จากนั้นหยางฉานในชุดคลุมสีครามก็เหลือบมองไปทางข่งย่วน นางส่งสายตาเป็เชิงขออภัยก่อนจะดึงพลังกลับคืนและก้าวถอยไปด้านข้าง ก่อนที่เหล่าบัณฑิตสายในคนอื่นๆ จะทยอยดึงพลังกังหยวนกลับคืนและถอยออกไปเช่นกัน
เมื่อเห็นภาพนี้ ภายในใจของมู่เฟิงก็มีร่องรอยของความเศร้าปรากฏขึ้นเล็กน้อย แต่มุมปากของเขายังคงเหยียดยิ้มออกมา
ด้านโจวเหวินเฉวียนผู้มีรูปร่างสูงใหญ่กำยำก็ถอนหายใจออกมาเช่นกัน จากนั้นเขาก็หันไปกล่าวกับมู่เฟิงว่า “มู่เฟิง ข้าขอโทษ แต่ภารกิจนี้มีความสำคัญมาก”
หลังกล่าวจบ เขาก็ถอยออกไปเช่นกัน
“พวกท่าน...เหตุใดพวกท่านทำเช่นนี้ พี่ใหญ่ซือถู พี่หญิงหยางฉาน พวกเรามาจากสำนักศึกษาเดียวกัน พวกท่านจะยืนดูมู่เฟิงถูกพาตัวไปอย่างนั้นหรือ”
มีเพียงข่งย่วนและข่งเซวียนเอ๋อร์เท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่ข้างมู่เฟิง ก่อนที่ข่งเซวียนเอ๋อร์กล่าวด้วยความขุ่นเคือง
ข่งย่วนมีสีหน้าเคร่งเครียด การที่พวกเขาเลือกทำเช่นนี้ไม่ใช่เื่แปลกอะไร เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอันใดกับมู่เฟิง แต่เนื่องจากมู่เฟิงมีปัญหากับตระกูลอินเพราะข่งเซวียนเอ๋อร์ ดังนั้นนางจะเมินเฉยไม่ได้
“เซวียนเอ๋อร์ ย่วนเอ๋อร์ พวกเ้ามานี่เร็วเข้า มู่เฟิงเป็คนก่อเื่เอง เขาเป็คนลงมือสังหารคนผู้นั้น ในเมื่อตอนนี้เกิดเื่ขึ้นเขาก็ต้องรับผิดชอบ ไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้ พวกเราต้องให้ความสำคัญกับสถานการณ์โดยรวมก่อน เวลานี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือภารกิจนะ”
ซือถูคงเกลี้ยกล่อมจากด้านข้าง
“ฆาตกรคือเ้าจริงด้วย”
ดวงตาของอินเหมี่ยนเต็มไปด้วยจิตสังหาร คำพูดเมื่อครู่ของซือถูคงได้ขายมู่เฟิงจนหมดเปลือกแล้ว
มู่เฟิงหรี่ตาลงและชำเลืองมองไปทางซือถูคง คาดว่าชายผู้นี้คงรู้สึกเสียหน้าที่ครั้งก่อนเขาสามารถรับมือสามกระบวนท่าของอีกฝ่ายได้ เวลานี้เมื่อสบโอกาสจึงใช้ลมปากต่างมีดแทงข้างหลังเขา ช่างเป็บุคคลที่ชั่วช้ายิ่งนัก
“พี่ใหญ่ซือถู เหตุใดท่านจึงกล่าวเช่นนั้น มู่เฟิงล่วงเกินตระกูลอินก็เพื่อช่วยข้า คิดไม่ถึงว่าท่านจะเป็คนแบบนี้”
ข่งเซวียนเอ๋อร์มองหน้าซือถูคงอย่างผิดหวัง
“ข้าจำเป็ต้องคำนวณถึงสถานการณ์โดยรวมก่อนเป็อันดับแรก เ้าต้องเข้าใจเื่นี้ด้วย เซวียนเอ๋อร์ ถอยออกมาเร็วเข้า”
“หึ!”
ข่งเซวียนเอ๋อร์แค่นเสียงเ็า นางยังคงหยัดยืนอยู่ข้างกายมู่เฟิงไม่ไปไหน
เมื่อตกอยู่ในวิกฤตจึงจะเห็นใจจริงของคน ภาพนี้ทำให้มู่เฟิงรู้สึกซาบซึ้งเป็อย่างมาก แม้สาวน้อยผู้นี้จะมีนิสัยเกเรไปบ้าง แต่นางก็มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากกว่าคนเ่าั้
“ศิษย์พี่ข่ง ท่านพาเซวียนเอ๋อร์ออกไปเถอะขอรับ เื่ในวันนี้ ข้ามู่เฟิงจะไม่รั้งให้พวกท่านต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง”
มู่เฟิงมองไปทางข่งย่วนก่อนจะกล่าวขึ้น นี่เป็ครั้งแรกที่เขาเรียกข่งเซวียนเอ๋อร์ว่าเซวียนเอ๋อร์
“เ้าต้องพบเจอหายนะในครั้งนี้ก็เพราะเซวียนเอ๋อร์ ดังนั้นข้าจะไม่ทอดทิ้งเ้า”
ข่งย่วนยังคงกล่าวอย่างเรียบเฉย แต่ความคิดของนางเป็สิ่งที่เหนือความคาดหมายของมู่เฟิงมาก มันทำให้ผู้ที่ได้ฟังรู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาไม่น้อย
มู่เฟิงตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “วางใจเถอะ พวกเขาไม่สามารถสังหารข้าได้หรอก ท่านพาเซวียนเอ๋อร์กลับไปเถิด ท่านยังต้องคอยปกป้องความปลอดภัยของนาง”
หลังจากได้ยินคำกล่าวนี้ ข่งย่วนก็หันไปมองข่งเซวียนเอ๋อร์ นางเกิดความลังเลขึ้นมาเล็กน้อย หากเกิดการต่อสู้ขึ้นจริง นางไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยของข่งเซวียนเอ๋อร์ได้
“ไม่นะ มู่เฟิง ข้าจะไม่ทิ้งเ้าไว้คนเดียว”
ข่งเซวียนเอ๋อร์กล่าวอย่างหนักแน่น
มู่เฟิงยิ้ม เขาลูบผมของข่งเซวียนเอ๋อร์ก่อนจะกล่าวว่า “คำพูดของเ้า ชั่วชีวิตนี้ข้ามู่เฟิงจะจดจำว่าเ้าคือสหายผู้หนึ่งของข้า เชื่อข้าเถอะ ถอยออกไปพร้อมกับพี่สาวของเ้าเสีย”
“ข้า…”
ข่งเซวียนเอ๋อร์ใบหน้าแดงก่ำ ทว่านางยังไม่ทันจะได้ตอบอะไร มู่เฟิงก็ใช้สันมือฟาดลงไปบนท้ายทอยของนางเสียก่อน ดวงตาของข่งเซวียนเอ๋อร์มืดลงและสลบไปทันที
ข่งย่วนรีบเข้าไปประคองข่งเซวียนเอ๋อร์เอาไว้ นางมองมู่เฟิงด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง สิ่งที่มู่เฟิงทำคือการบีบให้นางต้องถอยออกไปโดยสิ้นเชิง ทั้งหมดเพื่อปกป้องข่งเซวียนเอ๋อร์ เด็กหนุ่มผู้นี้นับว่าเป็คนที่มีไมตรีต่อพวกพ้องเป็อย่างยิ่ง
ข่งย่วนกล่าวว่า “ระวังตัวด้วย หากเกิดอะไรขึ้นกับเ้า ข้าจะแจ้งข่าวให้ตระกูลของเ้ามาล้างแค้นอย่างแน่นอน”
“ฮ่าๆ คนพวกนั้นสังหารข้าไม่ได้หรอก”
เด็กหนุ่มหัวเราะก่อนจะกวาดตามองไปทางซือถูคงและคนอื่นๆ อย่างเ็า จากนั้นเขาก็หันกลับไปทางตระกูลอินด้วยท่าทีที่ไม่มีความเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย
“ในวันนี้ใครที่มันหักหลังข้า ต่อไปอย่าได้มาร้องขออะไรจากข้าอีก!”
ข่งย่วนประคองข่งเซวียนเอ๋อร์ถอยออกไป ทิ้งมู่เฟิงให้เผชิญหน้ากับอีกฝ่ายเพียงลำพัง
“เ้าหนุ่ม สหายของเ้าทอดทิ้งเ้าไปหมดแล้ว หากว่าเ้ายังมีสติดีอยู่ก็จงปาดคอตัวเองไปเสีย ไม่อย่างนั้นพวกข้าจะเป็คนลงมือเอง”
อินเหมี่ยนกล่าวอย่างเ็า
“หึๆ เ้าคิดว่าจะสามารถสังหารข้าได้หรือ?”
มู่เฟิงเย้ยหยัน แม้จะต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกยุทธ์ระดับจื่อฝู่หลายสิบคน หรือแม้แต่ยอดฝีมือระดับหนิงกัง เขาก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องกลัว
“ในเมื่อเป็เช่นนี้ สังหารเขาเสีย จากนั้นก็หั่นศพเขาเอาไปให้สุนัขกิน!”
อินเหมี่ยนตวาดเสียงสั่งการ
“ฆ่ามัน…!”
ทันใดนั้นศิษย์ตระกูลอินก็พุ่งทะยานเข้าหามู่เฟิงพร้อมกับดาบในมือ ดาบหลายสิบเล่มพุ่งมาทางเขาเป็จุดเดียว
“ฆ่า!”
มู่เฟิงเปล่งเสียงคำราม พลังปราณถูกส่งไปยังดรรชนีนิ้วทั้งสองของเขา จากนั้นลำแสงสีทองของดรรชนีนิ้วสองสายก็พุ่งออกมา ความไวของมันรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด
ลำแสงสีทองทั้งสองสายเจาะทะลวงเข้าสู่ศีรษะศิษย์สองคนของตระกูลอิน ทำให้ศิษย์สองคนนั้นเสียชีวิตลงทันที
พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!
ปราณดาบอันคมกริบจำนวนหลายเล่มมุ่งโจมตีมาทางเขา มู่เฟิงบิดกายหลบหลีกการโจมตีเ่าั้อย่างคล่องแคล่ว ร่างกายของเขาราวกับใบไม้ที่พลิ้วไหวไปตามแรงลม ฉับพลันนั้นหอกสีม่วงก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา และทั่วทั้งหอกก็ถูกห่อหุ้มเอาไว้ด้วยสายฟ้า
มู่เฟิงแทงหอกออกไปทันใด การโจมตีของหอกนั้นรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด กระแสไฟฟ้าพุ่งเข้าใส่ร่างของศิษย์ผู้หนึ่งของตระกูลอินอย่างรวดเร็ว มันทะลวงผ่านลำคอของอีกฝ่ายโดยตรง จากนั้นมู่เฟิงก็ตวัดหอกออกมาอีกครั้ง ทำให้ภายในรัศมีสามเมตรนี้ไม่มีใครสามารถเข้าใกล้เขาได้
“ใช้หุ่นเชิด”
อินเหมี่ยนตวาดอย่างเ็า
ศิษย์ตระกูลอินพากันตบโลงศพบนหลังของพวกเขา ทันใดนั้นเหล่าหุ่นเชิดก็พุ่งทะยานออกมาจากโลงศพอย่างรวดเร็ว
“แฮ่...!”
เสียงคำรามดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นอายดำทะมึนที่แผ่ขยายเข้ามาปกคลุมบริเวณโดยรอบ ก่อนที่ศิษย์ตระกูลอินจะควบคุมให้หุ่นเชิดพุ่งเข้าไปจู่โจมมู่เฟิงทันที
“นี่คงเป็วิชาควบคุมศพของตระกูลอินสินะ ช่างร้ายกาจยิ่งนัก”
“เกรงว่ามู่เฟิงคงรับมือได้อีกไม่นานแน่”
“ใครใช้ให้เขาก่อเื่กัน ไม่แปลกหรอกที่พวกเราจะไม่เข้าไปช่วยเขา”
เหล่าบัณฑิตสายในของสำนักศึกษาเทียนอวิ่นต่างก็เฝ้าชมการต่อสู้จากระยะไกล
“หึ คราวนี้เ้าได้ตายแน่”
ซือถูคงแสยะยิ้มมุมปาก
มีเพียงข่งย่วนเท่านั้นที่มองตามแผ่นหลังของเด็กหนุ่มด้วยความเป็กังวล
“หุ่นเชิด!”
เมื่อมู่เฟิงเห็นว่าหุ่นเชิดจำนวนมากกว่าสิบตัวกำลังพุ่งกระโจนเข้ามาหาเขาจากทั่วทุกทิศ ฝ่ามือของเขาก็พลันมีแสงสว่างส่องออกมา ก่อนที่แผ่นยันต์สีแดงเพลิงปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นเขาก็โยนแผ่นยันต์เ่าั้ไปทางหุ่นเชิดทันที
ปัง…! ปัง…! ปัง…!
หลังจากแผ่นยันต์บรรลัยกัลป์จำนวนกว่าสิบแผ่นถูกขว้างไปทางหุ่นเชิดมันก็ะเิออก เปลวเพลิงอันน่าสะพรึงกลัวกวาดออกไปโจมตีหุ่นเชิดเ่าั้อย่างรวดเร็ว โดยหุ่นเชิดหนึ่งในนั้นได้ถูกะเิร่างจนกลายเป็เพียงเศษชิ้นเนื้อที่น่าสะอิดสะเอียน
ส่วนหุ่นเชิดตัวอื่นล้วนตกอยู่ในทะเลเพลิง เพียงไม่นานพวกมันก็ถูกเผาทำลายจนกลายเป็เถ้าธุลี
“แผ่นยันต์บรรลัยกัลป์! ให้ตายเถอะ หรือว่าเ้าเด็กนั่นจะเป็นักสลักลายเส้นเครื่องรางรึ?”
เมื่อเห็นฉากนี้ สีหน้าของอินเหมี่ยนพลันมืดครึ้มลงจนไม่น่ามอง บรรดาหุ่นเชิดของศิษย์ตระกูลอินต่างก็ถูกทำลายจนสิ้นซาก ทำให้ศิษย์แต่ละคนกระอักเืออกมาเพราะถูกพลังสะท้อนกลับจนได้รับาเ็ภายใน
“ข้าจะสังหารมันเอง!”
ชายหนุ่มหัวโล้นที่อยู่ถัดจากอินเหมี่ยนตวาดอย่างเ็า เขาดีดตัวออกจากหลังม้าทะยานร่างและออกมาเบื้องหน้า ดาบเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของเขา โดยที่บนตัวดาบนั้นถูกอัดแน่นไว้ด้วยพลังกังหยวน จากนั้นเขาก็ฟาดดาบไปทางมู่เฟิงอย่างดุดันทันที
ชายผู้นี้มีวรยุทธ์อยู่ในระดับหนิงกังขั้นสาม
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคมดาบที่ฟาดฟันลงมาอย่างดุเดือด มู่เฟิงก็ยกหอกขึ้นมาต้านโดยพลัน
ตู้ม…!
เมื่อดาบปะทะเข้ากับตัวหอกก็เกิดการะเิครั้งใหญ่ขึ้นทันที แรงะเิบีบให้มู่เฟิงต้องถอยออกไป ชายหัวโล้นไม่รอช้ารีบตวัดดาบออกมาอีกครั้ง
“ก้าวปทุมเพลิง”
เปลวเพลิงปะทุออกมาจากใต้ฝ่าเท้าของมู่เฟิงอย่างฉับพลัน เขาทะยานร่างออกไปไกลกว่าสิบเมตรเพื่อหลบหลีกการโจมตีนั้น ทำให้คมดาบทิ้งรอยเอาไว้บนพื้นแทน
“อัสนีบาตย่ำแปดทิศ!”
มู่เฟิงแผดเสียงคำรามออกมาอย่างดุดัน พลังสายฟ้าหลั่งไหลเข้าสู่เส้นลมปราณในร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว และทำให้พลังของเขาเพิ่มพูนขึ้นเป็สี่เท่า