เหอชูซานใช้เวลาสามวันในการเขียนเื่ราวที่แสนจะซ้ำซากจำเจทว่าเป็พล็อตเื่ที่ได้รับความนิยมในสมัยนี้— เื่ราวของลูกสาวเศรษฐีและเด็กหนุ่มยากจนที่ตกหลุมรักกัน แต่แล้วลูกสาวเศรษฐีก็ถูกลักพาตัวไปโดยหัวหน้าแก๊งมาเฟีย เด็กหนุ่มไม่สนใจอันตรายใดๆ และบุกเข้าไปช่วยเธอ เขาต่อสู้กับหัวหน้าแก๊ง จากนั้นทั้งคู่ก็หนีออกมาได้และใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วยกัน
ชย่าลิ่วอีจิ้มลูกชิ้นปลาอย่างไม่ใส่ใจ กลิ้งมันไปมาในน้ำแกงกะหรี่สองสามครั้ง “หัวหน้าแก๊งคนนี้ใช้ดาบคู่ด้วยหรือ?”
เหอชูซานยืนตรงหน้าเขาอย่างนอบน้อม แล้วยกย่องตัวละครนั้นอย่างจริงใจว่า “ดูเท่มากเลยครับ”
ชย่าลิ่วอีกวักมือเรียก
ทันทีที่เหอชูซานเดินเข้ามาใกล้ ชย่าลิ่วอีก็คว้าคอเสื้อแล้วเหวี่ยงเขาลงบนโต๊ะ จากนั้นก็จับหัวของเขาโขกกับโต๊ะอย่างแรง! หน้าผากของเหอชูซานแตกและเต็มไปด้วยเืในทันที เหอชูซานรู้สึกเวียนหัวอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากที่หายมึนงงแล้ว เขาก็เห็นภาพที่ทำให้เขาเหงื่อแตกพลั่ก— ชย่าลิ่วอีกำลังจะเอาไม้เสียบลูกชิ้นทิ่มเข้าไปในลูกตาของเขา!
เหอชูซานหลับตาลงอย่างยอมจำนน ทว่ารออยู่นานก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาจึงปรือตาลืมขึ้นด้วยความสงสัย ชย่าลิ่วอีกลับทำเพียงแค่หมุนไม้เสียบลูกชิ้นแล้วจิ้มลงบนเปลือกตาที่สั่นเทาของเขาเบาๆ เท่านั้น
“หุบปากไปเลยนะ! แกนี่เ้าเล่ห์ไม่เบา! กล้าดียังไงมาว่าฉันวะ หา?” ชย่าลิ่วอีพูด “อย่ามาเล่นลิ้นกับพี่ลิ่วอีคนนี้ ไปเขียนมาใหม่เลยไป!”
เหอชูซานพันผ้าพันแผลแบบแขกอินเดีย เขียนแก้งานอย่างว่าง่ายโดยใช้เวลาสามวัน เมื่อพ่อของเขาถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็ตอบแค่ถูกกระถางต้นไม้หล่นใส่หัว เขายังคงออกจากบ้านแต่เช้าพร้อมกระเป๋าเป้ใบเล็กเช่นทุกวัน หลังจากเดินเลี้ยวเข้าไปตรงหัวมุมตรอก เขาก็จะถูกชายฉกรรจ์หลายคนพาไปที่บริษัทเพื่อเขียนงานทั้งวัน แล้วก็ถูกส่งกลับบ้านในเวลาดึกดื่นโดยชายฉกรรจ์กลุ่มเดิม
สามวันต่อมาเขาส่งบทเื่ใหม่ เป็เื่ราวของนักเลงผู้ไม่ยอมใครที่หลงรักหญิงสาวแสนสวยผู้ตกอับ หลังจากผ่าน่เวลาแห่งรักอันแสนโรแมนติก หญิงสาวก็ถูกแก๊งของศัตรูจับตัวไป นักเลงคนนั้นจึงต้องต่อสู้เพื่อช่วยเธอ เขาใช้ดาบคู่ฟันฝ่าศัตรูไปกว่าสี่สิบคน สร้างทางเดินนองเืในตรอกแคบๆ...
เสี่ยวหม่าที่ยืนอยู่ข้างๆ รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาจึงกระซิบคุยกับลูกน้องว่า “คนคนเดียวใช้ดาบคู่สู้กับคนตั้งสี่สิบคน? ทำไมพล็อตเื่นี้ถึงเหมือนตอนที่พี่ลิ่วอีของเราช่วยหัวหน้าใหญ่ชิงหลงเมื่อก่อนเลย...”
“แค่ก! ผมไม่ได้ยินอะไรเลยนะครับ พี่เสี่ยวหม่า”
ชย่าลิ่วอีผู้กำลังตั้งใจฟังบทมีสีหน้าดำคล้ำขึ้นเรื่อยๆ แต่เหอชูซานยังไม่รู้ตัว เขาเพียงแค่อ่านโครงเื่ต่อไป ครั้งนี้เขาคิดว่าการที่เขาเปลี่ยนจากการวิพากษ์วิจารณ์มาเฟียมาเป็การยกย่องแก๊งมาเฟียแทนน่าจะทำให้เขาไม่โดนซ้อม
เขาตั้งใจอ่านอย่างละเอียดจนจบแล้วยืนรอคำวิจารณ์ บรรยากาศภายในห้องเงียบสงัดจนสามารถได้ยินเสียงของเข็มที่ตกลงบนพื้น เสี่ยวหม่าแอบสังเกตสีหน้าคนอื่นๆ แล้วขยับนิ้วมือเตรียมพร้อมลงมือหากพี่ลิ่วอีของเขาจะสั่งให้จัดการใครสักคน
“เื่นี้ได้มาจากไหน?” ชย่าลิ่วอีเคาะนิ้วลงบนโต๊ะเบาๆ แล้วถาม
“ได้ยินเขาพูดมา” เหอชูซานพูดแล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมอง ในที่สุดเขาก็รู้สึกตัวว่าบรรยากาศรอบตัวเริ่มแปลกไป
“ได้ยินมาจากใคร?” ชย่าลิ่วอียังคงถามต่อ
“ทุกคนพูดกันหมด…” เหอชูซานยังพูดไม่ทันจบก็ลอยละลิ่วออกไป!
ร่างผอมบางของเขาชนเก้าอี้สองตัวจนล้มลงไปกองรวมกับขาเก้าอี้ที่หักจากการกระแทกผนัง เขาร่วงลงมานอนคว่ำอยู่บนพื้น เนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่น เหอชูซานไอสองครั้งแล้วกระอักเืออกมา
“ใช้แรงแค่แปดส่วน!” เสี่ยวหม่าที่ยืนดูอยู่คิดในใจพลางประเมินสถานการณ์
ชย่าลิ่วอีก้าวเข้ามาแล้วฟาดขาเก้าอี้ที่หักใส่เขาอีกครั้ง!
เหอชูซานร้องครวญครางอย่างกลั้นไม่ได้ ตะปูจากเก้าอี้ทิ่มแขนเขาจนเืไหลออกมาทันที เขามองเืของตัวเองด้วยความเ็ปและสับสน ไม่เข้าใจว่าทำไมเ้าพ่อมาเฟียผู้เอาแน่เอานอนไม่ได้คนนี้ถึงได้โจมตีเขาอย่างกะทันหัน
ชย่าลิ่วอีสลับด้านขาเก้าอี้ หันด้านปลายแหลมที่หักไปทางเหอชูซาน ก่อนจะชูมือขึ้นสูง ใบหน้าปราศจากความรู้สึกใดๆ เหมือนพร้อมที่จะแทงไม้ลงไปทุกเมื่อ!
ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออกจากด้านนอกพร้อมกับเสียงะโของลูกน้องที่เฝ้าประตู “สวัสดีครับหัวหน้าใหญ่!”
พอห่าวเฉิงชิงก้าวเข้าประตูมาก็ได้ยินเสียง ‘ตึง’ ดังขึ้น
เ้าพ่อคนนี้ได้รับ่ต่อสืบทอดแก๊งตอนอายุ 25 ปี หลังจากที่ผ่านร้อนผ่านหนาวในวงการมากว่าสิบปี เขาจึงมีท่าทีสุขุมเยือกเย็น ไม่ได้ใส่ใจกับเสียงประหลาดที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด เขากวาดสายตามองไปรอบๆ อย่างใจเย็นแล้วถาม “ลิ่วอีล่ะ?”
เสี่ยวหม่าที่อ้าปากค้างและชายฉกรรจ์คนอื่นๆ หันไปมองทางประตูพร้อมกับเหงื่อที่กำลังแตกพลั่ก—
ประตูไม้ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ทันใดนั้นชย่าลิ่วอีกก็ะโออกมาจากด้านหลังบานประตูโดยใช้มือปิดท้ายทอยที่ดูยับเยินไว้ เขาทิ้งขาเก้าอี้ในมือลงแล้วพูดว่า “พี่ใหญ่”
ห่าวเฉิงชิงขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
“ผมยืนอยู่หลังประตู กำลังซ้อมคนอยู่ พี่ใหญ่!” ชย่าลิ่วอีพูดอย่างนอบน้อม ทั้งสูดหายใจทั้งเกาหัว “คราวหน้าถ้าจะเข้ามาช่วยบอกก่อนสักหน่อยได้ไหมครับ?”
ห่าวเฉิงชิงยิ้มพลางโอบไหล่เขาแล้วดึงเข้ามาใกล้ ก่อนจะใช้มือของตัวเองนวดคลึงท้ายทอยของเขาเบาๆ พร้อมกับถามว่า “เจ็บไหม?”
“เจ็บครับ!” ชย่าลิ่วอีพูดอย่างไม่เกรงใจ “พี่ต้องจ่ายค่าทำขวัญนะ”
“ให้นายดูแลไนต์คลับแห่งใหม่ พอไหม?”
“พอครับพี่! พอครับพี่!” ชย่าลิ่วอีรีบตอบรับข้อเสนอในทันทีแล้วหันไปใช้สายตาข่มขู่เสี่ยวหม่าและลูกน้องคนอื่นๆ กลุ่มคนเ่าั้จึงรีบกุลีกุจอไปชงชา รินน้ำ ปัดฝุ่น และเชิญพี่ใหญ่ชิงหลงไปนั่งที่โซฟา
เหอชูซานซึ่งยังดิ้นรนอยู่บนพื้นข้างประตูถูกชายร่างใหญ่สองคนจับตัวและลากออกไป ไม่ให้เป็ที่ขวางหูขวางตาของพี่ใหญ่
ในที่สุดลูกน้องกลุ่มนี้ก็ปิดประตูจากด้านนอกอย่างนอบน้อม เหลือเพียงชิงหลงและชย่าลิ่วอีอยู่ในห้อง ชย่าลิ่วอีก้าวเข้ามาใกล้แล้วนั่งลงข้างชิงหลงอย่างไม่ลังเล “พี่ใหญ่ ทำไมถึงมาที่นี่?”
“เสี่ยวหม่านอยากมาดูกองถ่าย…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ ชย่าลิ่วอีก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับเบิกตากว้าง “เสี่ยวหม่านมาหรือ? อยู่ไหนครับ?”
ชิงหลงมีสีหน้าเรียบเฉย หยิบซิการ์ออกมาจากกล่องบนโต๊ะกาแฟ
ชย่าลิ่วอีนั่งลงอย่างว่าง่ายแล้วจุดซิการ์ให้เขา “พี่ใหญ่ ผมผิดไปแล้ว ผมพูดแทรกอีกแล้ว เชิญพี่พูดก่อน ผมจะฟัง”
ชิงหลงสูบควันของซิการ์หนึ่งครั้งอย่างใจเย็นแล้วส่งให้ชย่าลิ่วอี เมื่อเห็นชย่าลิ่วอีรับไปคาบไว้ที่ปากแล้วจึงพูดต่อ “ใกล้จะถึงทางเข้า เธอบอกว่าเวียนหัว ฉันเลยให้คนไปส่งเธอกลับก่อน”
“เธอป่วยหรือ? ่นี้เธออารมณ์เป็ยังไงบ้าง?”
ชิงหลงส่ายหัว “ฉันยุ่งเกินไป ไม่มีเวลาใส่ใจเธอ ถ้านายมีเวลาว่างก็มาอยู่เป็เพื่อนเธอหน่อยสิ”
“ได้ครับ” ชย่าลิ่วอีพยักหน้าตอบรับ เขาทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามขึ้นอีกครั้ง “จะให้ผมดูแลไนต์คลับแห่งใหม่จริงๆ หรือ”
ชิงหลงหยิบซิการ์มวนที่สองขึ้นมา “พี่ใหญ่เคยหลอกนายเมื่อไรกัน?”
“มันไม่ค่อยดีเท่าไรนะพี่” ชย่าลิ่วอีพูดขณะจุดไฟให้เขา “สวี่อิงไม่ชอบหน้าผม ่นี้หลังจากที่ลูกน้องคนก่อนถูกย้ายไป เขาก็ส่งคนมาที่นี่อีกหลายคน ปกติแล้วเขาเป็คนดูแลเื่นอกเมืองกำแพงเจียวหลง ผมเลยเหมือนไปล้ำเส้นจนทำให้เขาไม่พอใจ”
“นายไม่ต้องไปสนใจเขา” ชิงหลงพูด “ถ้ามีอะไรที่ไม่เข้าใจเกี่ยวกับบัญชีก็ไปถามตงตง”
ชย่าลิ่วอีก้มหน้าลงทบทวนทุกอย่างในใจอย่างเงียบๆ “ได้ครับ พี่วางใจได้ ผมจะดูแลให้ดีเอง”
ชิงหลงยิ้ม “นายเข้าใจ พี่ใหญ่ก็สบายใจ”
ทั้งสองคุยกันเื่งานอีกเล็กน้อย และแล้วชิงหลงก็สังเกตเห็นต้นฉบับที่เขียนด้วยลายมือกระจัดกระจายอยู่บนพื้น บางแผ่นมีคราบเืติดอยู่ “นี่อะไร?”
“บทหนังเื่ใหม่ครับ” ชย่าลิ่วอีรู้สึกเขินขึ้นมาในทันที “ผมจ้างนักศึกษามาเขียน แต่ไอ้หมอนั่นดันเขียนออกมาเละเทะ…”
เขายังไม่ทันได้เก็บ ชิงหลงก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่ตกอยู่ข้างโต๊ะขึ้นมาดูแล้วพูด “เก็บที่เหลือมา”
ชย่าลิ่วอีได้แต่ก้มตัวลงเก็บกระดาษที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆ อย่างว่าง่ายแล้วนำกลับมารวมกันเป็ปึก
เขาหน้าตึงมองชิงหลงพลิกเอกสารทีละแผ่น หัวใจเต้นตึกตักพยายามอธิบายอย่างเต็มที่ “ไอ้หนุ่มนั่นสมองท่าจะเพี้ยนไปแล้ว ผมจัดการเขาไปแล้ว ผม…”
“เยี่ยมมาก” ชิงหลงพูดอย่างใจเย็น “เอาแบบนี้แหละ”
“ผม... ฮะ?!”
ชิงหลงวางบทลงแล้วลุกขึ้น ก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวเขาเบาๆ “ฉันมีธุระ ขอกลับก่อนนะ อย่าลืมแวะไปหาเสี่ยวหม่านบ่อยๆ ล่ะ”
“อ๊ะ นี่…” ชย่าลิ่วอียังคงลังเล แต่ประตูห้องก็ถูกเปิดออกจากด้านนอกเสียแล้ว การ์ดผู้ว่องไวสองคนเข้ามาเชิญชิงหลงออกไปโดยเขาก็โบกมือไปพลางเดินไปเป็ท่าทางบอกว่าไม่ต้องไปส่ง
ชย่าลิ่วอีมองตามแผ่นหลังของเขาจนลับสายตา หลังจากปิดประตูเขาก็เอนหลังพิงประตูทันที เขาจ้องมองบทที่วางซ้อนกันอยู่ครู่หนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉยก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
เขาหยิบบุหรี่ออกมาด้วยสีหน้าเหนื่อยล้าแล้วหันไปจุดมัน
“เสี่ยวหม่า!”
“ครับ!”
“พาเด็กคนนั้นไปรักษาแผลหน่อย”
……
หน้าอกของเหอชูซานถูกพันด้วยผ้าหลายรอบ แขนก็ถูกพันหลายรอบ ผ้าพันหัวของเดิมก็ยังไม่ได้แกะออก คนที่จากเดิมเหมือนแขกตอนนี้ดูเหมือนมัมมี่แขกไปเสียแล้ว เขานั่งก้มหน้าอยู่ข้างกองถ่ายมองดูกลุ่มนักเลงตัวเล็กๆ วิ่งไปวิ่งมาจัดเตรียมอุปกรณ์ประกอบฉากตามคำสั่งของผู้กำกับ ทันใดนั้นทุกคนก็หยุดการเคลื่อนไหวส่งเสียงร้องเรียกชย่าลิ่วอีที่มาตรวจกองถ่ายด้วยความเคารพ
ทุกคนต่างประจบประแจงชย่าลิ่วอี มีเพียงเขาเท่านั้นที่ก้มหน้าไม่สนใจไม่ตอบสนอง เขายังคงเขียนบทสนทนาสำหรับฉากต่อไป ถือเป็การต่อต้านเล็กๆ น้อยๆ
ทุกคนที่นี่ล้วนเป็อันธพาล ชย่าลิ่วอีคือคนชั่วในหมู่คนชั่ว เขาแค่อยากเขียนบททั้งหมดให้เสร็จเร็วๆ ถ่ายทำให้เสร็จ แล้วกลับไปเรียน
เขาขาดเรียนมาสองสัปดาห์แล้ว ถ้าผลการเรียนตกลงแน่นอนว่าเขาจะไม่ได้รับทุนการศึกษาในเทอมนี้ แล้วเทอมหน้าเขาก็ต้องไปขอเงินค่าเทอมจากพ่อ เขาอายุยี่สิบเอ็ดปีแล้วแต่ยังไม่สามารถดูแลพ่อได้ แถมยังต้องใช้เงินของพ่ออีก คิดแล้วก็รู้สึกเศร้าใจ
ชายหนุ่มเขียนบทอย่างขะมักเขม้นด้วยสีหน้าหม่นหมอง ทันใดนั้นก็ต้องใกับเสียงนุ่มนวลที่ดังขึ้นข้างๆ จนปากกาหลุดมือ
“นายชื่อว่าอะไร?”
ผู้หญิงที่แต่งหน้าสะสวยคนนี้เป็นางเอกของหนังเื่นี้ เสี่ยวหม่าน ภรรยาของชิงหลง อาซ้อของแก๊งเซียวฉี ถึงแม้เธอจะอยู่ในกองถ่ายตลอดเวลาที่ผ่านมา แต่เหอชูซานก็ไม่ได้สนใจที่จะมองเธอใกล้ๆ เลย
เมื่อได้มองพิศอย่างละเอียดในครั้งนี้เขาถึงได้พบว่าอาซ้อคนนี้มีใบหน้าที่งดงามและอ่อนหวาน มีบุคลิกสง่างามต่างจากภาพลักษณ์ของผู้หญิงในละแวกบ้านเขาที่มักจะดูแรงๆ หรือดูเป็สาวเปรี้ยว
เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม เขามักจะรู้สึกว่าเธอดูคล้ายกับหัวหน้าอันธพาลคนนั้นอยู่บ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปทรงของหางตาที่เชิดขึ้น เพียงแต่ชย่าลิ่วอีนั้นมีท่าทางเกียจคร้านแต่แฝงไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม ส่วนแววตาของเธอกลับเลื่อนลอยราวกับมีเมฆหมอกปกคลุม ดูเหมือนคนที่อยู่ในความเศร้าโศกตลอดเวลา
เขาทำหน้าเหวอ ไม่พูดอะไร ดูเหมือนใ เสี่ยวหม่านไม่ได้ถือสาในท่าทางนั้น เธอถามอีกครั้ง “นายชื่ออะไร?”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้