บทที่ 5 พายุที่ถาโถม และสายตาจากเงามืด
นางผลักประตูเปิดออกเต็มแรง เสียงดังลั่นทำให้ทุกคนในร้านสะดุ้งสุดตัว ไม่ว่าจะเป็ลูกค้าที่กำลังนั่งซึม หรือพนักงานที่กำลังอู้งาน ทุกสายตาหันมามองที่ประตูเป็จุดเดียว
ไป๋ฟางซินก้าวเข้ามาอย่างสง่างาม ในมือถือกล่องไม้ใบนั้น แววตาคมกริบดุจเหยี่ยวจ้องเหยื่อ "ข้าชื่อไป๋ฟางซิน! ั้แ่วันนี้เป็ต้นไป ข้าคือเถ้าแก่เนี้ยคนใหม่ของโรงน้ำชาแห่งนี้!"
คำประกาศกร้าวของนางทำให้ทั้งร้านตกอยู่ในความเงียบงันไปชั่วขณะ ก่อนที่เสียงหัวเราะคิกคักจะดังขึ้น
ผู้จัดการซุนเดินอุ้ยอ้ายออกมาจากหลังเคาน์เตอร์ มองนางั้แ่หัวจรดเท้าด้วยสายตาดูแคลน "คุณหนูใหญ่เนี่ยนะ? มาเล่นขายของหรือไร? ข้าอยู่ในวงการนี้มาสามสิบปี นางเป็แค่เด็กเมื่อวานซืนจะมารู้อะไร!'
"โอ้...คารวะคุณหนูใหญ่ ไม่ทราบว่าท่านมาทำอะไรที่นี่หรือขอรับ? สถานที่ซอมซ่อเช่นนี้ไม่เหมาะกับท่านเลยนะขอรับ" เขาแสร้งทำเป็สุภาพ แต่หางเสียงนั้นแฝงไปด้วยการเยาะหยัน
ไป๋ฟางซินไม่เสียเวลาต่อปากต่อคำกับเขา นางโยนสารแต่งตั้งที่ประทับตราของฮูหยินผู้เฒ่าลงบนเคาน์เตอร์ "อ่านซะ!"
ผู้จัดการซุนชะงักไป เขามองตราประทับสีแดงสดนั้นด้วยความใ ก่อนจะรีบหยิบสารขึ้นมาอ่านอย่างลนลาน ยิ่งอ่าน...ใบหน้าที่เคยยิ้มเยาะก็ยิ่งซีดเผือดลงเรื่อยๆ เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นเต็มหน้าผาก
มันเป็เื่จริง! ฮูหยินผู้เฒ่ายกโรงน้ำชานี้ให้คุณหนูใหญ่ดูแลจริงๆ!
"ที่นี่มีพนักงานทั้งหมดกี่คน" ไป๋ฟางซินถามเสียงเย็น
"เอ่อ...รวมข้าน้อยด้วยก็ ห้าคนขอรับ" ผู้จัดการซุนตอบเสียงสั่น
"เรียกทุกคนมารวมกันตรงนี้! เดี๋ยวนี้!"
พนักงานทั้งสี่คนรีบวิ่งมาเข้าแถวหน้ากระดานด้วยความงุนงงระคนหวาดกลัว ไม่มีใครคาดคิดว่าเด็กสาวที่เพิ่งเข้ามาเป็ลูกค้าเมื่อครู่นี้ จะกลายมาเป็นายใหม่ของพวกเขาในพริบตา
ไป๋ฟางซินกวาดตามองทุกคนช้าๆ สายตาของนางเย็นเยียบจนทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนกำลังถูกแช่แข็ง "ข้าเพิ่งเข้ามาในฐานะลูกค้าเมื่อครู่นี้ และสิ่งที่ข้าได้รับคือ การบริการที่ห่วยแตก ชาที่รสชาติเหมือนน้ำล้างเท้า และขนมที่แข็งจนเอาไปปาหัวสุนัข สุนัขยังต้องวิ่งหนี!"
คำพูดที่ตรงไปตรงมาและหยาบคายอย่างไม่น่าเชื่อหลุดออกมาจากปากของคุณหนูผู้สูงศักดิ์ ทำให้ทุกคนอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
"พวกเ้า เรียกที่นี่ว่าโรงน้ำชาอย่างนั้นรึ? ข้าว่ามันเหมือนคอกหมูที่ถูกทิ้งร้างเสียมากกว่า! พวกเ้ากินเงินเดือนของตระกูลไป๋ แต่กลับทำงานกันเหมือนขอทานรอรับของบริจาค! พวกเ้าไม่รู้สึกละอายใจกันบ้างหรือไร!"
แต่ละคำพูดของนางเหมือนแส้เหล็กที่ฟาดลงบนใบหน้าของพวกเขาอย่างจัง!
"ข้าจะให้เวลาพวกเ้าหนึ่งก้านธูปในการตัดสินใจ" นางกล่าวต่อเสียงเฉียบขาด "หนึ่งเก็บข้าวของของพวกเ้า แล้วไสหัวออกไปจากที่นี่ซะ! ข้าจะจ่ายเงินชดเชยให้ตามกฎ"
นางหยุด ก่อนจะยิ้มเย็น "สอง อยู่ต่อ! ทำงานให้ข้า! ลืมวิถีการทำงานที่เน่าเฟะของพวกเ้าไปให้หมด แล้วเริ่มต้นใหม่ภายใต้กฎของข้า! ใครที่ทำงานดี ขยันขันแข็ง ข้าจะให้รางวัลอย่างงาม แต่ใครที่ยังทำตัวี้เี สันหลังยาว ข้าจะไล่มันออกไปโดยไม่ให้เงินแม้แต่อีแปะเดียว!"
พนักงานทั้งห้ามองหน้ากันเลิ่กลั่ก "นางเอาจริงหรือนี่? ดูสายตานั่นสิ...ไม่เหมือนล้อเล่นเลยสักนิด!"
ผู้จัดการซุนรวบรวมความกล้า "แต่ว่า... คุณหนู พวกเราทำงานกันแบบนี้มานานแล้ว จะให้เปลี่ยนกะทันหันมัน"
"นั่นมันปัญหาของเ้า ไม่ใช่ของข้า!" ไป๋ฟางซินตวาดสวนทันที "ข้าไม่สนว่าเมื่อก่อนพวกเ้าจะทำงานกันอย่างไร ข้าสนแค่ว่าั้แ่วันนี้เป็ต้นไป พวกเ้าต้องทำงานอย่างไร! ใครที่คิดว่าทำไม่ได้ เชิญเลือกข้อแรกได้เลย ประตูอยู่ทางโน้น!"
ความเด็ดขาดของนางทำให้ผู้จัดการซุนถึงกับพูดไม่ออก
"เพื่อเป็การแสดงความจริงใจ" ไป๋ฟางซินกล่าวต่อ "ในหนึ่งเดือนนี้ หากใครที่อยู่ต่อและทำงานได้ตามมาตรฐานของข้า เงินเดือนของพวกเ้าทุกคน จะเพิ่มขึ้นสองเท่า!"
"เงินเดือนสองเท่า!!!"
คำประกาศนี้เหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางวง! ดวงตาที่เคยไร้ชีวิตชีวาของพนักงานทุกคนเบิกกว้างขึ้นทันที ประกายแห่งความโลภและความหวังฉายชัดออกมา
'เงินเดือนสองเท่า! ์! ถ้าได้เงินเดือนเพิ่มสองเท่า ข้าก็จะสามารถส่งเงินกลับไปให้แม่ที่บ้านนอกได้มากขึ้น! ข้าจะยอมถวายชีวิตเลย!' เสี่ยวเอ้อร์ที่เคยยืนหาวหวอดๆ กำหมัดแน่น หัวใจเต้นรัว
"แต่ถ้าภายในหนึ่งเดือนนี้ โรงน้ำชาไม่มีกำไรตามเป้า พวกเ้าทุกคนก็จะถูกไล่ออกเช่นกัน" นางกล่าวทิ้งท้ายอย่างเืเย็น "เอาล่ะ ธูปถูกจุดแล้ว เริ่มจับเวลาได้!"
นางให้ชิงเหอจุดธูปหนึ่งดอกปักลงในกระถาง ทุกวินาทีที่ผ่านไปคือการบีบคั้นหัวใจของพนักงานทั้งห้าคน พวกเขากำลังอยู่บนทางแยกที่สำคัญที่สุดในชีวิตการทำงาน
สุดท้าย...เมื่อธูปไหม้ไปเกือบครึ่งดอก เสี่ยวเอ้อร์คนแรกก็ตัดสินใจได้ เขาก้าวออกมาข้างหน้าแล้วคุกเข่าลง "บ่าว...บ่าวชื่ออาซื่อ! บ่าวขอเลือกอยู่ต่อขอรับเถ้าแก่เนี้ย! บ่าวจะทำงานถวายชีวิตเลยขอรับ!"
เมื่อมีคนแรก ก็ย่อมมีคนที่สอง สาม และสี่ตามมา ในที่สุด แม้แต่ผู้จัดการซุนที่ลังเลที่สุดก็ยังต้องก้มหัวยอมจำนน ไม่มีใครอยากทิ้งโอกาสที่จะได้เงินเดือนเพิ่มเป็สองเท่าไป!
ไป๋ฟางซินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ "ดีมาก! ในเมื่อพวกเ้าทุกคนเลือกที่จะอยู่ต่อ งั้นก็จงฟังให้ดี! กฎข้อแรกของข้า โรงน้ำชาสดับวสันต์จะปิดปรับปรุงเป็เวลาสามวัน!"
นางหันไปที่ประตู พ่อบ้านจงก็เดินนำขบวนคนงานที่เตรียมไว้เข้ามาพอดี "พ่อบ้านจง จัดการรื้อของเก่าที่ไร้ประโยชน์ออกไปให้หมด! โต๊ะเก้าอี้ขัดให้ขึ้นเงา! พื้นขัดให้สะอาดจนส่องเห็นเงาหน้าตัวเองได้! ผนังที่สีลอกให้ทาใหม่ด้วยสีขาวนวล! ข้า้าให้ที่นี่สว่างและสะอาดสะอ้านที่สุด!"
"ขอรับคุณหนู!"
จากนั้นนางก็หันกลับมาที่พนักงานทั้งห้า "ส่วนพวกเ้า ตามข้ากลับไปที่จวน! การฝึกของพวกเ้าจะเริ่มต้นขึ้นเดี๋ยวนี้! พวกเ้าจะได้เรียนรู้วิธีการชงชาที่แท้จริง และจะได้รู้จักกับสุดยอดเมนูใหม่ที่จะทำให้โรงน้ำชาของเราพลิกฟื้นกลับมา!"
สายตาของทุกคนเป็ประกายด้วยความอยากรู้อยากเห็น
วันนั้นเอง...ไป๋ฟางซินก็ได้เริ่มต้นการปฏิวัติโรงน้ำชาของนางอย่างเป็ทางการ นางไม่ได้กลับไปที่ห้องครัวใหญ่ แต่ใช้ลานโล่งหลังเรือนของนางเป็สถานที่ฝึก พนักงานทั้งห้าถูกเคี่ยวกรำอย่างหนักั้แ่การยืน การเดิน การยิ้ม การกล่าวต้อนรับ ไปจนถึงการชงชาไข่มุกสูตรลับ
ผู้จัดการซุนที่ตอนแรกยังคงดูแคลนนางอยู่บ้าง เมื่อได้ลองชิมชาไข่มุกเข้าไปคำแรก เขาก็ถึงกับทรุดลงไปนั่งกับพื้นด้วยความตกตะลึง!
'นี่...นี่มันคือรสชาติจาก์ชั้นไหนกัน! ข้าอยู่ในวงการชามาสามสิบปี ไม่เคยดื่มอะไรที่วิเศษขนาดนี้มาก่อนเลย! มิน่าเล่า...คุณหนูใหญ่ถึงได้มั่นใจถึงเพียงนี้! โรงน้ำชาของเรา...รอดแล้ว! ไม่สิ...ไม่ใช่แค่รอด แต่จะดังเป็พลุแตกเลยต่างหาก!'
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว...
โรงน้ำชาสดับวสันต์ถูกเปลี่ยนโฉมไปโดยสิ้นเชิง ป้ายร้านถูกเปลี่ยนเป็ป้ายใหม่แกะสลักอย่างงดงามด้วยตัวอักษรสีทอง ภายในร้านสว่างไสว สะอาดสะอ้าน และตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ดูดีมีระดับ
และที่สำคัญที่สุด ที่หน้าประตูร้าน มีป้ายผ้าสีแดงผืนใหญ่แขวนประกาศเอาไว้ ข้อความบนนั้นเขียนด้วยลายมือพู่กันที่ทรงพลังและงดงาม:
"เครื่องดื่ม์นาม ชาไข่มุก ปรากฏโฉมครั้งแรกในเมืองหลวง! เปิดจำหน่ายอย่างเป็ทางการในวันมะรืนนี้! ด้วยวัตถุดิบที่หายากและขั้นตอนที่ซับซ้อน จึงจำกัดการขายเพียงวันละหนึ่งร้อยถ้วยเท่านั้น! ช้าหมด อดชิม!"
ป้ายประกาศนี้ คือหินก้อนที่สองที่ไป๋ฟางซินโยนลงไปในสระน้ำนิ่งแห่งเมืองหลวง และครั้งนี้ มันไม่ได้สร้างเพียงแค่ระลอกคลื่นเล็กๆ อีกต่อไป แต่มันกำลังจะก่อให้เกิดพายุลูกใหญ่ที่ไม่มีใครคาดคิดถึง
ป้ายผ้าสีแดงผืนมหึมาที่แขวนตระหง่านอยู่หน้าโรงน้ำชาสดับวสันต์ เปรียบดังหินก้อนั์ที่ถูกโยนลงไปในบ่อน้ำนิ่งแห่งเมืองหลวง ก่อให้เกิดระลอกคลื่นแห่งการวิพากษ์วิจารณ์และการโจษจันไปทั่วทุกหัวระแหง
"เครื่องดื่ม์? ฮึ! ช่างกล้าโอ้อวดสรรพคุณเสียจริง! ข้าเป็นักชิมชามาทั้งชีวิต ยังไม่เคยได้ยินชื่อประหลาดพรรค์นี้มาก่อน คงเป็แค่กลอุบายเรียกลูกค้าของโรงน้ำชาใกล้เจ๊งเท่านั้นแหละ!" บัณฑิตเฒ่าผู้หนึ่งลูบเคราแพะของตนพลางส่ายหน้าอย่างดูแคลนขณะเดินผ่าน
"จำกัดวันละร้อยถ้วยรึ? น่าสนใจ! ยิ่งทำเป็หายากเช่นนี้ ข้ายิ่งอยากจะลองลิ้มรสมันสักครั้ง! ต่อให้ต้องไปต่อแถวั้แ่ยามเหม่า (ตี 5) ข้าก็จะไป!" คุณชายเ้าสำราญผู้หนึ่งโบกพัดในมืออย่างตื่นเต้น ความคิดที่จะได้ลองของใหม่ก่อนใครทำให้เืในกายเขาสูบฉีด
ข่าวลือแพร่สะพัดจากปากต่อปาก ยิ่งกว่าโรคระบาดเสียอีก มันถูกปรุงแต่งและขยายความจนน่าเหลือเชื่อ บ้างก็ว่าเครื่องดื่มนี้ทำมาจากน้ำค้างบนยอดเขาคุนหลุน บ้างก็ว่าไข่มุกที่อยู่ข้างใต้นั้นคือไข่ัที่ผ่านการปลุกเสกมาแล้ว!
แต่แหล่งข่าวที่น่าเชื่อถือและทรงพลังที่สุด มาจากกลุ่มคุณชายทายาทขุนนางที่ได้ลิ้มรสมันเป็กลุ่มแรก...
ณ ลานประลองยุทธ์ของค่ายทหารหลวง
"พี่สวี่! ท่านได้ยินข่าวเื่โรงน้ำชาสดับวสันต์หรือไม่? พวกเขากำลังจะขาย ชาไข่มุก ที่ท่านเคยเล่าให้พวกข้าฟังแล้ว!" คุณชายจาง บุตรชายขุนนางกรมกลาโหม เอ่ยถามสวี่จิ้งด้วยความตื่นเต้นหลังจากการฝึกซ้อมดาบ
สวี่จิ้งเช็ดเหงื่อบนหน้าผากพลางหัวเราะเสียงดัง "ฮ่าๆๆ! แน่นอน! ข้ารู้เื่นี้ก่อนใครเพื่อน! พวกเ้ารู้หรือไม่ว่าเครื่องดื่ม์นั่นเป็ฝีมือของใคร?" เขาแสร้งทำเป็กระซิบ "เป็ฝีมือของพี่สาวสหายข้า คุณหนูใหญ่ไป๋ฟางซินอย่างไรเล่า! พวกเ้ายังจำวันที่พวกเราไปจวนเสนาบดีได้หรือไม่? นั่นแหละคือสิ่งที่พวกเราได้ดื่มกัน!"
คำพูดของเขาทำให้เหล่าคุณชายโดยรอบเบิกตากว้าง
'์! จริงด้วย! รสชาติที่ยังคงติดอยู่ที่ปลายลิ้นนั่น! ข้านึกว่าชาตินี้จะไม่มีโอกาสได้ดื่มอีกแล้วเสียอีก!'
"จริงหรือพี่สวี่! เช่นนั้นพวกเราต้องไปอุดหนุน! ข้าจะเหมามาสักสิบถ้วย!"
สวี่จิ้งตบไหล่สหาย "สิบถ้วยรึ? เ้าฝันไปเถอะ! ข้าได้ยินมาว่าเขาจำกัดการขายแค่วันละร้อยถ้วยเท่านั้น! หากพวกเราไม่รีบไปแต่เช้าตรู่ เกรงว่าแม้แต่ก้นถ้วยก็คงจะไม่ได้เห็น!"
คำพูดนี้ยิ่งโหมกระพือความอยากรู้อยากเห็นและความ้าที่จะ "ต้องได้ลิ้มลอง" ให้จงได้ในหมู่ชนชั้นสูง การตลาดแบบปากต่อปากที่ทรงพลังที่สุดได้เริ่มทำงานของมันแล้ว ไป๋ฟางซินไม่ได้เสียเงินแม้แต่อีแปะเดียว แต่กลับได้ผู้ประชาสัมพันธ์ระดับแนวหน้าของเมืองหลวงมาอย่างง่ายดาย
สองวันต่อมา...วันเปิดร้านอย่างเป็ทางการ
ท้องฟ้ายังไม่ทันจะสางดี แสงอรุโณทัยยังคงหลับใหลอยู่หลังม่านเมฆ แต่หน้าโรงน้ำชาสดับวสันต์กลับคึกคักราวกับมีงานเทศกาล! ผู้คนจำนวนมหาศาลมายืนต่อแถวยาวเหยียดจนล้นออกไปถึงกลางถนน มีทั้งคุณชายคุณหนูในชุดหรูหรา พ่อค้าวาณิชผู้มั่งคั่ง หรือแม้กระทั่งชาวบ้านธรรมดาที่ยอมอดออมเงินมาเพื่อลองของแปลกใหม่ตามคำร่ำลือ
