้หนึ่งพูดพลางประสานมือขึ้นเหนือหัว เสิ่นเล่อเหยียนเพียงยิ้มบางๆ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เพราะตัวนางเองก็ไม่รู้เช่นกัน ว่าเหตุใดตนถึงได้โชคดีกว่าคนอื่นๆ
“ไหนๆ พวกท่านก็มาแล้ว นำกลับไปสักตัว ต้มน้ำแกงเพื่อบำรุงร่างกายสักหน่อยสิเ้าคะ” ร่างบางกล่าวพลางหยิบไก่ป่าขึ้นมาส่งให้ชาวบ้านที่ยืนมองอยู่ด้านนอก
ชาวบ้านเ่าั้ที่ได้รับความช่วยเหลือจากหญิงสาวบ่อยครั้งตอนนี้ต่างมีสีหน้ากระอักกระอ่วน
