บทที่ 82 จุดเริ่มต้นของความวุ่นวาย
เพ็ญจันทร์ลอยเด่นบนฟากฟ้า ดวงดาราส่องแสงผ่านเมฆา หมอกแดงสลัวปกคลุมไปทั่วบริเวณ ทำให้บรรยากาศรอบๆ ค่ายอึมครึมไปด้วยสีแดง น่าขนลุกนัก
พื้นที่โล่งริมแม่น้ำ คนสองกลุ่มเผชิญหน้ากัน ะโใส่กัน และทะเลาะกันอย่างบ้าคลั่ง การจะลงมือทำร้ายกันห่างกันแค่เส้นผม
“เ้าเป็ใคร! อย่ามาใส่ร้ายหัวหน้าของเรานะ!” มีคนะโใส่หลางซื่อเสียงดังจนน้ำลายกระเซ็นออกจากปาก
“หัวหน้าของเราไม่ใช่คนที่ชอบทำลับๆ ล่อๆ เหมือนพวกเ้าหรอกนะ! ให้ตายเถอะ!”
“ฮึ่ม ต่อให้พวกเราเป็คนฆ่าสองคนนั่นเองแล้วจะทำไม?! ไอ้พวกหัวขโมย สมควรตายให้หมด!”
“ถ้ากล้าก็เข้ามาเลย! กลัวที่ไหน?!”
เสียงดุด่าเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มัเหล็กเองก็ไม่อาจทนไหว พวกเขายกอาวุธขึ้นและะโเสียงดัง หลางซื่อผู้นี้ยั่วยุซ่งอี้ต่อหน้า พวกเขาไม่พอใจอย่างยิ่ง คิดจะเปิดากันเดี๋ยวนี้
“เชอะ! จะทำตัวเหมือนปีศาจหัวโต[1]ไปทำไม? พวกเ้ากลุ่มัเหล็กก็เป็เพียงพวกขี้ข้า!”
“เราทุกคนต่างก็เป็นักรบรับจ้าง คิดว่ากลุ่มัเหล็กของพวกเ้าเหนือกว่ากลุ่มอื่นหรืออย่างไร?! แสร้งชอบธรรมเอาหน้าไร้สาระ! ใช้ชีวิตอยู่บนคมดาบเหมือนกันล่ะวะ!”
“ใช่แล้ว ถ้าพวกเ้ากล้าว่าหัวหน้าหลางอีก! ก็คอยดูว่าเราจะจัดการพวกเ้ายังไง! ัเหล็ก? ก็แค่เหล็กขนไก่! ไปตายซะ!”
ในเวลาเดียวกัน สมาชิกของกลุ่มหมาป่าก็โกรธจัด พ่นคำผรุสวาทหยาบคายออกมาเช่นกัน
หินหนึ่งก้อนก่อคลื่นนับพัน จากคำด่าว่าเพียงสองสามประโยคกลับลุกลามใหญ่โตเหมือนไฟลามทุ่ง จุดอารมณ์ดุเดือดของทั้งสองฝ่ายในทันที
ทุกคนต่างะโและสาปแช่ง ใบหน้าของพวกเขาแดงก่ำ ดวงตาแดงฉาน บรรยากาศเริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ชักอาวุธออกมาพร้อมมือ คาดว่าจะเกิดการต่อสู้อย่างรุนแรงขึ้น
“กล้าก็บุกเข้ามาเลย! ข้าจะเลาะเนื้อเ้าออกให้ดู!” เมิ่งซานะโพร้อมชูธนูด้วยสีหน้าโเี้
“ข้าก็ยืนอยู่ตรงหน้า ถ้าเ้ากล้าก็ยิงเลย! อะไรนะ? ไม่กล้า?” ใครบางคนจากกลุ่มหมาป่าตอบกลับ
“เชอะ!! เ้าพวกลิงผอม ข้าจะทุบพวกเ้าให้แหลกเลย!” สือเหล่ยแยกเขี้ยวและกวัดแกว่งหมัดอันใหญ่โต ทำให้สมาชิกที่อ่อนแอบางคนของกลุ่มหมาป่าหวาดกลัว
แต่ก็ยังมีนักรบบางคนที่อยู่บนจุดสูงสุดของขอบเขตควบแน่นพลังปราณที่ไม่กลัวคำเยาะเย้ยของสือเหล่ย “เ้าก็แค่วัวโง่แรงเยอะเท่านั้นล่ะ หึ มือเดียวข้าก็ทุบเ้าให้แหลกได้!”
“โอ้โห! พูดว่าอะไรนะ?!!”
“ก็ไม่ผิดนะ คนโง่ที่มีดีแค่กำลังกายแถมไร้สมอง ถ้ากล้าก็เข้ามา!”
“น่าตายนัก! คิดว่าข้าจะกลัวหรือ!? มาสิ! เต่าหัวหด!”
เสียงะโท้าทายดังเข้าหูของฉู่อวิ๋นอย่างชัดเจน ทำให้เขาขมวดคิ้วและลังเล
เขาไม่คิดเลยว่าการกระทำอันกล้าหาญเพียงครั้งเดียวของเขาจะนำมาสู่สถานการณ์ตึงเครียดในตอนนี้ แต่ดูเหมือนว่าแม้ว่าทั้งสองกลุ่มนักรบิญญาจะยั่วยุกันอย่างไม่มีใครยอมใคร แต่ก็ไม่มีใครลงมือจริง
ทุกคนรู้ดีว่ากระดูกสันหลัง[2]ของทั้งสองฝ่ายคือซ่งอี้และหลางซื่อ การกระทำใดๆ ล้วนขึ้นอยู่กับสีหน้าของทั้งคู่ ไม่ว่าสุดท้ายจะก้าวหน้าหรือถอยกลับก็ต้องรอการยินยอมก่อนจึงจะดำเนินการ
ท้ายที่สุดแล้ว ซ่งอี้และหลางซื่อคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาทุกคนที่นี่ พวกเขาสามารถเข้าใจทิศทางของสถานการณ์ได้อย่างดี
ยิ่งไปกว่านั้น ทันทีที่ทั้งสองฝ่ายลงมือ ย่อมเป็การต่อสู้ที่เด็ดขาดจนไม่อาจหยุดยั้งได้
ไม่ถึง่นาทีสุดท้าย ไม่มีใครคิดจะเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง
“กลุ่มโจรก็คือกลุ่มโจร ไร้เหตุผลสิ้นดี แม้ว่าตอนนี้จะผันตัวมาเป็นักรบรับจ้าง แต่ก็ยังมีนิสัยโหดร้าย พาลให้คนคลื่นเหียน!” ในเวลานี้ ซ่งอี้จ้องมองไปที่หลางซื่อ เริ่มยั่วยุเขาด้วยคำพูดประชด กำดาบั์ในมือไว้แน่น
“โอ้? ที่แท้หัวหน้าซ่งก็มีอคติต่อเราเพียงนี้เชียว”
“แต่เ้าก็พูดถูก กลุ่มหมาป่าของเราเริ่มต้นด้วยการปล้นสินค้าของพวกพ่อค้า ฟังดูสกปรก แต่นั่นก็เป็เื่ในอดีต ตอนนี้พวกเราเป็คนมีเหตุผลแล้ว”
หลางซื่อยิ้ม เผยให้เห็นฟันอันแหลมคมของเขา แม้น้ำเสียงจะสุภาพแต่ก็ทำให้ผู้คนไม่สบายใจ
“เป็คนมีเหตุผลหรือ? ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะมีเหตุผลกับเ้า คนจากกลุ่มหมาป่าของเ้าตายไปสองคน ทั้งยังมีทาสหญิงที่หายไป และตอนนี้เ้าก็คิดว่าจะบุกค้นค่ายของเราโดยไม่มีหลักฐานใดๆ ทั้งสิ้น”
“เช่นนั้นถ้าในอนาคตกลุ่มหมาป่าของเ้าเกิดเื่อะไรขึ้นอีก ไม่ใช่ว่าเื่เล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องเดินมาค้นค่ายกลุ่มัเหล็กของเราให้กลายเป็ที่ขนามนานว่าเป็สวนหลังที่กลุ่มหมาป่าของเ้าเข้าออกได้ตามใจหรอกหรือ? เช่นนั้นข้าจะอธิบายกับเหล่าพี่น้องข้าอย่างไร!?”
ใบหน้าของซ่งอี้เคร่งขรึมราวกับเหล็ก เขาพูดด้วยรัศมีอันสง่างาม แผ่รังสีกดดันออกมาเล็กน้อย ทำให้เริ่นอวี่สิงขมวดคิ้วและรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก
ทว่าหลางซื่อยังคงยืนหยัดและพูดด้วยรอยยิ้มที่น่ากลัว “เฮ้อ ทำไมหัวหน้าซ่งถึงต้องโกรธขนาดนี้กัน? เห็นอยู่ว่าถนนสายนี้เป็เส้นทางเดียวสำหรับคาราวานนักรบรับจ้าง ในเวลานี้ยกเว้นพวกเราแล้วก็มีเพียงพวกเ้ากลุ่มัเหล็กเท่านั้นที่อยู่ที่นี่”
“และนักรบทั้งสองในกลุ่มเราก็ถูกกระบี่ฟันคอตายในทันที พวกเขาไม่ได้ถูกสัตว์ปีศาจโจมตีแน่นอน ป่าสีเืในตอนกลางคืนอันตรายยิ่งกว่าสิ่งใด ทาสหญิงคนนั้นของเราก็คงหนีไปได้ไม่ไกลนัก...”
“หลังจากคิดอยู่นาน หัวหน้าซ่งเ้าก็ยังคงน่าสงสัยมากที่สุดอยู่ดี หากบริสุทธิ์จริง เหตุใดต้องขัดขวางข้าด้วย? เฮ้อ อย่าคิดว่าข้าหลางซื่อเป็คนโง่นักเลย!”
เมื่อได้ยิน ดวงตาของซ่งอี้ก็กะพริบถี่และหรี่ตาลงเล็กน้อย หลางซื่อคนนี้สมกับเป็ผู้นำของกลุ่มหมาป่าจริงๆ แม้ว่าเขาจะดูน่ากลัวและดุร้าย แต่จิตใจกลับกระจ่างชัดแจ้ง แม้ว่าจะถูกพลังปราณของเขากดดันไว้ อีกฝ่ายก็ยังไม่แสดงท่าทีหวาดกลัว...
สีหน้าของฉู่อวิ๋นจริงจังขึ้น คำพูดของหมาป่าตัวนี้ช่างนำความยุ่งยากมาให้ ทั้งความแข็งแกร่งของเขานั้นไม่อาจหยั่งรู้ได้ คงไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ
เดิมคิดว่าการเดินทางครั้งนี้จะเป็ไปอย่างราบรื่น แต่ไม่คิดว่ากลางทางจะได้เจอกับคนที่โเี้เช่นนี้ได้
เมื่อคิดดังนั้น ฉู่อวิ๋นก็ขบริมฝีปาก หัวใจของเขาปั่นป่วน โลกแห่งพลังยุทธ์โหดร้ายเสมอ ไม่ว่าจะมีเหตุผลมากมายเพียงใดก็ไม่อาจสู้ความแข็งแกร่งได้
หากซ่งอี้สามารถจัดการหลางซื่อและเริ่นอวี่สิงได้ เขาคงจะไล่ตะเพิดคนพวกนี้กลับไปนานแล้ว คงไม่รั้งรออยู่จนถึงตอนนี้
ดวงตาของฉู่อวิ๋นมั่นใจขึ้น เขารู้ว่าที่ซ่งอี้ยังไม่ชักดาบเพราะยังไม่มั่นใจ
ตอนนี้ หลางซื่อคนนี้อย่างน้อยก็สามารถทัดเทียมกับซ่งอี้ได้!
ซ่งอี้เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยืดตัวตรงพร้อมดาบแล้วเอ่ยว่า “เลิกพูดไร้สาระได้แล้ว อย่างไรเสีย วันนี้พวกเ้ากลุ่มหมาป่า อย่าได้คิดจะก้าวเท้าเข้ามาในค่ายข้าแม้เพียงครึ่งก้าว!”
ท่าทีของหลางซื่อเปลี่ยนไปทันที ดวงตาของเขาเฉียบคมขึ้น และพูดอย่างเ็า “ฮ่าๆ หัวหน้าซ่ง เหมือนข้าจะได้ยินไม่ชัดนะ เ้ากล้าพูดอีกครั้งหรือไม่?”
“หึ ถ้าเช่นนั้นก็จงตั้งใจฟัง นี่คือสิ่งที่ข้าซ่งอี้พูด ไม่ให้ค้นก็คือไม่ให้ค้น!”
"หึ่ง!"
ทันทีที่พูดจบ ทุกคนก็ตกตะลึง และจู่ๆ พวกเขาก็ส่ายหัว ซ่งอี้คนนี้กำลังยืนหยัดคิดต่อกรกับหลางซื่อ ความขัดแย้งนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว!
ฉู่อวิ๋นกำหมัดแน่นอย่างรู้สึกภาคภูมิใจ เขารู้ว่าซ่งอี้ไม่เพียงแต่ยืนหยัดเพื่อเขาเท่านั้น แต่ยังปกป้องพ่านพ่านที่เขาเคยพบเพียงครั้งเดียวเพื่อป้องกันไม่ให้นางตกไปอยู่ในเงื้อมมือของโจรชั่วด้วย
ซ่งอี้คนนี้ตรงไปตรงมาและไม่เกรงกลัวสิ่งใด ทำให้เืของฉู่อวิ๋นเดือดพล่าน ิญญายุทธ์ของเขาเองก็ตื่นเต้นเช่นกัน!
หลางซื่อลืมตาขึ้น เผยให้เห็นดวงตาเล็กๆ แสนน่ากลัว น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็เ็าแล้วพูดว่า “หึ อุตส่าห์ไว้หน้าเ้าสามส่วน แต่เ้ากลับอวดดี อย่าคิดว่าจะรังแกกลุ่มหมาป่าของเราได้ง่ายๆ!”
“ตอนนี้กลุ่มของข้าก็รุ่งเรืองไม่ใช่น้อย พูดถึงชื่อเสียง พูดถึงความแข็งแกร่ง พวกเราก็เท่าเทียมกับกลุ่มัเหล็กของเ้ามานานแล้ว!”
ทันทีที่หลางซื่อพูดจบ นักรบทุกคนของกลุ่มหมาป่าก็แสดงสีหน้าเคร่งขรึม ยกอาวุธขึ้นมา ก่อนค่อยๆ เคลื่อนตัวไปรอบ ๆ ค่าย
เมื่อเห็นเช่นนี้ สมาชิกทุกคนของกลุ่มัเหล็กก็มีสีหน้าเคร่งเครียด ก้าวเท้าเข้าสู่ตำแหน่งรบทันที ระดมพลังปราณให้ไหลเวียนไปทั่วร่างกายเพื่อพร้อมโจมตี
“ฮ่าๆๆ!” ซ่งอี้หัวเราะสามครั้ง ดึงดาบั์ออกมาจากพื้นแล้วพูดว่า “ในสายตาของข้าซ่งอี้ เ้าหลางซื่อ เป็โจรหนึ่งวันเป็ไปทั้งชีวิต ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่อาจเห็นแสงตะวันได้ อย่าคิดว่าข้าจะไม่รู้ความคิดเ้าเลย เหตุผลที่ว่ามาเมื่อครู่คงเป็ข้ออ้างคิดกำจัดกลุ่มัเหล็กของเราคืนนี้สินะ!”
“ฮ่าๆ ซ่งอี้ ในเมื่อเ้าอธิบายเสียชัดเจนแล้ว ข้าก็ไม่จำเป็ต้องพูดอะไรอีก! แต่อย่าคิดว่าเ้าที่อยู่ในระดับห้าของขั้นมหาสมุทรแล้วจะอาละวาดได้ดั่งใจเล่า ข้าลืมบอกเ้าไป หลังจากมุมานะปิดตนฝึกฝน ในที่สุดข้าก็ตามรอยเท้าเ้าทันแล้ว!”
จู่ๆ พลังของหลางซื่อก็เพิ่มขึ้น พลังปราณของเขาไหลออกมาอย่างดุเดือด แค่เพียงความกดดันก็ทำให้เริ่นอวี่สิงที่อยู่ข้างๆ ถอยหลังไปสิบก้าว
แม้ว่าเริ่นอวี่สิงจะอับอายอยู่บ้าง แต่เขาก็ดีใจมากเมื่อรู้ว่าระดับพลังยุทธ์ของหลางซื่อได้ทะลวงถึงขั้นอีกครั้ง ตอนนี้กลุ่มหมาป่าของพวกเขาก็สามารถทัดเทียมกับกลุ่มัเหล็กได้เสียที!
“หืม? กลิ่นอายของระดับห้าขั้นมหาสมุทร ไม่คิดว่าเ้าจะทะลวงถึงขั้นนี้ได้นะ” ซ่งอี้โบกดาบของเขาและพูดอย่างเฉยเมย
“อะไรกัน? ตอนนี้เ้ากลัวแล้วหรือ? สายไปแล้ว” หลางซื่อจ้องมองด้วยสายตาน่ากลัวแล้วเยาะเย้ย “ถึงแม้ว่าเ้าซ่งอี้จะอยู่ในขั้นนี้มานานและมีทักษะที่ลึกซึ้ง แต่ข้าที่ร่วมมือกับเริ่นอวี่สิง เกรงว่าเ้าจะหยุดเอาไว้ไม่อยู่!”
เมื่อได้ยิน ซ่งอี้ก็หัวเราะอีกครั้งและพูดว่า “โอ้ เ้าหัวขโมย ในที่สุดก็เผยหางจิ้งจอกออกมาแล้วหรือ? ถ้าเ้า้าต่อสู้และคิดจะโจมตีกลุ่มัเหล็กของข้าก็แค่พูดมาคำเดียว เหตุใดต้องมาทำลับๆ ล่อๆ ด้วย!? พวกเราัเหล็กเคยกลัวเสียที่ไหน?!”
“ใช่แล้ว! จอมโจรหมาป่า! พวกเราไม่กลัวสิ่งใดทั้งนั้น หากอยากสู้ก็เข้ามาได้เลย!”
“ใช่แล้ว! ทุกคนรู้ที่นี่ก็รู้กันทั้งนั้นว่าเ้าไม่ใช่ตัวดีอะไร! เข้ามา!”
“กลุ่มัเหล็ก!”
“กลุ่มัเหล็ก!”
ทุกคนตกอยู่ในอารมณ์เดือดดาล ต่างก็ะโคำว่าฆ่าจนะเืฟ้า หยิบอาวุธออกมาและยืนอยู่ด้านหลังซ่งอี้อย่างแน่วแน่โดยไม่ยอมขยับแม้แต่นิ้วเดียว
ด้วยเสียงดังกระหึ่ม อาวุธทุกชนิดก็ปรากฏออกมาด้วยพลังอันน่าอัศจรรย์ ก่อตัวเป็คลื่นอันทรงพลัง พวกเขาเผชิญหน้ากันแบบตัวต่อตัวกับคนของกลุ่มหมาป่า ต่างฝ่ายต่างไม่คิดยอมแพ้ แรงกดดันที่พลุ่งพล่านทำให้ดูน่าหวาดกลัว พวกเขาจึงถอยหลังไปครึ่งก้าว
“เหอะเหอะ กลุ่มหมาป่าของเราเองก็เป็กลุ่มนักรบรับจ้างที่น่าเชื่อถือไม่น้อย เื่หัวหน้าเริ่นก่อนนี้ข้าไม่เอาเื่เพราะเห็นแก่เ้าซ่งอี้ แต่เ้ากลับปกป้องคนผิดครั้งแล้วครั้งเล่า ความอัปยศนี้ข้าไม่สามารถกล้ำกลืนมันลงไปได้!”
“คืนนี้ ข้าจะจัดการกลุ่มัเหล็กของเ้าเสียให้สิ้นซากด้วยมือของข้าเอง”
“อย่าให้เหลือ!”
หลางซื่อะโอย่างดุเดือด ทันใดนั้นก็ดึงตะบองออกมา หนามจำนวนนับไม่ถ้วนเรืองแสงด้วยเืสีแดงเข้ม ช่างน่าสะพรึงกลัว
ในเวลาเดียวกัน ทุกคนในกลุ่มหมาป่าก็แสดงท่าทางดุร้ายเช่นกัน พวกเขาเข้าล้อมรอบและค่อยๆ โจมตีค่าย ภายใต้คำสั่งของหลางซื่อ พลังของพวกเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ไร้ซึ่งความกลัวอีกต่อไป
“ให้ตายเถอะ ตามอันธพาลเช่นเ้ามาไม่มีอะไรดีเลยจริงๆ! แต่คนพวกนี้ก็ชักจะเกินไปแล้วนะ คุณหนูเช่นข้าโกรธแล้ว!” มู่หรงซินชักธนูตามจันทร์ของนางออกมา ชี้เป้าไปทุกทิศทาง พร้อมที่จะโจมตีพลางพ่นคำสาปแช่งจากปากบางสวย
“การต่อสู้ครั้งนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ ป้องกันตัวเองให้ดี อีกด้านหนึ่งมีคนมากเกินไป! ข้าอาจดูแลเ้าไม่ได้!” ใบหน้าของฉู่อวิ๋นเคร่งขรึม เขาโบกกระบี่ชื่อยวนและค่อยๆ ยืนตรงหน้ามู่หรงซิน ปล่อยให้นางจ้องมองด้วยความอ่อนโยน
“ฮึ่ม เ้าคิดว่าข้าเป็เพียงแม่หญิงในเรือนหรือไร ข้าเองก็เป็นักรบระดับเจ็ดของขอบเขตควบแน่นพลังปราณ ระวังข้าจะยิงก้นเ้าแล้วกัน!”
ฉู่อวิ๋นยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปรอบๆ
ท่ามกลางความวุ่นวาย ซ่งอี้ถือดาบและมองหน้ากับหลางซื่อและเริ่นอวี่สิง พลังของพวกเขาพุ่งสูงขึ้นจนน่าอัศจรรย์
ทุกคนในกลุ่มัเหล็กรวมตัวกันพร้อมที่จะตอบโต้การโจมตีที่ไม่คาดคิดของศัตรูได้ตลอดเวลา ิญญายุทธ์ของพวกเขาก็ทะยานขึ้น!
ริมแม่น้ำ บรรยากาศเงียบสงบ ภายใต้แสงสะท้อนของจันทรา อาวุธทั้งหมดเปล่งประกายด้วยแสงเย็นเยียบ สาดส่องชี้ชันกันไปมาในระยะไกล ิญญายุทธ์ถูกปล่อยออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด กลิ่นอายสังหารดูเหมือนจะทำลายพลังชีวิตทั้งหมดในโลกลง
ลูกศรขึงตึงอยู่บนสาย พร้อมปล่อยพุ่งทะยาน
----------
[1] ปีศาจหัวโต (大头鬼) ชายที่มีศีรษะขนาดใหญ่ผิดปกติ แต่มีร่างกายขนาดเล็กและซูบผอม มีอาวุธคือค้อนทองเหลืองคู่
[2] ความหมายเหมือนคำว่าเสาหลัก หรืออาจแปลได้ว่าคนสำคัญ